ตอนที่ 169

ข่ายปราณลึกลับ

เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นเฉียวเซิง

สีหน้าของศิษย์หลายๆคนเริ่มเปลี่ยนไป

เดิมทีพวกมันคิดว่าครูฝึกฮั่นจะถามตอบเช่นเดียวกับการทดสอบครั้งที่ผ่านๆมา

ด้วยเหตุนี้ในช่วงที่ผ่านมาพวกมันทุกคนจึงเข้าฟังบรรยายอย่างขมักขะเม้นทุกวันและจดจำตำราข่ายอาคมหนาเตอะสองเล่มได้..

พวกมันคิดว่าเตรียมการไว้เป็นอย่างดีแล้วจนมั่นใจว่าการประเมินวันนี้จะผ่านได้อย่างไม่ยากเย็น  แต่สุดท้ายกลับคาดไม่ถึง

ฮั่นเฉียวเซิงไม่ใช้ระบบถามตอบแต่ใช้ข่ายอาคมประเมินกันตรงๆ !

จากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวต่อไปว่า

“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากนัก ตราบเท่าที่พวกเจ้าตั้งใจศึกษาสิ่งที่ข้าพูดไปตลอดครึ่งเดือน

พวกเจ้าก็สามารถผ่านการประเมินได้อย่างแน่นอน”

“ข่ายอาคมที่จะใช้ประเมินครั้งนี้คืออาคมกับดักระดับล้ำลึกที่ชื่อว่าค่ายกลแม่ลูก

มันคือค่ายกลเล็กทับซ้อนค่ายกลใหญ่ซึ่งต้องอาศัยความสามารถของพวกเจ้าในการวิเคราะห์”

“ภายในค่ายกลแม่ลูกจะมีโทเค็นอยู่สิบอัน

แต่ละอันจะสลักชื่อของพวกเจ้าทุกคนเอาไว้ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำหลังเข้าไปก็คือต้องตามหาโทเค็นแทนตัวตนของพวกเจ้าและออกมาให้ได้”

หลังจากศิษย์ทุกคนฟังคำอธิบายของฮั่นเฉียวเซิงก็รู้สึกว่านี่เป็นการทดสอบที่ดูเหมือนจะไม่ยากเย็นนัก...

ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมกับศิษย์ทุกคนและเข้าไปที่สวนด้านหลังหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ที่สวนด้านหลังมีพื้นที่โล่งกว้างหลายสิบเมตร

พื้นดินปกคลุมไปด้วยหินชนวนสีดำเงิน

ทันทีที่จี้เทียนซิงมองเห็นมันก็รับรู้ได้ทันทีว่าพื้นที่นี้คือค่ายกลแม่ลูกซึ่งเป็นข่ายปราณที่ฮั่นเฉียวเซิงวางไว้

ฮั่นเฉียวเซิงกวาดมือด้วยพลังลมปราณจนทำให้หินชนวนที่อยู่บนพื้นก่อรูปแบบของค่ายกลแม่ลูก

“วู้ม !”

หินชนวนเปล่งพลังปราณสีขาวที่ส่องแสงพร่างพราวออกมาเป็นม่านแสงสีขาวที่กินรัศมีสิบเมตร

ทุกคนจับจ้องไปที่ม่านแสงสีขาวบาดตาที่อยู่เบื้องหน้า

พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในค่ายกลได้เลย  พวกเขาไม่รู้ว่าการทดสอบอะไรที่กำลังรอพวกเขาอยู่

“มีกำหนดเวลาหนึ่งชั่วโมง

พวกเจ้าต้องหาโทเค็นแทนตัวเองให้เจอ จากนั้นก็ออกมาให้ได้ก่อนหมดเวลา”

หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ปล่อยให้ศิษย์ทั้งสิบคนกระจายกันเข้าไปในค่ายกลแม่ลูกจากทิศทางที่แตกต่างกัน

“ฟุ่บ

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !”

หลังจากแสงไฟสีขาวส่องสว่าง

ลูกศิษย์ทั้งสิบคนก็ผ่านม่านแสงสีขาวเข้าไปข้างในค่ายกลได้สำเร็จ

ทั่วทั้งหอยุทธ์กลายเป็นเงียบสงัด

เหลือเพียงฮั่นเฉียวเซิงกับตู้หวู่สองคน

ตู้หวู่ขมวดคิ้วและกระซิบกระซาบกับฮั่นเฉียวเซิงว่า

“ท่านพี่ฮั่น ท่านคิดว่าการประเมินในครั้งนี้ผู้ใดจะได้ออกมาเป็นคนแรก

?”

มุมปากของฮั่นเฉียวเซิงกระตุกด้วยรอยยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ข้าคิดว่าคงเป็นลู่หมิงหยาง”

“แม้ว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาเจ้าเด็กคนนี้จะถูกบดบังรัศมีและไม่แสดงความสามารถใดๆออกมา  แต่ความจริงแล้วมันมีความสามารถทางด้านข่ายอาคมสูงล้ำมาตั้งแต่ก่อนเข้านิกายแล้ว”

“มันถูกข้าลงโทษให้ทำงานต่ำต้อยร่วมเดือน

ในใจของมันย่อมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง มันมุ่งมั่นอย่างมากที่จะคว้าอันดับหนึ่งเพื่อล้างความอัปยศ”

เห็นได้ชัดว่าตู้หวู่ก็รู้เรื่องนี้และพยักหน้าทันที

“อืม ข้าก็คิดแบบเดียวกับท่านพี่ฮั่น

ลู่หมิงหยางมีพลังในขอบเขตปราณจิตและเชี่ยวชาญข่ายอาคม อันดับหนึ่งในการทดสอบวันนี้คงไม่ใช่ใครนอกจากมัน”

“จะว่าไป...

เจ้าหนูจี้เทียนซิงนั่นก็โอหังเย่อหยิ่งนัก

มันไม่เคยเข้าฟังบรรยายเรื่องข่ายอาคมสักครั้งเดียว”

ฮั่นเฉียวเซิงเลิกคิ้วขึ้นและแสดงสีหน้าหยอกเย้าพลางกล่าวว่า

“โอหัง

? เย่อหยิ่ง ? เหอๆ  เปล่าเลยน้องตู้  ถึงแม้เจ้าหนูนั่นจะดูคลุมเครือ

แต่จริงๆแล้วมันเป็นเด็กหนุ่มที่สงบเยือกเย็นยิ่งนัก  มันมิใช่เด็กเย่อหยิ่งจองหองอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”

“เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้สอบถามเหล่าผู้อาวุโสชั้นสูง

ที่เจ้าหนูนั่นไม่ได้เข้าฟังบรรยายก็เพราะมันไปช่วยหยุนเหยาทำภารกิจพิเศษข้างนอกต่างหาก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ตู้หวู่ก็เผยสีหน้าประหลาดใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เหอๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง

ข้ามองเจ้าหนูนั่นผิดไป

ท่านพี่ฮั่นเหมือนจะสนใจมันมากนัก

ถึงขนาดติดตามข่าวคราวการเคลื่อนไหวของมัน”

“อย่างไรก็ตาม เจ้าหนูนี้ก็เสียเวลาไปครึ่งเดือน

ข้าเกรงว่าวันนี้มันคงได้ที่โหล่เป็นแน่นอน"

ฮั่นเฉียวเซิงส่ายหัวและกล่าวว่า

“มันก็ไม่แน่

เจ้าหนูนั่นสนิทสนมกับตาเฒ่าเซี่ยงแห่งตำหนักไท่อันแล้ว  น้องตู้คิดว่าตาเฒ่าเซี่ยงเป็นคนอย่างไรเล่า ? เพียงแค่ชี้แนะให้เจ้าหนูเทียนซิงเล็กน้อยก็อาจจะผ่านการทดสอบได้แล้ว”

ตู้หวู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

เพราะก่อนหน้านี้ตอนทดสอบปรุงยา จี้เทียนซิงก็เคยทำได้มาก่อนแล้ว

......

จี้เทียนซิงมองไปที่ภาพเบื้องหน้าอย่างไม่ร้อนรีบหุนหัน

ดวงตาของมันจับจ้องและลอบสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด

หลังจากเข้าสู่ข่ายปราณแม่ลูก

เขาก็โผล่มาปรากฏตัวบนแท่นหินแห่งหนึ่ง

แท่นหินนี้มีบันไดสำหรับเดินลงไปอยู่เก้าขั้น

ที่ขั้นสุดท้ายเป็นทางเดินหินสีน้ำเงินกว้างสิบเมตร

ทางเดินทำจากหินสีน้ำเงินขนาดใหญ่และปลดปล่อยกลิ่นอายอันผันผวนของความเก่าแก่โบราณออกมา

เส้นทางนี้ทอดยาวประมาณ

100 เมตร ท้ายที่สุดเป็นประตูหินสีดำสูงสิบเมตร

ตลอดทางเดินไม่มืดมากนักเพราะที่ผนังซ้ายขวามีหลอดไฟหินพลังปราณแขวนอยู่ทุกๆสิบเมตรและมีแสงไฟสลัวคอยนำทาง

จี้เทียนซิงสังเกตครู่หนึ่งและพบว่ากำแพงหินสีน้ำเงินจารึกไว้ด้วยเส้นสายและสัญลักษณ์ของข่ายอาคมชนิดหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเส้นทางที่เงียบสงบนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยค่ายกลและอาคมที่มีอาวุธซ่อนเร้นอยู่

หากต้องการผ่านทางเดินยาว

100 เมตรไปที่ประตูหินสีดำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

มันต้องผ่านการทดสอบบางอย่าง

“ในเส้นทางนี้มีข้าอยู่เพียงผู้เดียว

ดูเหมือนว่าศิษย์ทั้งสิบคนจะต้องผ่านเส้นทางหินสีน้ำเงินและไปเปิดประตูสีดำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น....”

“ข่ายปราณแม่ลูกของครูฝึกฮั่นนี้ใช้เพื่อทดสอบศิษย์ทั้งสิบคน

มันสมควรไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป”

จี้เทียนซิงกระซิบกระซาบกับตัวเองอยู่สองสามคำ

จากนั้นก็เหยียบบนบันไดหินและเดินลงบันไดไปตามทาง

เมื่อเท้าของมันเหยียบย่างลงบนพื้นหินสีฟ้าก้าวที่สอง

การทดสอบก็เริ่มต้นขึ้น

พื้นหินสีน้ำเงินใต้ฝ่าเท้าของมันและกำแพงทั้งสองฝากข้างสั่นสะเทือนไปด้วยเสียง

ครืนนนน ! จนดูเหมือนมีกลไกบางอย่างเปิดออก

ชายหนุ่มสาวเท้าเดินไปอย่างระมัดระวังและเดินไปได้สามเมตรภายในพริบตา

แต่ในเวลานี้เอง

ความรู้สึกผิดแผกก็เริ่มคืบคลานเข้ามาเมื่อจี้เทียนซิงเหยียบเท้าขวาลงบนแผ่นหินสีน้ำเงิน

มันก็จมลงทันทีเผยให้เห็นหลุมดำเบื้องหน้า

ภายใต้สถานการณ์นั้น

เท้าขวาของมันก็จมลงไปในพื้นหินสีน้ำเงิน ร่างกายของมันเอนไปข้างหน้าและกำลังจะล้มลงกับพื้น

เมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ

ช่วงเอวของชายหนุ่มก็เกิดพลังสายหนึ่งขึ้นและดีดปราดกลางอากาศก่อนที่ตกลงไปในหลุม

ฟุ่บ

ฟุ่บ ฟุ่บ  !!

ในขณะเดียวกันกับที่จี้เทียนซิงกระโดดหนี

ใต้หลุมนั้นก็มีหอกแหลมอันคมกริบสามเล่มโผล่ขึ้นมาจากพื้นอย่างน่าหวาดเสียว

“ฟู่ว.... เกือบไป

หากข้าช้ากว่านี้อีกนิดคงถูกหอกพวกนั้นเสียบเท้าทะลุไปแล้ว !”

จี้เทียนซิงส่ายหัวและเดินเลี่ยงหอกที่พุ่งจากพื้นทั้งสามเล่ม

หลังจากเดินไปได้อีกห้าก้าว

แผ่นหินของหินสีน้ำเงินที่อยู่ใต้เท้าซ้ายของเขาก็ทรุดตัวลงอีกครั้ง

คราวนี้เขาพร้อมกว่าเดิมและชักเท้ากลับอย่างรวดเร็วเพื่อยืนหยัดอย่างมั่นคงที่จุดเดิม อย่างไรก็ตาม กำแพงหินทางด้านซ้ายและด้านขวาก็เลื่อนออกเป็นหลุมดำหลายหลุมและมีลูกธนูอันแหลมคมหลายสิบดอกยิงออกมา

!

“ฟิ่ว ฟิ่ว ฟิ้ว !!”

ลูกศรหลายสิบดอกส่งเสียงคำรามดั่งห่าฝนและพุ่งเข้าหาชายหนุ่มด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า

จี้เทียนซิงกระโดดถอยไปห้าก้าวอย่างไม่ลังเลและหลบหนีการฆ่าของลูกศรอันแหลมคมเหล่านั้นได้ทันท่วงที

พวกมันพุ่งผ่านไปและแทงทะลุฝังลึกเข้าหากำแพง

อย่างไรก็ตาม

ในขณะที่เขาถอยหลังหนีอย่างเร่งร้อนกลับไปสัมผัสโดนข่ายอาคมเข้า

ค่ายกลบนกำแพงทั้งสองข้างถูกเปิดใช้งานและมีคลื่นกระบี่สีแดงหกสายที่เปล่งประกายดั่งเปลวเพลิงอันดุร้าย

พุ่งเข้าหาชายหนุ่มด้วยความเร็วยิ่ง

คลื่นกระบี่เพลิงแต่ละสายมีความยาวมากกว่าหนึ่งเมตรและดูราวกับกระบี่เพลิงของจริง  มันโอบหุ้มไปด้วยกลิ่นไอพลังกระบี่อันดุร้ายเฉกเช่นไอพลังกระบี่ของยอดฝีมือขอบเขตปราณจิต

!

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

จี้เทียนซิงรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อพยายามที่จะหลีกเลี่ยงคลื่นกระบี่เพลิงทั้งหกสาย

“ฉัวะ

ฉัวะ  ฉัวะ !! ”

คลื่นกระบี่หกสายสาดซัดจากด้านข้างจนทำให้เส้นผมและเสื้อคลุมของจี้เทียนซิงเกิดเพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว