ตอนที่ 201

นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น

จากแนวเทือกเขาหลงซานห่างออกไปพันไมล์มียอดเขาที่ถูกทิ้งร้างลูกหนึ่ง

ข้างในยอดเขาเป็นถ้ำปีศาจที่จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเคยฝ่าวงล้อมออกมา

ภายในถ้ำปีศาจ

ณ ห้องลับอันมืดมิดและเย็นยะเยือกห้องหนึ่ง

องค์หญิงเสวี่ยเยี่ยและมหาปุโรหิตแห่งเผ่าพันธุ์ยืนกอดอกอยู่ภายในห้องและจับจ้องไปที่กระจกบนผนัง

มันเป็นกระจกทรงรีสูงสองเมตรทำจากผลึกสีแดงเลือดที่ฉาบไว้ด้วยมนต์อาคมอันน่าทึ่ง

นี่คืออุปกรณ์ที่ทรงอำนาจของเผ่าปีศาจ

เช่นเดียวกับร่มหมอกปีศาจของมหาปุโรหิตและเป็นสมบัติระดับสวรรค์

กระจกแสดงภาพที่พร่ามัวเล็กน้อยออกมา

ในภาพปรากฏเป็นฉากบนเวทีมังกรจันทร์

การประลองหลงซานสิ้นสุดแล้ว

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตได้เฝ้ามองเหตุการณ์มานานกว่าหนึ่งชั่วยาม

หลังจากดูการประลองจนจบ

พวกมันก็ได้เห็นภาพชัยชนะของจี้เทียนซิงที่มีต่อฮั่งเชินแห่งนิกายกระบี่ฟ้า

ทั้งสองต่างเงียบกริบไร้ซึ่งการพูดจาสนทนาใดๆ

มีเพียงดวงตาที่ดุร้ายคู่นั้นที่ส่องประกายด้วยความหนาวเย็นจนทำให้อุณหภูมิห้องลดต่ำลง

หลังจากนั้นไม่นานมหาปุโรหิตก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบห้าวว่า

“จากมุมมองและการคาดเดาของข้า

การประลองนี้เป็นการประลองเล็กๆของศิษย์ฝ่ายในระหว่างนิกายพันธมิตรสวรรค์และนิกายกระบี่ฟ้า”

“ครั้งนี้เจ้าเด็กจี้เทียนซิงกลับเข้าร่วมประลองด้วย

มันทำให้เรื่องราวน่าสนใจมากยิ่งขึ้น!”

“เหอๆๆ เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งและไพ่ตายของมัน

การที่ต้องสูญเสียหินวิญญาณมากกว่าสิบก้อนเพื่อเปิดใช้งานกระจกเนตรปีศาจก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

!”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“มหาปุโรหิต เป็นอย่างที่ท่านคาดเดาไว้จริงๆ

พรสวรรค์โดยกำเนิดของเจ้าหนูนี่ต่างจากอัจฉริยะทั่วไป

มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราในอนาคต

มหาปุโรหิตผงกศีรษะและกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“มิผิด ! เจ้าหนูนั่นพิลึกแปลกประหลาดจริงๆ”

“ในเวลาเพียงแค่เดือนเดียวมันก็ขยับไปสู่ขอบเขตปราณจิตขั้นแรกและยังเอาชนะยอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นห้าได้อย่างไม่ยากเย็น

มันน่าเหลือเชื่อและขัดต่อสามัญสำนึกเกินไป !”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วและกระซิบว่า

“ตอนแรกท่านเพียงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของลูกปัดแห่งดวงดาราจากร่างกายของมัน  แต่ตอนนี้คุณสมบัติและบรรยากาศรอบตัวมันดูยิ่งคล้ายคลึงกับลูกปัดดวงดาราเข้าไปอีก

!”

“น่าโมโหนักเชียวที่ข้าไม่สังหารมันตั้งแต่แรกจนปล่อยให้มันเติบโตได้ถึงระดับนี้

! หากให้เวลามันอีกไม่เกินสองปี

ข้าเกรงว่ามันจะก้าวมาถึงระดับที่สูสีกับข้าได้ !”

มหาปุโรหิตแสดงสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า

“ยังไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราต้องจับตาดูและคอยสืบเบาะแสของลูกปัดดวงดาราผ่านมัน”

“ย่อมได้”

องค์หญิงเสวี่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “เพื่อการฟื้นฟูของเผ่าพันธุ์เรา

ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตรอดไปอีกสักพัก”

มหาปุโรหิตตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งและพูดถึงหัวข้ออื่น

“ภูเขามังกรเป็นเพียงภูเขาสมบัติสามัญธรรมดา ในดินแดนดาราบรรพกาลแห่งนี้เต็มไปด้วยชีพจรวิญญาณอยู่ทุกหนทุกแห่ง

อีกทั้งตอนนี้ภูเขาลูกนั้นก็ถูกนิกายกระบี่ฟ้าลอกคราบเสียจนไม่เหลืออะไรให้ค้นหา”

“เพียงแค่เส้นชีพจรวิญญาณบนภูเขาที่ถูกทิ้งร้างนี้

เหตุใดถึงสามารถทำให้สองนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนดาราบรรพกาลต้องมาต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ครอบครองกันอย่างดุเดือดด้วย

?

มันคู่ควรกับการที่ต้องนำศิษย์อัจฉริยะมาประลองให้ขายขี้หน้าด้วยหรือ ?   นี่คือสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจและกำลังคิดอยู่ว่าในนั้นมีอะไรกันแน่”

เมื่อได้คำพูดของมหาปุโรหิต

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ขมวดคิ้วและเริ่มคิดตามเช่นกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากถามว่า

“มหาปุโรหิต

หรือจะเป็นไปได้ว่าภูเขามังกรยังมีความลับหรือสมบัติซ่อนอยู่จนทำให้นิกายกระบี่ฟ้ารู้สึกผิดหวังเสียดายอย่างรุนแรงเช่นนั้น

?”

"เป็นไปได้สูงมาก  ข้าก็คิดเช่นนี้”

มหาปุโรหิตพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

“แต่นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ส่วนเหตุผลจริงๆคืออะไร

ข้าคงต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน บางที....อาจจะเป็นแค่เพียงการปกป้องศักดิ์ศรีของนิกายใหญ่ก็เป็นได้”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งมันก็กล่าวกับองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยว่า

“ท่านนำคนของท่านลอบเข้าไปยังนิกายกระบี่ฟ้าและจับตัวศิษย์ใหญ่ๆที่รู้เรื่องทั้งหมดกลับมา

ข้าจะสืบค้นวิญญาณมันด้วยตัวเอง ข้าต้องรู้ให้ได้ว่านิกายกระบี่ฟ้าคิดอะไรอยู่ !”

“ย่อมได้ ข้าจะจัดการให้”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยประสานมือคารวะ

จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องลับไปปฏิบัติภารกิจ

......

หลังจากกลับมาถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์

ชูไฮว่ซานก็โดยสารปักษาวิญญาณมุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่อยู่ฝ่ายนอก

เขาเห็นว่าจี้เทียนซิงอ่อนแอมากและได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

ดังนั้นเขาคิดตรงไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเพื่อให้จี้เทียนซิงได้รักษาตัว

“จี้เทียนซิง

ข้าส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นก่อนดีกว่า วันหน้าค่อยพาเจ้าไปพบท่านประมุข”

“เจ้าได้ทำคุณงามความดีและสร้างชื่อให้นิกายเป็นอย่างมาก

ข้าเชื่อว่าท่านประมุขจะตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน”

จี้เทียนซิงคลี่ยิ้มบางและโค้งคำนับเป็นพิธี “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสชูมาก เช่นนั้นผู้เยาว์ขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”

หลังจากอำลาชูไฮว่ซาน

ชายหนุ่มก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น เมื่อกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวเขาก็รีบหยิบผงแป้งและผ้าขาวออกจากถุงมิติเพื่อจัดการกับบาดแผล

คนอื่นๆรู้แค่เพียงว่าเขาเอาชนะฮั่งเชินในที่สาธารณะโดยมีบาดแผลภายนอกไม่มากนัก

แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าเขาพยายามปิดบังร่องรอยบอบช้ำเหล่านี้มากเพียงใด !

มองภายนอกเหมือนเขาเยือกเย็นและควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ

แต่เบื้องหลังนั้น เพื่อเอาชนะฮั่งเชิน เขาได้พยายามอย่างสุดความสามารถและหงายไพ่ตายทั้งหมดออกมา

ก่อนเริ่มประลอง

เขาได้ศึกษาข้อมูลและลักษณะนิสัยของฮั่งเชินมาบ้างแล้ว

จนทำให้ทราบว่าพลังยุทธ์และกำลังรบโดยรวมของคนผู้นี้แข็งแกร่งทรงพลังมาก

แต่พรสวรรค์ทางด้านข่ายปราณกลับซื่อบื้ออย่างมาก

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงใช้ข่ายปราณกระบี่ในการต่อสู้

ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะฮั่งเชินได้เบ็ดเส็ดเด็ดขาดเพราะระดับพลังบ่มเพาะยังต่างกันอยู่หลายขั้น

สุดท้ายเขาจึงได้รับบาดแผลจากอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง

ท้ายที่สุดเขาก็ถูกบีบให้ต้องใช้กายตัวอ่อนกระบี่ที่เพิ่งบรรลุได้ไม่นาน

กว่าจะล้มอีกฝ่ายลงได้

ฮั่งเชินถูกทำลายอย่างรุนแรงจนหมดสติและอาการบาดเจ็บก็หนักหนาสาหัสมาก

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงก็ใช่ว่าจะน้อยกว่ามัน

หลังจากใช้กายตัวอ่อนกระบี่สำแดงหนึ่งกระบี่ถล่มฟ้าทลายปฐพีออกมา

พลังลมปราณกว่าแปดส่วนก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น

นอกจากนี้ตัวอ่อนกระบี่ที่ยังเพิ่งจะแบเบาะก็กลับกลายเป็นเย็นชืดและไม่แหลมคมเหมือนกาลก่อนอีกต่อไป

นี่ยังไม่รวมถึงบาดแผลลึกภายนอกอีกนับไม่ถ้วน

!

โชคดีที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี

เขาได้รับชัยชนะในการประลองหลงซาน

ชิงภูเขามังกรและกู้หน้ากลับมาให้นิกายได้สำเร็จ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้

ใบหน้าที่ซีดเซียวของชายหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มเบาบางขึ้นมาสายหนึ่ง

“หากไร้ซึ่งเกียรติยศและฐานะก็จะไม่ได้รับการเหลียวแล

ไม่มีผู้ใดสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้โดยไม่มีการหว่านเมล็ด ข้าต้องสู้เพื่อตนเองและเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง

!”

“มีเพียงการที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเท่านั้นถึงจะพอมีน้ำหนักในสายตาของนิกาย

โชคยังดีที่ข้าทำสำเร็จ

ตอนนี้การแสดงออกของข้าคงมากพอที่จะเข้าตาคนใหญ่คนโตในนิกายแล้ว

นับได้ว่าเป็นก้าวแรกที่จะได้ลืมตาอ้าปากเห็นเดือนเห็นตะวันเสียที..."

หลังจากกระซิบและปลุกปลอบใจตัวเองอยู่หลายคำ

จี้เทียนซิงก็หลับตาโคจรพลังลมปราณเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพลัง

หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เช้าวันต่อมาอาการบาดเจ็บของจี้เทียนซิงก็เริ่มทุเลาเล็กน้อยและไม่ประสบปัญหาใดๆ  สีหน้าที่ซีดขาวก็กลับมาเป็นปกติ

จากนี้ไปเขายังต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่องถึงครึ่งเดือนกว่าจะกลับคืนสู่ระดับที่สมบูรณ์ที่สุด

ในเวลานี้ข่าวเกี่ยวกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือภูเขามังกรก็ได้แพร่กระจายไปแล้วในทุกแห่งทุกหนของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ไม่เพียงแค่ศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้นที่ทราบเรื่อง

แต่ยังรวมไปถึงศิษย์ฝ่ายใน อาวุโสระดับสูงหลายคนก็รับรู้ทั้งสิ้น

เหล่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นล้วนป่าวประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่และบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างจี้เทียนซิงกับฮั่งเชินออกไปด้วยความตื่นเต้นที่ยังไม่เสื่อมคลาย

ในเวลาไม่ช้า

การต่อสู้อันเดือดพล่านของสองสุดยอดอัจฉริยะฝ่ายนอกจากสองนิกายก็แพร่สะบัดไปทุกส่วนของนิกายพันธมิตรสวรรค์

มันกระตุ้นเตือนให้ศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนต่างก็ตกตะลึงและสนทนากันอย่างเอิกเกริก

**** จบเล่ม 2  ศิษย์ฝ่ายนอกที่แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ***