มันผ่านไปไม่นานนักก่อนที่งานเลี้ยงในช่วงเที่ยงจะเริ่มขึ้น
เทียนเจี้ยนจงได้วางแผนงานวันเกิดในวันนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนก่อนทำให้งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความหรูหราอลังการ อาหารชั้นเลิศกองเป็นภูเขา
ยาวเป็นทะเลอย่างหลากหลาย นอกจากอาหารล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ยังมีสุราวิญญาณอันล้ำค่าหาได้ยากอีกด้วย
ด้วยวิธีการนำเสนอเยี่ยงนี้ มันไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของเทียนเจี้ยนจงเท่านั้น
แต่มันยังเผยให้ถึงความสำคัญและความแข็งแกร่งที่อุดมไปด้วยทรัพยากรของนิกายกระบี่ฟ้าอีกด้วย
ผู้นำมากมายของกองกำลังระดับสองและสาม เช่นเดียวกับผู้ที่มีสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับเหล่าบรรพบุรุษของนิกายกระบี่ฟ้าต่างก็ดื่มกินพูดคุยกันอย่างเอิกเกริก
ในบรรดาผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
แม้กระทั่งผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังในขอบเขตปราณจิต
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผลไม้วิญญาณล้ำค่ากองโตและสุราชั้นเลิศ
คนเหล่านั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องลิ้มลองอย่างเสียกิริยา
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเพียงกินอาหารและจิบสุราวิญญาณเล็กน้อย
จากนั้นก็ผละจากไป
งานฉลองวันเกิดตอนเที่ยงวันเป็นงานเลี้ยงง่ายๆ
ส่วนงานในกลางคืนเป็นงานหลักและเทียนเจี้ยนจงจะปรากฏตัวในเวลานั้น
หลังออกจากห้องโถงทั้งสามคนก็เดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างไร้จุดหมาย
คราวนี้พวกเขามาเยือนนิกายกระบี่ฟ้า
มิได้เพียงแค่มาร่วมแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้เท่านั้น
แต่จุดประสงค์หลักก็คือทำตามคำสั่งของฉู่เทียนเซิง
สำรวจสถานการณ์โดยรอบของนิกายกระบี่ฟ้า
หลังจากนั้นทั้งสามก็แยกย้ายกันสำรวจ
หยุนเหยาเดินไปทางตะวันออกเพียงลำพัง
ส่วนจี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์ไปที่ด้านหลังภูเขา
หากมองผิวเผินจะดูเหมือนว่าทั้งสามคนกำลังชื่นชมทัศนียภาพของยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
แต่ความเป็นจริงแล้วดวงตาของทั้งสามนั้นลอบสังเกตการณ์รอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน
อีกทั้งยังใช้สัมผัสญาณเพื่อดักฟังการสนทนาระหว่างศิษย์สาวกบางคน
ภูเขาด้านหลังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงชันมาก
เต็มไปด้วยหน้าผาหินแปลกๆ
มีพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กหลายแห่งบนภูเขา มีการสร้างตำหนัก
วิหารและบ้านเรือนหลายหลัง
น่าแปลกใจที่ตำหนักและบ้านเหล่านั้น
ครึ่งหนึ่งสร้างอยู่บนที่โล่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนอากาศ
แต่เมื่อมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าตำหนักและบ้านเรือนที่อยู่กลางอากาศนั้น
แท้จริงแล้วรองรับไว้ด้วยคานและเสาขนาดใหญ่จากการจัดเรียงของค่ายกล
เป็นผลให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นดูแปลกตาและน่าทึ่งยิ่งนัก
การได้อาศัยอยู่ในตำหนักและบ้านเหล่านั้น
ไม่เพียงแค่จะมอบความเพลิดเพลินให้กับทัศนียภาพโดยรอบ
แต่ยังได้สัมผัสกับความรู้สึกของการใช้ชีวิตเหนือหน้าผาสูงชัน
เอี๋ยนเอ๋อร์อาศัยอยู่ในวังฮั่วจวงตั้งแต่ยังเด็ก
ซึ่งสถาปัตยกรรมของเผ่าอัคคีนั้นจะแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เล็กน้อย
ไม่นานหลังจากที่ได้กราบประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์, ฉู่เทียนเซิงเป็นอาจารย์
มันก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่ถ้ำอู๋หยา
ดังนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์จึงรู้สึกแปลกใหม่ต่อเรื่องราวหลายๆอย่างของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ไม่น้อย
เมื่อได้เห็นบ้านเรือนและตำหนักเหล่านั้น
มันจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปมองใกล้ๆด้วยความสนอกสนใจ
จี้เทียนซิงเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างเอี๋ยนเอ๋อร์ดีและย่อมไม่ขัดขวางจึงเดินตามหลังไปด้วยดี
อย่างไรก็ตาม
ตำหนักและบ้านเรือนทุกหลังด้านหลังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดยยามรักษาการและไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าไปข้างใน
พวกเขาจึงทำได้แค่มองจากข้างนอกและไม่อาจเข้าไปชมใกล้ๆได้
เอี๋ยนเอ๋อร์มองไปทางทิศตะวันตกและสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง
จนกระทั่งความสนใจของมันค่อยๆลดลงจึงฉุดลากจี้เทียนซิงไปที่อื่น
ในเวลานี้เอง ภายในห้องบนชั้นสามของตำหนักต้องห้าม
มีดวงตาที่เย็นยะเยือกจับจิตคู่หนึ่งพุ่งเป้าจ้องมองไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์ผ่านตะแกรงหน้าต่าง
ดวงตาคู่นี้มีขนาดใหญ่กว่าของมนุษย์ธรรมดาเล็กน้อยและด้านล่างของดวงตาเป็นสีแดงเข้ม
มีแสงเย็นเยือกที่เต็มไปด้วยจิตสังหารแผ่พุ่งออกมา
เจ้าของดวงตาคู่นี้เป็นสตรีร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำและมีผ้าคลุมหน้าสีดำที่ปกปิดไว้อย่างมิดชิด
นางยืนอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิง
แสงเย็นยะเยือกจากดวงตาของนางพวยพุ่งและปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา
"ฟุ่บ !"
นางหันหลังอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่ประตู
อย่างไรก็ตามในขณะที่นางเปิดประตูและกำลังจะทะยานออกไปจากห้อง
ปรากฏเงาร่างในชุดคลุมสีขาวขวางอยู่และหยุดนางเอาไว้
ผู้มาเป็นชายชราผมขาวที่ถือแส้หางม้าของนักพรตไว้ในมือ เทียนจี้เจิ้นเหรินนั่นเอง
มันขมวดคิ้วมองสตรีตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม
พลันเอ่ยปากถามด้วยภาษาของเผ่ามาร “จวินจู้ ท่านคิดจะทำอะไร ?"
สตรีในชุดคลุมสีดำก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้นั่นเอง
!
นางชะงักไปเมื่อได้เห็นเทียนจี้เจิ้นเหรินตรงหน้า
จิตสังหารที่ปะทุออกมาพลันถูกสะกดไว้อย่างไม่เต็มใจ ปากกระซิบแผ่วเบาว่า “จี้เทียนซิงมาที่นี่
มันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ ข้าต้องการจะจับตัวมัน......"
"จวินจู้ เรื่องนี้ทำไม่ได้ ! ท่านอย่าได้หุนหัน”
เทียนจี้เจิ้นเหรินตะคอกเสียงแข็งพลางปิดประตูอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อไปว่า
“ตอนนี้แปดนิกายใหญ่และยอดฝีมือทุกคนมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่นบนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
หากท่านลงมือจับจี้เทียนซิง ไอมารของท่านจะแผ่กระจายออกไปจนทำให้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งพวกนั้นสัมผัสได้ ความแตกแน่นอน”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน
นางอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้วและบ่นอย่างไม่เต็มใจว่า “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ? ต้องให้ข้ายืนดูมันรอดพ้นเงื้อมมือไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีกหรือไง
?”
"มหาปุโรหิต
ข้าต้องอยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
แม้แต่จะออกจากตำหนักยังทำไม่ได้เลย ข้าต้องรอไปถึงเมื่อใด !?”
เทียนจี้เจิ้นเหริน(มหาปุโรหิต)รีบกล่าวแนะนำอย่างรวดเร็วว่า
“จวินจู้
หากเรื่องแค่นี้ท่านยังอดไม่ได้แล้วจะสำเร็จการใหญ่ได้อย่างไร ? ท่านมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ แผนการล้างแค้นของพวกเรา เชื่อข้า จงอดทนและรอ !"
"นอกจากนี้
ข้าได้เจรจาวางแผนกับเทียนเจี้ยนจงไว้เรียบร้อยแล้ว
แผนการจะเริ่มดำเนินการในงานเลี้ยงคืนนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะมีข้ออ้างเอาชีวิตจี้เทียนซิงได้
!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้
ดวงตาของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็เปล่งประกายและสงบสติอารมณ์ลง
เมื่อเห็นว่านางไม่คิดต่อต้านและไม่พูดอะไรอีก
เทียนจี้เจิ้นเหรินจึงกล่าวต่อไปอย่างจริงจังว่า “จวินจู้
ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนและรอฟังข่าวดี ข้ายังมีงานต้องไปเตรียมการ
จดจำไว้ จงอดทน โอกาสของพวกเรามาถึงแน่”
หลังจากพูดจบ
เทียนจี้เจิ้นเหรินก็หายตัวไปทันที
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เดินกลับไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง
มองผ่านบานหน้าต่างไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิงอีกครั้ง
มุมปากแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างกระหายเลือด
.............
จี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์เดินเตร็ดเตร่ในนิกายกระบี่ฟ้าตลอดทั้งช่วงบ่าย
ทั้งสามเดินผ่านยอดเขาหลายแห่งและสังเกตผู้คน, บ้านเรือนและตำหนักมาแล้วนับไม่ถ้วน
นอกเหนือจากการทำความคุ้นเคยกับรูปแบบชีวิตของชาวนิกายกระบี่ฟ้าแล้ว
พวกเขายังไม่สามารถหาข่าวสารใดๆที่เป็นประโยชน์ได้เลย
ท้ายที่สุดแล้วเทียนเจี้ยนจงย่อมมีการเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้และคงไม่มีทางปล่อยให้คนนอกสืบข่าวอะไรได้ง่ายๆ
ในช่วงเวลานี้
จี้เทียนซิงได้พบกับศิษย์สาวกของนิกายกระบี่ฟ้ามากมาย
แววตาของพวกมันส่วนใหญ่ฉายแววระแวดระวังและมีความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่เห็นเสื้อคลุมสีขาวของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ชายหนุ่มสวมใส่
เพียงมองผ่านๆก็รับรู้ได้ทันทีว่านิกายกระบี่ฟ้ามองว่านิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นศัตรูคู่แค้น นอกจากนี้เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงความคิดของประมุขและระดับผู้อาวุโสเท่านั้น
แม้กระทั่งศิษย์สาวกธรรมดาก็ยังมีความคิดในแนวทางเดียวกัน
จี้เทียนซิงรู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่อันตรายมาก
!
การต่อสู้แตกหักระหว่างนิกายกระบี่ฟ้ากับนิกายพันธมิตรสวรรค์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
!
พวกเขาสำรวจอยู่นาน
กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็เริ่มมืด
แขกคนอื่นๆได้มาถึงหมดแล้วและเข้าไปที่ห้องโถงต้อนรับบนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
จี้เทียนซิง หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์จึงกลับไปที่ห้องโถงและรอเวลาเริ่มงานเลี้ยงในช่วงค่ำ
โถงรับแขกสว่างไสวและมีสีสันสดใส
สตรีงดงามมากมายนับไม่ถ้วนเดินชดช้อยเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับยกอาหารเลิศรสและสุราล้ำค่า
บนเวทีสูงมีสตรีงดงามที่สวมอาภรณ์น้อยชิ้นกำลังเต้นรำ
ขับเน้นทรวดทรงองเอวและเรือนร่างที่งามสง่า
สร้างความเพลิดเพลินให้แขกเหรื่อได้เปิดหูเปิดตา
จนกระทั่งถึงเวลางานเลี้ยงเริ่มขึ้น ในที่สุดเจ้าของวันเกิดอย่างเทียนเจี้ยนจงก็ปรากฏกาย
มันเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยรอยยิ้มกว้างและต้อนรับบรรดาแขกทั้งหลาย
นอกจากนี้ยังมีเทียนจี้เจิ้นเหริน, หวงฟู่, ซื่อเหวินหยูและผู้อาวุโสอีกหลายคนของนิกายกระบี่ฟ้าที่ทยอยกันเข้ามาในห้องโถง
ทักทายพบปะกับแขกมาเยือนจากทุกสารทิศ
ห้องโถงต้อนรับกลายเป็นมีชีวิตชีวาในบันดลเมื่อเจ้าภาพออกมา
มันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักไปทั่วบริเวณ
แต่ทว่า
จี้เทียนซิงกลับรู้สึกได้ในทันทีเมื่อเทียนเจี้ยนจง, ซื่อเหวินหยูและคนอื่นๆเข้ามาถึง
พวกมันส่งสายตาเย็นยะเยือกมาที่เขาอย่างชัดเจน
เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น......
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved