ตอนที่ 338 สุรารสเลิศ, กระบี่สังหารผู้คน

มันผ่านไปไม่นานนักก่อนที่งานเลี้ยงในช่วงเที่ยงจะเริ่มขึ้น

เทียนเจี้ยนจงได้วางแผนงานวันเกิดในวันนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนก่อนทำให้งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความหรูหราอลังการ  อาหารชั้นเลิศกองเป็นภูเขา

ยาวเป็นทะเลอย่างหลากหลาย นอกจากอาหารล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง

ยังมีสุราวิญญาณอันล้ำค่าหาได้ยากอีกด้วย

ด้วยวิธีการนำเสนอเยี่ยงนี้ มันไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของเทียนเจี้ยนจงเท่านั้น

แต่มันยังเผยให้ถึงความสำคัญและความแข็งแกร่งที่อุดมไปด้วยทรัพยากรของนิกายกระบี่ฟ้าอีกด้วย

ผู้นำมากมายของกองกำลังระดับสองและสาม เช่นเดียวกับผู้ที่มีสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับเหล่าบรรพบุรุษของนิกายกระบี่ฟ้าต่างก็ดื่มกินพูดคุยกันอย่างเอิกเกริก

ในบรรดาผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

แม้กระทั่งผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังในขอบเขตปราณจิต

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผลไม้วิญญาณล้ำค่ากองโตและสุราชั้นเลิศ

คนเหล่านั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องลิ้มลองอย่างเสียกิริยา

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเพียงกินอาหารและจิบสุราวิญญาณเล็กน้อย

จากนั้นก็ผละจากไป

งานฉลองวันเกิดตอนเที่ยงวันเป็นงานเลี้ยงง่ายๆ

ส่วนงานในกลางคืนเป็นงานหลักและเทียนเจี้ยนจงจะปรากฏตัวในเวลานั้น

หลังออกจากห้องโถงทั้งสามคนก็เดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างไร้จุดหมาย

คราวนี้พวกเขามาเยือนนิกายกระบี่ฟ้า

มิได้เพียงแค่มาร่วมแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้เท่านั้น

แต่จุดประสงค์หลักก็คือทำตามคำสั่งของฉู่เทียนเซิง

สำรวจสถานการณ์โดยรอบของนิกายกระบี่ฟ้า

หลังจากนั้นทั้งสามก็แยกย้ายกันสำรวจ

หยุนเหยาเดินไปทางตะวันออกเพียงลำพัง

ส่วนจี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์ไปที่ด้านหลังภูเขา

หากมองผิวเผินจะดูเหมือนว่าทั้งสามคนกำลังชื่นชมทัศนียภาพของยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

แต่ความเป็นจริงแล้วดวงตาของทั้งสามนั้นลอบสังเกตการณ์รอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน

อีกทั้งยังใช้สัมผัสญาณเพื่อดักฟังการสนทนาระหว่างศิษย์สาวกบางคน

ภูเขาด้านหลังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงชันมาก

เต็มไปด้วยหน้าผาหินแปลกๆ

มีพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กหลายแห่งบนภูเขา มีการสร้างตำหนัก

วิหารและบ้านเรือนหลายหลัง

น่าแปลกใจที่ตำหนักและบ้านเหล่านั้น

ครึ่งหนึ่งสร้างอยู่บนที่โล่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนอากาศ

แต่เมื่อมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าตำหนักและบ้านเรือนที่อยู่กลางอากาศนั้น

แท้จริงแล้วรองรับไว้ด้วยคานและเสาขนาดใหญ่จากการจัดเรียงของค่ายกล

เป็นผลให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นดูแปลกตาและน่าทึ่งยิ่งนัก

การได้อาศัยอยู่ในตำหนักและบ้านเหล่านั้น

ไม่เพียงแค่จะมอบความเพลิดเพลินให้กับทัศนียภาพโดยรอบ

แต่ยังได้สัมผัสกับความรู้สึกของการใช้ชีวิตเหนือหน้าผาสูงชัน

เอี๋ยนเอ๋อร์อาศัยอยู่ในวังฮั่วจวงตั้งแต่ยังเด็ก

ซึ่งสถาปัตยกรรมของเผ่าอัคคีนั้นจะแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เล็กน้อย

ไม่นานหลังจากที่ได้กราบประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์, ฉู่เทียนเซิงเป็นอาจารย์

มันก็ถูกส่งไปรักษาตัวที่ถ้ำอู๋หยา

ดังนั้นเอี๋ยนเอ๋อร์จึงรู้สึกแปลกใหม่ต่อเรื่องราวหลายๆอย่างของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ไม่น้อย

เมื่อได้เห็นบ้านเรือนและตำหนักเหล่านั้น

มันจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปมองใกล้ๆด้วยความสนอกสนใจ

จี้เทียนซิงเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างเอี๋ยนเอ๋อร์ดีและย่อมไม่ขัดขวางจึงเดินตามหลังไปด้วยดี

อย่างไรก็ตาม

ตำหนักและบ้านเรือนทุกหลังด้านหลังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดยยามรักษาการและไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้าไปข้างใน

พวกเขาจึงทำได้แค่มองจากข้างนอกและไม่อาจเข้าไปชมใกล้ๆได้

เอี๋ยนเอ๋อร์มองไปทางทิศตะวันตกและสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง

จนกระทั่งความสนใจของมันค่อยๆลดลงจึงฉุดลากจี้เทียนซิงไปที่อื่น

ในเวลานี้เอง ภายในห้องบนชั้นสามของตำหนักต้องห้าม

มีดวงตาที่เย็นยะเยือกจับจิตคู่หนึ่งพุ่งเป้าจ้องมองไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์ผ่านตะแกรงหน้าต่าง

ดวงตาคู่นี้มีขนาดใหญ่กว่าของมนุษย์ธรรมดาเล็กน้อยและด้านล่างของดวงตาเป็นสีแดงเข้ม

มีแสงเย็นเยือกที่เต็มไปด้วยจิตสังหารแผ่พุ่งออกมา

เจ้าของดวงตาคู่นี้เป็นสตรีร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำและมีผ้าคลุมหน้าสีดำที่ปกปิดไว้อย่างมิดชิด

นางยืนอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิง

แสงเย็นยะเยือกจากดวงตาของนางพวยพุ่งและปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา

"ฟุ่บ !"

นางหันหลังอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่ประตู

อย่างไรก็ตามในขณะที่นางเปิดประตูและกำลังจะทะยานออกไปจากห้อง

ปรากฏเงาร่างในชุดคลุมสีขาวขวางอยู่และหยุดนางเอาไว้

ผู้มาเป็นชายชราผมขาวที่ถือแส้หางม้าของนักพรตไว้ในมือ  เทียนจี้เจิ้นเหรินนั่นเอง

มันขมวดคิ้วมองสตรีตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม

พลันเอ่ยปากถามด้วยภาษาของเผ่ามาร “จวินจู้ ท่านคิดจะทำอะไร ?"

สตรีในชุดคลุมสีดำก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้นั่นเอง

!

นางชะงักไปเมื่อได้เห็นเทียนจี้เจิ้นเหรินตรงหน้า

จิตสังหารที่ปะทุออกมาพลันถูกสะกดไว้อย่างไม่เต็มใจ ปากกระซิบแผ่วเบาว่า “จี้เทียนซิงมาที่นี่

มันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ ข้าต้องการจะจับตัวมัน......"

"จวินจู้ เรื่องนี้ทำไม่ได้ ! ท่านอย่าได้หุนหัน”

เทียนจี้เจิ้นเหรินตะคอกเสียงแข็งพลางปิดประตูอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อไปว่า

“ตอนนี้แปดนิกายใหญ่และยอดฝีมือทุกคนมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่นบนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

หากท่านลงมือจับจี้เทียนซิง ไอมารของท่านจะแผ่กระจายออกไปจนทำให้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งพวกนั้นสัมผัสได้  ความแตกแน่นอน”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน

นางอดไม่ได้ที่ขมวดคิ้วและบ่นอย่างไม่เต็มใจว่า “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ? ต้องให้ข้ายืนดูมันรอดพ้นเงื้อมมือไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีกหรือไง

?”

"มหาปุโรหิต

ข้าต้องอยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว

แม้แต่จะออกจากตำหนักยังทำไม่ได้เลย ข้าต้องรอไปถึงเมื่อใด !?”

เทียนจี้เจิ้นเหริน(มหาปุโรหิต)รีบกล่าวแนะนำอย่างรวดเร็วว่า

“จวินจู้

หากเรื่องแค่นี้ท่านยังอดไม่ได้แล้วจะสำเร็จการใหญ่ได้อย่างไร ? ท่านมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ  แผนการล้างแค้นของพวกเรา  เชื่อข้า จงอดทนและรอ !"

"นอกจากนี้

ข้าได้เจรจาวางแผนกับเทียนเจี้ยนจงไว้เรียบร้อยแล้ว

แผนการจะเริ่มดำเนินการในงานเลี้ยงคืนนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะมีข้ออ้างเอาชีวิตจี้เทียนซิงได้

!”

หลังจากได้ยินประโยคนี้

ดวงตาของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็เปล่งประกายและสงบสติอารมณ์ลง

เมื่อเห็นว่านางไม่คิดต่อต้านและไม่พูดอะไรอีก

เทียนจี้เจิ้นเหรินจึงกล่าวต่อไปอย่างจริงจังว่า “จวินจู้

ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนและรอฟังข่าวดี ข้ายังมีงานต้องไปเตรียมการ

จดจำไว้ จงอดทน โอกาสของพวกเรามาถึงแน่”

หลังจากพูดจบ

เทียนจี้เจิ้นเหรินก็หายตัวไปทันที

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เดินกลับไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง

มองผ่านบานหน้าต่างไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิงอีกครั้ง

มุมปากแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างกระหายเลือด

.............

จี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์เดินเตร็ดเตร่ในนิกายกระบี่ฟ้าตลอดทั้งช่วงบ่าย

ทั้งสามเดินผ่านยอดเขาหลายแห่งและสังเกตผู้คน, บ้านเรือนและตำหนักมาแล้วนับไม่ถ้วน

นอกเหนือจากการทำความคุ้นเคยกับรูปแบบชีวิตของชาวนิกายกระบี่ฟ้าแล้ว

พวกเขายังไม่สามารถหาข่าวสารใดๆที่เป็นประโยชน์ได้เลย

ท้ายที่สุดแล้วเทียนเจี้ยนจงย่อมมีการเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้และคงไม่มีทางปล่อยให้คนนอกสืบข่าวอะไรได้ง่ายๆ

ในช่วงเวลานี้

จี้เทียนซิงได้พบกับศิษย์สาวกของนิกายกระบี่ฟ้ามากมาย

แววตาของพวกมันส่วนใหญ่ฉายแววระแวดระวังและมีความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด

ทันทีที่เห็นเสื้อคลุมสีขาวของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ชายหนุ่มสวมใส่

เพียงมองผ่านๆก็รับรู้ได้ทันทีว่านิกายกระบี่ฟ้ามองว่านิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นศัตรูคู่แค้น  นอกจากนี้เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงความคิดของประมุขและระดับผู้อาวุโสเท่านั้น

แม้กระทั่งศิษย์สาวกธรรมดาก็ยังมีความคิดในแนวทางเดียวกัน

จี้เทียนซิงรู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่อันตรายมาก

!

การต่อสู้แตกหักระหว่างนิกายกระบี่ฟ้ากับนิกายพันธมิตรสวรรค์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

!

พวกเขาสำรวจอยู่นาน

กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็เริ่มมืด

แขกคนอื่นๆได้มาถึงหมดแล้วและเข้าไปที่ห้องโถงต้อนรับบนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

จี้เทียนซิง หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์จึงกลับไปที่ห้องโถงและรอเวลาเริ่มงานเลี้ยงในช่วงค่ำ

โถงรับแขกสว่างไสวและมีสีสันสดใส

สตรีงดงามมากมายนับไม่ถ้วนเดินชดช้อยเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับยกอาหารเลิศรสและสุราล้ำค่า

บนเวทีสูงมีสตรีงดงามที่สวมอาภรณ์น้อยชิ้นกำลังเต้นรำ

ขับเน้นทรวดทรงองเอวและเรือนร่างที่งามสง่า

สร้างความเพลิดเพลินให้แขกเหรื่อได้เปิดหูเปิดตา

จนกระทั่งถึงเวลางานเลี้ยงเริ่มขึ้น ในที่สุดเจ้าของวันเกิดอย่างเทียนเจี้ยนจงก็ปรากฏกาย

มันเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยรอยยิ้มกว้างและต้อนรับบรรดาแขกทั้งหลาย

นอกจากนี้ยังมีเทียนจี้เจิ้นเหริน, หวงฟู่, ซื่อเหวินหยูและผู้อาวุโสอีกหลายคนของนิกายกระบี่ฟ้าที่ทยอยกันเข้ามาในห้องโถง

ทักทายพบปะกับแขกมาเยือนจากทุกสารทิศ

ห้องโถงต้อนรับกลายเป็นมีชีวิตชีวาในบันดลเมื่อเจ้าภาพออกมา

มันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความคึกคักไปทั่วบริเวณ

แต่ทว่า

จี้เทียนซิงกลับรู้สึกได้ในทันทีเมื่อเทียนเจี้ยนจง, ซื่อเหวินหยูและคนอื่นๆเข้ามาถึง

พวกมันส่งสายตาเย็นยะเยือกมาที่เขาอย่างชัดเจน

เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น......