ตำนานบรรพกาลแห่งเผ่าปีศาจ
ลึกเข้าไปในถ้ำปีศาจ, ภายในห้องลับที่กว้างและมืดมิดห้องหนึ่ง
ทั่วกำแพงถูกแกะสลักไว้ด้วยปีศาจและภูติผี มุมทั้งสี่ของห้องส่องสว่างไปด้วยหินอาคมจนเกิดแสงสลัวที่ดูอึมครึม
หลังบนเพดานถูกฝังไว้ด้วยอัญมณีจำนวนหนึ่งที่ส่องสว่างดาวกับดวงดาวบนท้องนภาและดูเหมือนจะก่อตัวกันเป็นข่ายอาคมชนิดหนึ่ง
นอกจากบรรยากาศที่เย็นเยือกเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแล้ว ภายในห้องลับก็ยังมีสิ่งลึกลับอีกอย่าง นั่นก็คือสระโลหิตที่มีรัศมีร่วมสิบเมตร
สระแห่งนี้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม
ภายใต้การกระตุ้นของอาคมยังมีรูปปั้นรูปหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางสระ มันถูกแกะสลักเป็นปีศาจที่มีปีกสีดำ
มีแขนอันใหญ่โตหยาบกร้านอีก 4 ข้างและมีใบหน้าเป็นสีเขียว
พลังที่ปั่นป่วนภายในสระเลือดทั้งหมดไปบรรจบกันบนรูปปั้นจนทำให้รูปปั้นสีดำทมิฬชุ่มโชกไปด้วยคราบโลหิตเป็นระยะ
ในขณะนี้เอง
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตก็กำลังยืนอยู่ขอบสระ พวกเขาสนทนากันด้วยเสียงต่ำ “องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย ข้าเพิ่งไปที่ห้องกักวิญญาณมาเมื่อครู่
โซ่เหล็กทมิฬทั้งสามสิบเก้าเส้นถูกตัดขาด
ดวงวิญญาณทั้งสามสิบเก้าดวงที่พวกเรากักขังไว้ถูกปลดปล่อยไปจุติใหม่จนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงดวงวิญญาณของเจ้าเด็กจี้หลิงผู้นั้นด้วย
เรื่องนี้เป็นฝีมือของไอ้พวกเด็กระยำแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ !”
ดวงตาสีแดงเข้มขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยพวยพุ่งเป็นไอควันแห่งโทสะ
จิตสังหารอันรุนแรงพลันปะทุขึ้น
นางขบฟันแน่นและคำรามอย่างโกรธแค้น
“ศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์ที่แสนบัดซบ ! พวกมันฉวยโอกาสตอนที่พวกเราไม่อยู่เข้าไปในห้องกักวิญญาณและปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นออกไป”
“นั่นคือวิญญาณที่พวกเราค้นหามากว่าร้อยปีอย่างยากลำบาก
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เก็บงำเบาะแสและความลับของดินแดนแห่งนี้ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณของจี้หลิงผู้นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับมหาข่ายอาคมของนิกายพันธมิตรสวรรค์
!”
“พวกเรายังไม่ได้เค้นความลับเกี่ยวกับข่ายอาคมภายในนิกายเลยด้วยซ้ำ
แต่มันกลับถูกชิงไปเสียแล้ว !”
"บัดซบ ! บัดซบที่สุด !! คอยดูเถิด
หากข้าจับพวกมันมาได้เมื่อไหร่ ข้าจะสูบเลือดและจองจำวิญญาณของพวกมันไปชั่วนิจนิรันดร์
!”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนร่างสั่นเทิ้ม
นางซัดฝ่ามือเข้าใส่สระโลหิตใต้ฝ่าเท้าอย่างลืมตัว
"เปรี้ยง !!!"
เสียงกัมปนาทดังขึ้น
สระเลือดม้วนตัวเป็นคลื่นสูงกว่าสามเมตรและเกิดเป็นพิรุณโลหิตสีแดงฉาดนับไม่ถ้วนหลั่งไหลลงมา
มหาปุโรหิตขมวดคิ้วแน่น
มันยกสองแขนขึ้นพาดเหนือหน้าอกเป็นรูปกากบาทและคารวะไปที่รูปปั้นในสระเลือดด้วยท่วงท่าแปลกพิลึก
ในขณะที่คารวะมันก็ท่องอธิษฐานพึมพำอยู่สองสามประโยค
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมนต์คาถาบางอย่าง
หลังจากคำอธิษฐานสิ้นสุดลง
มันก็จ้องมองไปที่องค์หญิงเสวี่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะของท่านด้วย
อย่าได้เสียมารยาทต่อรูปปั้นองค์จักรพรรดิปีศาจ !”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยตกตะลึง
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
นอกจากนี้
นางก็ยกสองมือไขว้หน้าอกเพื่อคารวะรูปปั้นจักรพรรดิปีศาจในสระเลือดเช่นเดียวกัน
จากนั้นก็ท่องบทสวดเพื่อสารภาพผิด
ต่อมาไม่นาน
นางกล่าวกับมหาปุโรหิตว่า “มหาปุโรหิต ข้าต้องนำขบวนรบลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์เพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณของเจ้าเด็กจี้หลิงกลับคืนมา
มีเพียงการทรมานดวงวิญญาณเพื่อเค้นความลับจากมันเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยจักรพรรดิปีศาจกลับมาได้โดยเร็วที่สุด
!”
มหาปุโรหิตส่ายหัวและยับยั้งความคิดของนางพลางกล่าวว่า “องค์หญิง
นิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังอยู่ในช่วงตื่นตัว พวกมันต้องวางมาตรการป้องกันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
หากท่านนำนักรบของเราลอบเข้าไปก็เท่ากับไปตายเปล่า !”
“เรื่องนี้สมควรพักไว้ก่อน
เรามีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ นั่นก็คือข่าวคราวของลูกประคำดารา มันสำคัญยิ่งกว่าการเค้นหาความลับของมหาข่ายอาคม”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วแนบแน่น
ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความงุนงง
“จะให้ตรวจสอบข่าวคราวของลูกประคำดารางั้นหรือ ? อย่างไร ? ดวงวิญญาณในห้องกักวิญญาณล้วนแต่ถูกปลดปล่อยไปทั้งหมด
พวกเราไม่สามารถหาเบาะแสได้อีกแล้ว”
มุมปากของมหาปุโรหิตยกขึ้นโค้งอย่างลี้ลับและกล่าวสัพยอก
“มิใช่ว่าองค์หญิงเพิ่งจับตัวศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์มาเมื่อเย็นหรอกหรือ
?”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้ว
ดวงตาเต็มไปด้วยความหยามหยันและกล่าวว่า “ท่านหมายถึงเจ้าหนูเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นั้นน่ะหรือ
? เฮอะ ! มันอายุยังไม่ถึง 20 ปีแถมยังอ่อนแอเยี่ยงนั้น มันจะไปเกี่ยวพันอันใดกับลูกประคำดารา”
“เหอ...เหอ..”
มหาปุโรหิตแสยะยิ้มและกล่าวหัวเราะสองครั้ง
จากนั้นก็ถามว่า “องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย
ท่านลืมเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่พวกเราลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์แล้วหรือ
? ท่านจำวีรกรรมของเจ้าหนูนั่นมิได้
?"
“ถึงแม้ว่ามันจะอ่อนแอดั่งมดปลวก แต่หลุมดำลึกลับที่ปรากฏรอบตัวมันกลับสามารถดูดพลังของท่านไปได้ถึงหกส่วน
!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ดูไม่ปกติเล็กน้อย
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอับอาย
“เฮอะ ! ไอ้หนูนั่นย่อมมีกายสมบัติลับบางอย่างเป็นแน่
มิเช่นนั้นด้วยระดับพลังยุทธ์ของมัน
ข้าสามารถทุบตีมันให้เละเป็นเนื้อบดได้ในพริบตา !”
มหาปุโรหิตยิ้มและกล่าวว่า
“มิผิด มันมีสมบัติลับจริง !”
“เมื่อตอนที่ข้าช่วยท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงขุมพลังระดับบรรพกาลอันลี้ลับสายหนึ่งในหลุมดำนั่น
!”
“จากข้อมูลที่ท่านจักรพรรดิปีศาจหลงเหลือไว้ บรรยากาศที่ลึกลับนั่นแผ่กลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับลูกประคำดารา
!”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นจะไปมีกลิ่นอายของลูกประคำดาราได้อย่างไร
?”
มหาปุโรหิตกล่าวอย่างราบเรียบว่า
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ
เราจะไม่รู้จนกว่าจะตรวจสอบเจ้าหนูนั่นเสียก่อน ถึงแม้มันจะอ่อนแอแต่ก็อาจจะเป็นเบาะแสที่พาเราไปถึงประคำดารา
หากสามารถใช้ประโยชน์จากมัน พวกเราย่อมพบลูกประคำดาราเป็นแน่ !”
“ตราบใดที่เราพบมัน
เราก็จะพบหลุมศพแห่งเซียนกระบี่
จากนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองดั่งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน !”
“ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่อาณาจักรเทียนเฉินเลย เผ่าพันธุ์ปีศาจของเราจะผงาดขึ้นและปกครองทั่วทั้งทวีป
!”
มหาปุโรหิตกล่าวด้วยสีหน้าฮึกเหิมและตื่นเต้นยินดี
แม้แต่โทนเสียงของมันยังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความคาดหวัง
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วและยิ่งมีสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่
นางกล่าวว่า “มหาปุโรหิต
หน้าที่ของพวกเรามีแค่ทำลายข่ายอาคมและช่วยท่านจักรพรรดิปีศาจออกมา หลังจากนั้น ตราบใดที่พวกเราตามหาประคำดาราพบก็จะสามารถฟื้นฟูปราณปีศาจของท่านจักรพรรดิได้
สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะสามารถแก้แค้นเผ่าพันธุ์มนุษย์และควบคุมอาณาจักรเทียนเฉิน
!”
“นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามอย่างหนักมานับร้อยปีมิใช่หรือ
? เหตุใดถึงต้องทำเรื่องนอกเหนือจากเป้าหมายด้วยการตามหาสุสานเซียนกระบี่อีกเล่า
?”
“สุสานเซียนกระบี่เกี่ยวพันอันใดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา
?”
มหาปุโรหิตมองนางอย่างลึกซึ้งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หึๆ องค์หญิง ท่านอายุยังน้อย
ความรู้ย่อมตื้นเขิน ดูเหมือนว่าตำนานบรรพกาลแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา ท่านจักรพรรดิปีศาจจะมิได้บอกเล่าต่อท่าน”
“ตำนานบรรพกาลอันใด ?”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยจ้องมองไปที่มหาปุโรหิต
ในใจของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
ทัศนคติและการแสดงออกของมหาปุโรหิตทำให้นางรู้สึกว่าสถานะและศักดิ์ศรีของนางกำลังถูกดูหมิ่น
จากนั้นมหาปุโรหิตก็เอาสองมือไพล่หลังและเหลียวมองไปยังรูปปั้นจักรพรรดิปีศาจในสระเลือด
ดวงตาของมันทอประกายแห่งความทรงจำและเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า
ราวกับกำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่ง
“ตำนานดังกล่าวถูกเล่าขานมานับพันๆปี... องค์หญิง
ท่านสมควรทราบอย่างกระจ่างแจ้งว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งโครงสร้างร่างกายและวิถีบ่มเพาะตามธรรมชาติก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดมาพร้อมกับตันเถียน
ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจของเราไม่มีตันเถียน มีเพียงเส้นชีพจรลมปราณและกายเนื้ออันทรงพลัง”
“พวกเราไม่สามารถฝึกฝนพลังแห่งองค์ประกอบทั้งห้าได้อย่างเผ่าพันธุ์มนุษย์
[ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน] พวกเราสามารถบ่มเพาะได้เพียงวิถีแห่งมารโลหิต, วิถีคุมศพและอาชูร่าสังหาร !”
“ด้วยเหตุนี้พวกมนุษย์แทบทั้งหมดจึงมองว่าเผ่าปีศาจเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมดุร้าย
พบเจอที่ไหนต้องฆ่า นี่มิใช่สิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราคาดหวัง
นี่คือลิขิตฟ้าที่น่าชัง ! พวกเราถูกบีบให้ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
!”
“พวกเราบ่มเพาะวิถีอันชั่วร้ายและศาสตร์ลับนอกรีตมากมาย
แม้ว่ามันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งที่ทำให้พวกเราเหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ก็จริง
แต่พวกเราก็มีจุดอ่อนและข้อเสียบางอย่างที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวง”
“ยิ่งพวกเราแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด
ความเจ็บปวดที่ได้รับในระหว่างการบ่มเพาะก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นทบทวี ร่างกายจะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากมายจนในที่สุดก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว
!”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved