ตอนที่ 159

ตำนานบรรพกาลแห่งเผ่าปีศาจ

ลึกเข้าไปในถ้ำปีศาจ, ภายในห้องลับที่กว้างและมืดมิดห้องหนึ่ง

ทั่วกำแพงถูกแกะสลักไว้ด้วยปีศาจและภูติผี มุมทั้งสี่ของห้องส่องสว่างไปด้วยหินอาคมจนเกิดแสงสลัวที่ดูอึมครึม

หลังบนเพดานถูกฝังไว้ด้วยอัญมณีจำนวนหนึ่งที่ส่องสว่างดาวกับดวงดาวบนท้องนภาและดูเหมือนจะก่อตัวกันเป็นข่ายอาคมชนิดหนึ่ง

นอกจากบรรยากาศที่เย็นเยือกเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแล้ว  ภายในห้องลับก็ยังมีสิ่งลึกลับอีกอย่าง  นั่นก็คือสระโลหิตที่มีรัศมีร่วมสิบเมตร

สระแห่งนี้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม

ภายใต้การกระตุ้นของอาคมยังมีรูปปั้นรูปหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางสระ มันถูกแกะสลักเป็นปีศาจที่มีปีกสีดำ

มีแขนอันใหญ่โตหยาบกร้านอีก 4 ข้างและมีใบหน้าเป็นสีเขียว

พลังที่ปั่นป่วนภายในสระเลือดทั้งหมดไปบรรจบกันบนรูปปั้นจนทำให้รูปปั้นสีดำทมิฬชุ่มโชกไปด้วยคราบโลหิตเป็นระยะ

ในขณะนี้เอง

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตก็กำลังยืนอยู่ขอบสระ พวกเขาสนทนากันด้วยเสียงต่ำ “องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย ข้าเพิ่งไปที่ห้องกักวิญญาณมาเมื่อครู่

โซ่เหล็กทมิฬทั้งสามสิบเก้าเส้นถูกตัดขาด

ดวงวิญญาณทั้งสามสิบเก้าดวงที่พวกเรากักขังไว้ถูกปลดปล่อยไปจุติใหม่จนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงดวงวิญญาณของเจ้าเด็กจี้หลิงผู้นั้นด้วย

เรื่องนี้เป็นฝีมือของไอ้พวกเด็กระยำแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ !”

ดวงตาสีแดงเข้มขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยพวยพุ่งเป็นไอควันแห่งโทสะ

จิตสังหารอันรุนแรงพลันปะทุขึ้น

นางขบฟันแน่นและคำรามอย่างโกรธแค้น

“ศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์ที่แสนบัดซบ !  พวกมันฉวยโอกาสตอนที่พวกเราไม่อยู่เข้าไปในห้องกักวิญญาณและปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นออกไป”

“นั่นคือวิญญาณที่พวกเราค้นหามากว่าร้อยปีอย่างยากลำบาก

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เก็บงำเบาะแสและความลับของดินแดนแห่งนี้ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณของจี้หลิงผู้นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับมหาข่ายอาคมของนิกายพันธมิตรสวรรค์

!”

“พวกเรายังไม่ได้เค้นความลับเกี่ยวกับข่ายอาคมภายในนิกายเลยด้วยซ้ำ

แต่มันกลับถูกชิงไปเสียแล้ว !”

"บัดซบ  ! บัดซบที่สุด !!  คอยดูเถิด

หากข้าจับพวกมันมาได้เมื่อไหร่ ข้าจะสูบเลือดและจองจำวิญญาณของพวกมันไปชั่วนิจนิรันดร์

!”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนร่างสั่นเทิ้ม

นางซัดฝ่ามือเข้าใส่สระโลหิตใต้ฝ่าเท้าอย่างลืมตัว

"เปรี้ยง !!!"

เสียงกัมปนาทดังขึ้น

สระเลือดม้วนตัวเป็นคลื่นสูงกว่าสามเมตรและเกิดเป็นพิรุณโลหิตสีแดงฉาดนับไม่ถ้วนหลั่งไหลลงมา

มหาปุโรหิตขมวดคิ้วแน่น

มันยกสองแขนขึ้นพาดเหนือหน้าอกเป็นรูปกากบาทและคารวะไปที่รูปปั้นในสระเลือดด้วยท่วงท่าแปลกพิลึก

ในขณะที่คารวะมันก็ท่องอธิษฐานพึมพำอยู่สองสามประโยค

ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมนต์คาถาบางอย่าง

หลังจากคำอธิษฐานสิ้นสุดลง

มันก็จ้องมองไปที่องค์หญิงเสวี่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะของท่านด้วย

อย่าได้เสียมารยาทต่อรูปปั้นองค์จักรพรรดิปีศาจ !”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยตกตะลึง

ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

นอกจากนี้

นางก็ยกสองมือไขว้หน้าอกเพื่อคารวะรูปปั้นจักรพรรดิปีศาจในสระเลือดเช่นเดียวกัน

จากนั้นก็ท่องบทสวดเพื่อสารภาพผิด

ต่อมาไม่นาน

นางกล่าวกับมหาปุโรหิตว่า “มหาปุโรหิต ข้าต้องนำขบวนรบลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์เพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณของเจ้าเด็กจี้หลิงกลับคืนมา

มีเพียงการทรมานดวงวิญญาณเพื่อเค้นความลับจากมันเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยจักรพรรดิปีศาจกลับมาได้โดยเร็วที่สุด

!”

มหาปุโรหิตส่ายหัวและยับยั้งความคิดของนางพลางกล่าวว่า “องค์หญิง

นิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังอยู่ในช่วงตื่นตัว พวกมันต้องวางมาตรการป้องกันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

หากท่านนำนักรบของเราลอบเข้าไปก็เท่ากับไปตายเปล่า !”

“เรื่องนี้สมควรพักไว้ก่อน

เรามีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ นั่นก็คือข่าวคราวของลูกประคำดารา มันสำคัญยิ่งกว่าการเค้นหาความลับของมหาข่ายอาคม”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วแนบแน่น

ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความงุนงง

“จะให้ตรวจสอบข่าวคราวของลูกประคำดารางั้นหรือ ? อย่างไร ? ดวงวิญญาณในห้องกักวิญญาณล้วนแต่ถูกปลดปล่อยไปทั้งหมด

พวกเราไม่สามารถหาเบาะแสได้อีกแล้ว”

มุมปากของมหาปุโรหิตยกขึ้นโค้งอย่างลี้ลับและกล่าวสัพยอก

“มิใช่ว่าองค์หญิงเพิ่งจับตัวศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์มาเมื่อเย็นหรอกหรือ

?”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้ว

ดวงตาเต็มไปด้วยความหยามหยันและกล่าวว่า “ท่านหมายถึงเจ้าหนูเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นั้นน่ะหรือ

? เฮอะ !  มันอายุยังไม่ถึง 20 ปีแถมยังอ่อนแอเยี่ยงนั้น มันจะไปเกี่ยวพันอันใดกับลูกประคำดารา”

“เหอ...เหอ..”

มหาปุโรหิตแสยะยิ้มและกล่าวหัวเราะสองครั้ง

จากนั้นก็ถามว่า “องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย

ท่านลืมเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่พวกเราลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์แล้วหรือ

?  ท่านจำวีรกรรมของเจ้าหนูนั่นมิได้

?"

“ถึงแม้ว่ามันจะอ่อนแอดั่งมดปลวก แต่หลุมดำลึกลับที่ปรากฏรอบตัวมันกลับสามารถดูดพลังของท่านไปได้ถึงหกส่วน

!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ดูไม่ปกติเล็กน้อย

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอับอาย

“เฮอะ ! ไอ้หนูนั่นย่อมมีกายสมบัติลับบางอย่างเป็นแน่

มิเช่นนั้นด้วยระดับพลังยุทธ์ของมัน

ข้าสามารถทุบตีมันให้เละเป็นเนื้อบดได้ในพริบตา !”

มหาปุโรหิตยิ้มและกล่าวว่า

“มิผิด มันมีสมบัติลับจริง !”

“เมื่อตอนที่ข้าช่วยท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงขุมพลังระดับบรรพกาลอันลี้ลับสายหนึ่งในหลุมดำนั่น

!”

“จากข้อมูลที่ท่านจักรพรรดิปีศาจหลงเหลือไว้ บรรยากาศที่ลึกลับนั่นแผ่กลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับลูกประคำดารา

!”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นจะไปมีกลิ่นอายของลูกประคำดาราได้อย่างไร

?”

มหาปุโรหิตกล่าวอย่างราบเรียบว่า

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ

เราจะไม่รู้จนกว่าจะตรวจสอบเจ้าหนูนั่นเสียก่อน ถึงแม้มันจะอ่อนแอแต่ก็อาจจะเป็นเบาะแสที่พาเราไปถึงประคำดารา

หากสามารถใช้ประโยชน์จากมัน พวกเราย่อมพบลูกประคำดาราเป็นแน่ !”

“ตราบใดที่เราพบมัน

เราก็จะพบหลุมศพแห่งเซียนกระบี่

จากนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองดั่งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน !”

“ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่อาณาจักรเทียนเฉินเลย เผ่าพันธุ์ปีศาจของเราจะผงาดขึ้นและปกครองทั่วทั้งทวีป

!”

มหาปุโรหิตกล่าวด้วยสีหน้าฮึกเหิมและตื่นเต้นยินดี

แม้แต่โทนเสียงของมันยังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ

ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความคาดหวัง

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วและยิ่งมีสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่

นางกล่าวว่า “มหาปุโรหิต

หน้าที่ของพวกเรามีแค่ทำลายข่ายอาคมและช่วยท่านจักรพรรดิปีศาจออกมา หลังจากนั้น ตราบใดที่พวกเราตามหาประคำดาราพบก็จะสามารถฟื้นฟูปราณปีศาจของท่านจักรพรรดิได้

สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะสามารถแก้แค้นเผ่าพันธุ์มนุษย์และควบคุมอาณาจักรเทียนเฉิน

!”

“นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามอย่างหนักมานับร้อยปีมิใช่หรือ

? เหตุใดถึงต้องทำเรื่องนอกเหนือจากเป้าหมายด้วยการตามหาสุสานเซียนกระบี่อีกเล่า

?”

“สุสานเซียนกระบี่เกี่ยวพันอันใดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา

?”

มหาปุโรหิตมองนางอย่างลึกซึ้งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“หึๆ องค์หญิง ท่านอายุยังน้อย

ความรู้ย่อมตื้นเขิน ดูเหมือนว่าตำนานบรรพกาลแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา  ท่านจักรพรรดิปีศาจจะมิได้บอกเล่าต่อท่าน”

“ตำนานบรรพกาลอันใด ?”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยจ้องมองไปที่มหาปุโรหิต

ในใจของนางเต็มไปด้วยความสงสัย

ทัศนคติและการแสดงออกของมหาปุโรหิตทำให้นางรู้สึกว่าสถานะและศักดิ์ศรีของนางกำลังถูกดูหมิ่น

จากนั้นมหาปุโรหิตก็เอาสองมือไพล่หลังและเหลียวมองไปยังรูปปั้นจักรพรรดิปีศาจในสระเลือด

ดวงตาของมันทอประกายแห่งความทรงจำและเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า

ราวกับกำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่ง

“ตำนานดังกล่าวถูกเล่าขานมานับพันๆปี...  องค์หญิง

ท่านสมควรทราบอย่างกระจ่างแจ้งว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งโครงสร้างร่างกายและวิถีบ่มเพาะตามธรรมชาติก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดมาพร้อมกับตันเถียน

ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจของเราไม่มีตันเถียน มีเพียงเส้นชีพจรลมปราณและกายเนื้ออันทรงพลัง”

“พวกเราไม่สามารถฝึกฝนพลังแห่งองค์ประกอบทั้งห้าได้อย่างเผ่าพันธุ์มนุษย์

[ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน]  พวกเราสามารถบ่มเพาะได้เพียงวิถีแห่งมารโลหิต, วิถีคุมศพและอาชูร่าสังหาร !”

“ด้วยเหตุนี้พวกมนุษย์แทบทั้งหมดจึงมองว่าเผ่าปีศาจเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมดุร้าย

พบเจอที่ไหนต้องฆ่า  นี่มิใช่สิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราคาดหวัง

นี่คือลิขิตฟ้าที่น่าชัง !  พวกเราถูกบีบให้ต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

!”

“พวกเราบ่มเพาะวิถีอันชั่วร้ายและศาสตร์ลับนอกรีตมากมาย

แม้ว่ามันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งที่ทำให้พวกเราเหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ก็จริง

แต่พวกเราก็มีจุดอ่อนและข้อเสียบางอย่างที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวง”

“ยิ่งพวกเราแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด

ความเจ็บปวดที่ได้รับในระหว่างการบ่มเพาะก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นทบทวี ร่างกายจะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากมายจนในที่สุดก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว

!”