ตอนที่ 228

สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง

จี้เทียนซิงได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับรัชทายาทเผ่าอัคคีทักษิณจากปากหยุนเหยา

ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่มีสายเลือดพิเศษก็เพียงพอแล้วที่จะนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์

มันเป็นพรสวรรค์ที่คนทั่วไปยากจะเข้าถึง

ส่วนคนที่มีสายเลือดพิเศษสองสายนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า

และผู้ฝึกยุทธ์จำพวกนี้ร้อยปียังมีเพียงแค่ไม่กี่คน !

เอี๋ยนเอ๋อร์เป็นรัชทายาทเผ่าอัคคีที่บิดามารดาต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งคู่

แน่นอนว่าเขาย่อมได้รับการสืบทอดพรสวรรค์โดยกำเนิดจากจักรพรรดิอัคคีและราชินีอัคคี

ไม่เพียงแค่นั้น

เขายังสามารถปลุกกายาเพลิงคะนองซึ่งเป็นกายาพิเศษขึ้นได้อีกด้วย

ตามที่จี้เทียนซิงได้ฟังมา

เอี๋ยนเอ๋อร์ผู้นี้มีพลังสายเลือดสองชนิดและมีร่างกายที่พิเศษ

แน่นอนว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่

แต่ทว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือกายเพลิงคะนองที่ตื่นขึ้นจะทำให้เอี๋ยนเอ๋อร์ต้องทุกข์ทรมาน

!

“ศิษย์พี่ใหญ่

เอี๋ยนเอ๋อร์มีพลังสายเลือดสองชนิดและยังมีกายาที่พิเศษ

มิใช่ว่าเขาเป็นอัจฉริยะระดับสูงหรอกหรือ ? ทำไมท่านถึงได้บอกว่าเขาต้องเจ็บปวดแสนสาหัส

?”

หยุนเหยาส่ายหัวเล็กน้อย

นางทอดถอนใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์เพียงครอบครองสายเลือดสองชนิดหรือมีเพียงแค่กายาเพลิงคะนองก็สามารถนับว่าเป็นอัจฉริยะอนาคตไกลแล้ว”

“แต่โชคไม่ดีที่เขาครอบครองพวกมันทั้งหมด

มันจึงกลายเป็นหายนะแทนคำว่าอัจฉริยะ”

“เพลิงหยางสีชาดมีผลเป็นบวกและเพลิงหยินคลั่งมีผลเป็นลบ

ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์สามารถผสานพลังสายเลือดทั้งสองชนิดที่เป็นหยินและหยางเข้าด้วยกันได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด

มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว”

“เพียงแต่ว่ากายาเพลิงคะนองที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั้นเป็นคุณลักษณะของธาตุไฟที่แข็งแกร่งกว่ามาก

มันสามารถกลืนกินพลังของทั้งสองสายเข้าไปจนทำให้สภาพร่างกายไม่สมดุล”

“พลังสายเลือดทั้งสองของศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์นั้นขัดแย้งกับกายาเพลิงคะนองอย่างรุนแรง

จนนำไปสู่พลังที่ปะทุออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

มันทำให้ทักษะของเขาลดลงและเจ็บปวดทรมาน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้จี้เทียนซิงก็พยักหน้าด้วยความสงสารและรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

“ช่างน่าสงสารนัก”

หยุนเหยากล่าวต่อไปว่า

“สามปีก่อนกายาเพลิงคะนองของศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์ได้ตื่นขึ้นและสร้างความทรมาน

เมื่อใดที่พลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้น ความทรมานก็จะยิ่งมากรุนแรงมากขึ้นไปด้วย

แม้กระทั่งจักรพรรดิอัคคีและราชินีก็ยังจนปัญญา”

“จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน

จักรพรรดิอัคคีได้พาเอี๋ยนเอ๋อร์มาที่นิกายและขอให้ท่านอาจารย์หาทางช่วย ตั้งแต่นั้นมาศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์ก็อยู่ที่นิกายเราเรื่อยมา

และท่านอาจารย์ก็รับเขาเป็นศิษย์สายตรง”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา

อาการของศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ

สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงต้องนอนหลับอยู่ในห้องลับโดยอาศัยข่ายอาคมของท่านอาจารย์ช่วยระงับเพลิงคะนองในร่างกาย”

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดและพยักหน้า

“มิน่าเล่า

ข้าถึงไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเขามาก่อน”

จากนั้นชายหนุ่มก็ถามคำถามหยุนเหยาอีกเล็กน้อย

ทั้งสองคุยกันอีกพักใหญ่จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินก็แยกย้ายกันไป

จี้เทียนซิงกลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

เมื่อมาถึงเขาก็เห็นศิษย์หลายคนกำลังรวมกลุ่มคุยกัน

แม้จะอยู่ไกลก็ยังได้ยินคำว่า

‘เปิดข่ายปราณ’ และ

‘เข้าสู่ฝ่ายใน’ เขารู้ได้ในทันทีว่าข่าวแพร่ออกไปแล้ว ศิษย์ทั้งหลายกำลังพูดถึงเขานั่นเอง

แน่นอน

เมื่อเหล่าศิษย์เห็นเขาเดินมาก็หยุดการพูดคุยทันที

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนพวกมันจะมองเขาด้วยสีหน้าแตกต่างกันออกไป

บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็สบถด่าทออย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม

หลังจากจบการประลองหลงซาน สมาชิกหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที หลายๆคนเริ่มเชื่อมั่นและมีเจตนาดีที่จะผูกสัมพันธ์อันดีต่อเขา

ตอนนี้เขามีส่วนร่วมและมีบทบาทฐานะอย่างมากในนิกาย  เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นศิษย์ฝ่ายในโดยตรงจากคำสั่งของประมุขนิกาย

อีกทั้งยังถูกรับเป็นศิษย์สายตรงอีกด้วย

ความรุ่งโรจน์เจิดจรัสและอัตลักษณ์ที่สูงส่งเยี่ยงนี้ย่อมทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อน

ศิษย์ทั้งหลายเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรและเอ่ยปากทักทายเขาทันที

“ศิษย์พี่จี้ !”

“อ่า ศิษย์พี่จี้ไปไงมาไงขอรับ !”

“ทักทายศิษย์พี่จี้ !”

หลังจากแหกปากทักทายแล้วศิษย์ทั้งหลายก็เข้ามาห้อมล้อมจี้เทียนซิง

สีหน้าของทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนอิจฉาเลื่อมใส  จากนั้นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ศิษย์พี่จี้ พวกเราเพิ่งได้ยินข่าวว่าท่านประมุขประกาศให้ท่านเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายในใช่ไหมขอรับ

?”

“ศิษย์พี่จี้

ท่านประมุขคิดจะรับท่านเป็นศิษย์สายตรงใช่ไหม ! ในอนาคตท่านจะเป็นหนึ่งในศิษย์ที่โด่งดังที่สุดของนิกาย

ท่านอย่าได้ลืมพวกเรานะ”

“แหะๆ ศิษย์พี่จี้

รอให้ท่านผ่านพิธีกราบอาจารย์และกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

ทีนี้ศักดิ์ฐานะของท่านก็จะเทียบเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยาแล้ว น่าอิจฉายิ่งนัก !”

“ศิษย์พี่จี้

ท่านช่วยเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมว่า มหาข่ายปราณคืออะไรหรือขอรับ ?”

ศิษย์ทั้งหลายเต็มไปด้วยความสงสัยและหันไปมองอีกฝ่ายเพื่อรอคอยเขาบอกเล่ารายละเอียด

จี้เทียนซิงพยักหน้าให้ทุกคนและเผยรอยยิ้มจางๆขึ้นพลางกล่าวว่า

“อืม อีกสามวันข้างหน้าหลังจากพิธีกราบอาจารย์ ข้าจะต้องออกจากที่นี่เข้าไปอยู่ฝ่ายในแล้ว”

“ศิษย์น้องทั้งหลายต้องพยายามให้มากเพื่อผ่านการประเมินเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน

ข้าจะรอพวกเจ้าทุกคนอยู่ในเขตชั้นใน”

น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบและวางสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับกล่าวเรื่องไม่สลักสำคัญ

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นว่าที่ศิษย์สายตรงของประมุขนิกายที่ทำให้ศิษย์คนอื่นๆต้องอิจฉาริษยา

แต่เขาก็ยังทำตัวสงบเยือกเย็น

ไม่แยแสและไม่เย่อหยิ่งต่อชื่อเสียงเกียรติยศครั้งนี้

ศิษย์หลายคนอิจฉาเขา

แต่ก็ชื่นชมการวางตัวและทัศนคติที่ดีที่ไม่โอ้อวดศักดิ์ฐานะ

เขาเพียงแค่พูดผลักดันให้กำลังใจทุกคนเท่านั้น

นอกจากนี้จี้เทียนซิงก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจ

เพราะมันคือความลับของนิกายที่ไม่อาจแพร่งพรายได้

เมื่อศิษย์กลุ่มนี้ได้เข้าสู่ฝ่ายในและมีสถานะกับพลังที่แข็งแกร่งพอ

ถึงเวลานั้นพวกเขาจะมีคุณสมบัติได้รับรู้ความลับของนิกายเองโดยธรรมชาติ

หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันซักพัก

จี้เทียนซิงก็ขอตัวกลับไปที่ห้อง

ศิษย์ทั้งหลายจ้องมองแผ่นหลังที่ค่อยๆลับตาไปของจี้เทียนซิง

พวกเขายังไม่แยกย้ายกันไปไหนเพียงครุ่นคิดด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน

อี้โม่ถอนหายใจและพูดว่า

“เฮ้อ

โชคชะตาของเขาช่างวิเศษนัก”

“ในเวลาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น

น่าเหลือเชื่อนักที่ศิษย์พี่จี้ได้ผ่านประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่ผลิกผันกลับกลายขนาดนี้”

ซื่อจิงเชิงพยักหน้าเห็นด้วยพล่างกล่าวว่า

“ถูกต้อง

แรกเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นใหม่ๆศิษย์พี่จี้ยังแข็งแกร่งไม่เท่าพวกเราเลยด้วยซ้ำ”

“ในเวลานั้น เขาไม่เพียงแค่ติดกับการกลั่นแกล้งจนถูกส่งไปกวาดพื้นแต่เขายังเกือบจะโดนโทษสถานหนักและถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬ

โชคชะตาที่บิดเบี้ยวคดเคี้ยวของเขานั้นยากที่จะจินตนาการได้”

“วันนี้เขาไม่เพียงแค่ก้าวถึงขอบเขตปราณจิต

แต่เขายังเป็นผู้ชนะในการประลองหลงซานอีกด้วย

เขาสร้างคุณงามความดีให้แก่นิกายมากมายจนได้เข้าไปอยู่ฝ่ายในก่อนเวลา

สุดท้ายก็กลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข”

“ประสบการณ์ชีวิตที่ผกผันเช่นนี้

หากมิได้เห็นกับตา ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ”

ศิษย์คนอื่นๆก็มีความรู้สึกเหมือนกัน

พวกเขากล่าวว่า “เป็นดั่งที่โบราณว่าไว้

ทองแท้จะอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทองที่เปล่งประกายอยู่วันยังค่ำ !”

“ต่อให้ศิษย์พี่จี้จะต้องทนทุกข์ทรมานและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในตอนแรก

แต่เขาก็ไม่เคยท้อถอยยอมแพ้ เขายังคงก้มหน้าก้มตาบ่มเพาะฝึกฝนอยู่เสมอ

เขาถึงได้รับเกียรติยศและโอกาสในวันนี้”

“พวกเราต้องเอาเขาเป็นตัวอย่างและพยายามให้มากๆเข้า

มิฉะนั้นพวกเราคงไม่มีอนาคตที่สดใสเช่นนั้น !”