ตอนที่ 214

สตรีสองหน้า

?

หลังจากเวลาผ่านไป

จี้เทียนซิงก็อ่านเนื้อหาในจดหมายจนหมด

เขานำจดหมายเก็บใส่ซองและนำไปไว้ในแหวนมิติด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“โชคดีที่ตระกูลราชวงศ์มิได้ใช้ความตายของจี้หลิงมาเป็นข้ออ้างโจมตีตระกูลจี้

มิฉะนั้นท่านพ่อคงตกอยู่ในอันตราย ... ”

หลังจากที่ฆ่าจี้หลิงไปจี้เทียนซิงก็ยังลอบหวั่นใจอยู่ว่าเมื่อข่าวถูกส่งกลับไปยังเมืองจักรวรรดิแล้วราชวงศ์จะโกรธแค้นจนยกกองทัพมาสร้างหายนะให้กับตระกูลจี้

เมื่อตอนนี้ได้ทราบเกี่ยวกับท่าทีของราชวงศ์

ชายหนุ่มก็เบาใจลงได้ในที่สุด

“หรือว่าที่ราชวงศ์ไม่เอาเรื่องตระกูลจี้ต่อการตายของจี้หลิงจะเกี่ยวข้องกับเค่อเค่อกันนะ

?”

“แม่เด็กโง่คนนั้นย่อมต้องแจ้งต่อองค์จักรพรรดิให้ละเว้นข้ากับตระกูลจี้เป็นแน่

มิฉะนั้นการที่เจ้าชายคนหนึ่งถูกข้าสังหาร สำหรับราชวงศ์แล้วย่อมถือเป็นการเสียหน้าใหญ่หลวงและไม่มีทางให้อภัยข้ากับตระกูลจี้แน่นอน”

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้

จี้เทียนซิงก็เผยรอยยิ้มและกระซิบกับตัวเองว่า “ถึงแม้นางจะไม่พูดอะไรและทำเหมือนไม่รู้เรื่อง

แต่ข้าก็ยังถือเป็นหนี้บุญคุณนางอยู่ดี”

ชายหนุ่มเก็บบุญคุณครั้งนี้ไว้ในใจและตัดสินใจที่จะรอโอกาสตอบแทนจี้เค่อภายหลัง

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินออกจากห้องและออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อันเพื่อกวาดพื้นให้เซี่ยงหวู่จี้

นอกจากนี้เขายังคิดจะถามเกี่ยวกับกระบวนท่าประกายแสงมังกรแดงเพิ่มอีกเติมอีกด้วย

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี่เขาได้ฝึกฝนกระบวนท่านี้มาหลายครั้งจนมีความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ทว่าเขาก็ยังมีข้อสงสัยในใจที่คิดไม่ออกมานาน

เขาเดินไปตามเส้นทางที่มีป่าไม้ร่มรื่นมากมายมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อันที่อยู่ส่วนนอกนิกาย

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเดินผ่านศาลาที่เชิงเขาก็ได้เห็นเงาร่างบอบบางสองร่างยืนอยู่ในศาลา

นั่นคือหญิงสาวสองคนในชุดกระโปรงยาว

พวกนางยืนอยู่ในศาลาและมองไปที่ทิวทัศน์บนภูเขาพลางหัวร่อต่อกระซิกกันด้วยรอยยิ้มอย่างกลมเกลียว

หนึ่งในนั้นก็คือหญิงสาวในชุดเขียว, ซวนซวนนั่นเอง

ส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว

ร่างกายของนางสูงระหงและมีใบหน้างดงาม

เมื่อจี้เทียนซิงมองดูหญิงสาวในชุดกระโปรงขาวผู้นั้น

เขาก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้งดงามหมดจดและมีรอยยิ้มเฉิดฉายราวกับบุปผาเบ่งบาน

กระโปรงยาวสีขาวของนางพริ้วสะบัดรัดรูปราวกับร่ายรำไปตามสายลมจนเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า

แต่ทว่าจี้เทียนซิงกลับคิดอยู่เสมอว่าหญิงสาวผู้นี้แปลกๆเล็กน้อย นางแฝงไปด้วยความเย็นชาจับจิตที่มองไม่เห็น

ความเย็นยะเยือกของนางนั้นเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณและน่าขยะแขยง

แต่มันไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสจับต้องได้

จี้เทียนซิงชะงักฝีเท้าและอดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวชุดขาวผู้นั้น

ในเวลานี้เองนางก็ดูเหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ว่ามีคนจ้องมองอยู่

นางหันกลับไปมองทันที

เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของจี้เทียนซิง

แววตาของหญิงสาวชุดกระโปรงขาวก็ทอประกายแวววับไปด้วยความเย็นชาที่ไม่อาจตรวจจับได้

แต่เพียงชั่วครู่เดียว

สีหน้าของนางก็กลับมาเป็นปกติ

นางหันหน้าไปหาซวนซวนและกล่าวอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าที่ยังงดงามสดใส

เวลานั้นเองซวนซวนก็หันไปมองและเห็นจี้เทียนซิง

นางจึงโบกไม้โบกมือและเผยรอยยิ้มพร้อมกับทักทาย

“เทียนซิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ?”

จี้เทียนซิงรั้งสายตาจากหญิงสาวชุดขาวและเดินไปหาซวนซวนที่ศาลาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องซวนซวน ข้าแค่ผ่านทางมา ข้าจะไปตำหนักไท่อันแต่ก็ไม่คาดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่”

ท้ายที่สุดเขาก็หันไปมองหญิงสาวกระโปรงขาวและมองหน้านางจากระยะประชิดพลางถามซวนซวนว่า

“ศิษย์น้องซวนซวน แม่นางผู้นี้คือ..... ?”

ซวนซวนเผยรอยยิ้มกว้างและดึงหญิงสาวในชุดขาวมาใกล้ๆ

จากนั้นก็แนะนำว่า “เทียนซิง นางคือซู่หลาน, พี่สาวที่น่านับถือคนหนึ่งของข้า นางเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายฤทัยจันทรา”

ก่อนหน้านี้ที่จี้เทียนซิงศึกษาตำราประวัติศาสตร์ในห้องสมุด

ซวนซวนเคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับนิกายทั้งแปดของดินแดนดาราบรรพกาล

หนึ่งในนั้นก็คือนิกายฤทัยจันทรา

นิกายฤทัยจันทราเป็นนิกายที่พิเศษที่สุดในแปดนิกาย

เนื่องจากนิกายแห่งนี้รับแต่เพียงศิษย์สตรีเท่านั้น แม้กระทั่งยามหรือบุคลากรในนิกายก็เป็นสตรีทั้งสิ้น

ทั่วทั้งนิกายไม่มีบุรุษแม้แต่คนเดียว !

เหล่าศิษย์ของนิกายฤทัยจันทราล้วนแต่มีจิตใจรักสงบ

พวกนางมุ่งเน้นแต่การบำเพ็ญตนเป็นหลัก (ประมาณพวกแม่ชี) และแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ใดๆหรือการรบราฆ่าฟัน

ฉะนั้นแล้ว

ศิษย์สตรีของนิกายนี้ส่วนใหญ่จึงมีรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์สง่างาม

สำหรับพี่บุญธรรมของซวนซวนผู้นี้

จี้เทียนซิงก็เพิ่งได้ยินนางพูดถึงเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน นางเป็นศิษย์ฝ่ายในอาวุโสของนิกายฤทัยจันทราและมีสถานะที่ดี

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็เริ่มเป็นฝ่ายทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“จี้เทียนซิงทักทายพี่สาวซู่หลาน”

ในขณะที่ให้ความเคารพ

ชายหนุ่มก็จ้องมองดวงตาของซู่หลานเพื่อดูว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทว่า

ซู่หลานที่ก่อนหน้าแผ่ซ่านกลิ่นอายแปลกๆกลับมีสีหน้าสงบราบเรียบดุจสายน้ำ นางเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและตอบรับว่า

“ซู่หลานเสียมารยาทแล้ว”

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า, แววตาหรือการเคลื่อนไหวของนาง

ทั้งหมดล้วนเป็นปกติและไม่เหมือนก่อนหน้านี้แม้แต่น้อยนิด

หัวใจของจี้เทียนซิงมืดมนและเต็มไปด้วยความสงสัย

แต่ฉากหน้าเขาก็ทำตัวเป็นปกติแล้วหันไปถามซวนซวนว่า “ศิษย์น้องซวนซวน พี่สาวซู่หลานมาหาเจ้าไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันหรือ

?

ข้าเข้ามารบกวนพวกเจ้าหรือเปล่า ?”

“ไม่หรอก” ซวนซวนส่ายหัวและอธิบายว่า

“ข้าสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก  พี่สาวซู่หลานจึงมักจะเดินทางมาเยี่ยมและนำสมุนไพรล้ำค่ามาให้อยู่บ่อยๆ”

“วันนี้พี่สาวซู่หลานนำเห็ดวิญญาณใบไม้ทองมาให้ข้า  ข้ากับนางจึงมาเดินเล่นชมวิวกัน”

“โอ้.....

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ข้าก็บ่มเพาะมาเป็นเวลานานและเพิ่งจะออกจากการปิดด่านวันนี้เอง  ข้าคิดจะเดินเล่นรอบๆแต่ก็ไม่รู้จะไปไหน  หากศิษย์น้องซวนซวนไม่รังเกียจ

ข้าขอถือวิสาสะไปกับพวกเจ้าจะได้หรือไม่ ?”

ปกติแล้วจี้เทียนซิงไม่ใช่บุรุษที่เอ่ยปากขอติดตามสตรีไปไหนมาไหนพร่ำเพื่อ

สิ่งที่เขาเพิ่งพูดกับซวนซวนไปนั้น

เจตนาแท้จริงก็เพียงเพื่อต้องการสังเกตพฤติกรรมของซู่หลาน

ซวนซวนลังเลเล็กน้อย

นางเหลือบมองดูสีหน้าของซู่หลานและเห็นอีกฝ่ายมิได้ใส่ใจจึงพยักหน้าตกลง

ดังนั้น

หนึ่งบุรุษสองสตรีจึงเดินไปด้วยกันและเดินผ่านเส้นทางป่าเขาเพื่อชมทิวทัศน์อันงดงาม

ซวนซวนและซู่หลานเดินเคียงคู่กันพลางหัวร่อต่อกระซิกตามประสาดรุณีแรกแย้ม

สตรีทั้งสองดูมีอารมณ์ดี ใบหน้าพวกนางเปล่งปลั่งงดงามด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา

จี้เทียนซิงเพียงติดตามพวกนางและเข้าร่วมบทสนทนาเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเขาจะคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของซู่หลานอย่างเงียบๆ

หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

ทั้งสามคนเดินวนไปวนมารอบนิกายพันธมิตรสวรรค์จนกระทั่งถึงยามเที่ยงที่อากาศเริ่มร้อน

ซวนซวนและซู่หลานคิดจะกลับไปพักผ่อน

ดังนั้นจี้เทียนซิงก็ทำได้เพียงโบกมือลาพวกนาง

หลังจากที่ทั้งสองจากไป

ชายหนุ่มก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อันและขบคิดในใจลับๆ  “แปลก

ข้าเฝ้าติดตามแม่นางซู่หลานผู้นั้นร่วมหนึ่งชั่วยามแต่กลับไม่พบเบาะแสหรืออะไรแปลกๆแม้แต่น้อย.......

หรือว่าบุคลิกของนางที่ข้าเห็นตอนนั้นจะเป็นเพราะข้าตาฝาดกันนะ ?”

เขาถอนหายใจและปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

..........

หลังจากมาถึงตำหนักไท่อัน

ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปที่ลานกว้างที่สาม เมื่อมาถึงเขาก็เห็นเซี่ยงหวู่จี้อยู่ในห้องปรุงยาเพื่อทำความสะอาดห้องอย่างเงียบๆ

เฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงที่อยู่ในถุงมิติมานานเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย

จี้เทียนซิงจึงคิดจะปล่อยพวกมันออกมาให้วิ่งเล่นรอบๆตำหนักไท่อันเพราะอย่างไรซะพวกมันก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว

โดยไม่คาดคิด  ทันทีที่ปล่อยพวกมันออกมาจากถุงมิติ

พวกมันทั้งสองกลับตรงดิ่งไปหาเซี่ยงหวู่จี้เพื่อขอของกิน

วันเวลาที่ผ่านมาขณะอยู่กับจี้เทียนซิงนั้นทำให้พวกมันไม่มีโอกาสได้กินของโปรด

ตอนนี้พวกมันหิวจัดเสียแล้ว