ตอนที่ 62 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ด้วยชื่อชั้นของซัวหยง กาเซี่ยงจะต้องมองปิ้งโจวสูงขึ้นอีกหลายส่วน

"เสวียเซิงมีศัตรูอยู่มากมายภายในเมือง หวังว่าเหล่าซือจะช่วยปกปิดเรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ด้วย" ลิโป้กระตุ้นเตือน

"อืม พวกเรายังไม่ได้ทำพิธีรับศิษย์อย่างเป็นทางการ หลังจากกลับไปที่ปิ้งโจวแล้วค่อยดำเนินการ" ซัวหยงกล่าวอย่างเคร่งขรึม คนโบราณนั้นให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์มาก แม้ว่าลิโป้จะถือว่าเป็นศิษย์ แต่ตอนนี้ก็ยังถือว่าเป็นเพียงในนาม

ด้วยชื่อชั้นอาจารย์อย่างซัวหยงแล้ว แม้เหล่าบัณฑิตจะรู้สึกดูถูกลิโป้เพียงใด พวกเขาก็จะทำได้แค่แอบนินทาลับหลังเท่านั้น

ลิโป้นำเตียนอุยออกจากจวนตระกูลซัวอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาไปที่เหลาอาหารเพื่อลองลิ้มชิมรสอาหารของที่นี่สักมื้อ

เหลาเยี่ยไหลนั้นตั้งอยู่ในทำเลที่เจริญที่สุดของฉางอัน รายการอาหารและสุราของที่นี่เองก็มีราคาแพงที่สุดเช่นกัน น้อยคนนักที่จะกล้ามาก่อปัญหาขึ้นที่นี่

ทั้งสองนั่งจิบสุราพลางฟังลูกค้าโต๊ะรอบๆพูดคุยสัพเพเหระ ขณะที่กำลังลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อจ่ายเงินก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านล่าง มือขวาของเตียนอุยเลื่อนไปกุมกระบี่ไว้พลางกวาดตามองโดยรอบอย่างระมักระวัง

"ไม่เป็นไร ที่นี่คือฉางอัน ยังมีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาที่นี่อีก" ลิโป้กล่าวอย่างผ่อนคลาย

"ใครกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่กันนะ?"

"ได้ยินว่าหลังกินเสร็จแล้วก็มีเงินไม่พอจ่าย ทั้งยังลงมือทุบตีคนด้วย"

"ช่างรนหาที่จริงๆ เหลาเยี่ยไหลย่อมมีวิธีจัดการกับคนประเภทนี้"

ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ที่ชอบชมดูความครื้นเครง การสนทนาของผู้คนที่อยู่ใกล้ๆทำให้ลิโป้ได้รู้รายละเอียดของเรื่องราวอย่างคร่าวๆ

เมื่อมองไปยังที่เกิดเหตุ เขาก็พบเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นสูงราวเจ็ดฉื่อ สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ ดูไม่เหมือนผู้มีอันจะกินแต่อย่างใด ในมือทั้งสองกำกระบี่ไว้แน่นขณะตั้งประจัญหน้ากับผู้คุ้มกันของเหลาอาหาร

"ไร้ยางอายนัก! เหล้าบ้าบออะไรราคาไหละพันตำลึง ข้าเดินทางไปทั่วหล้า ยังไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน นี่มันปล้นกันชัดๆ!" ตันเตากล่าวอย่างโกรธแค้น

"ไหละพันตำลึง? อาเหวย คงไม่ใช่เหล้าที่เราเพิ่งดื่มไปสองไหหรอกนะ?" ลิโป้เปลี่ยนสีหน้า เขาและเตียนอุยเพิ่งดื่มไปสองไห เช่นนั้นก็เป็นเงินสองพันตำลึงงั้นรึ? เหลาอาหารแห่งนี้ออกจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

"ตันเตา? คนผู้นี้ชื่อคุ้นๆ...." ลิโป้นึกอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออก

"ฮึ่ม ดื่มสุราที่ดีที่สุดของเหลาเราแล้วค่อยมาบอกว่าไม่มีเงินจ่าย มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน หากทุกคนเอาเจ้าเป็นแบบอย่าง เหลาอาหารทั่แผ่นดินก็ไม่ต้องเปิดกันแล้ว"

ขณะที่ลิโป้พยายามนึกว่าเคยพบเจอคนผู้นี้ที่ไหน สถานการณ์ก็เริ่มรุนแรงขึ้นและมีแนวโน้มจะเกิดการปะทะได้ทุกชั้วขณะ

"ผู้กล้าท่านนี้ สุราไหนั้นข้าเลี้ยงก็แล้วกัน" ลิโป้ผลักจีนมุงออกก่อนจะเดินเข้าไปหา

เตียนอุยมองดูเจ้านายด้วยความฉงน เมื่อครู่เขายังไม่พอใจราคาเหล้าของที่นี่ชัดๆ แต่ผ่านไปพริบตาเดียวก็ใจปล้ำออกไปจ่ายเงินเลี้ยงคนอื่นซะแล้ว

ตันเตามองลิโป้ด้วยความสับสน หลังจากพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่งก็ยังนึกไม่ออกว่าตนไปรู้จักกับลิโป้ตั้งแต่เมื่อใด เงินหนึ่งพันตำลึงนั้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ หากเปลี่ยนเป็นอาหารก็จะสามารถเลี้ยงครอบครัวห้าคนได้นานนับปี

"ทำไม? ไม่ได้รึ?" ลิโป้เหลือบมองพนักงาน

"ทั้งหมดเก็บอาวุธ เมื่อมีคนจ่ายรายการนี้แล้วก็สามารถนั่งลงพูดคุยกัน" เถ้าแก่ร้านเดินออกมาขณะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

"รายการอาหารของนายท่านทั้งสองรวมกับรายการอาหารของท่านนี้แล้วเป็นสามพันหนึ่งร้อยตำลึงขอรับ ยังมีค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทางเหลาของเราคิดอีกสองพันตำลึง เบ็ดเสร็จรวมแล้วเป็นเงินห้าพันหนึ่งร้อยตำลึง แต่คิดเพียงห้าพันตำลึงก็พอขอรับ" เถ้าแก่ร้านมองลิโป้ขณะที่ในแววตาทอแววหวาดหวั่นอยู่บ้าง

ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบอดที่จะสูดหายใจอย่างตกตะลึงไม่ได้ สุราขึ้นชื่อของเหลาเยี่ยไหลราคาไหละพันตำลึง แม้ว่าสุราชนิดอื่นและกับแกล้มจะแพง แต่ก็ยังไม่ห่างจากที่อื่นสักเท่าใด ห้าพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ บางคนใช้ทั้งชีวิตก็ยังหามาไม่ได้

"จ่าย" ลิโป้ปรายตามองเตียนอุยพลางกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง รายการอาหารบัญชีนี้ทำให้เขามองเห็นแนวทางสร้างกำไรจากเหลาอาหาร

เตียนอุยหน้ามืดครึ้ม เขาดึงถุงเงินออกมาก่อนจะส่งให้เถ้าแก่อย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายควักเงินจำนวนมากออกมาได้ง่ายๆ ผู้คนโดยรอบก็มองลิโป้และเตียนอุยด้วยความกลัว

หลังออกจากเหลาอาหารมาแล้ว ตันเตาก็กุมมือพลางกล่าวว่า "ขอบคุณผู้กล้าที่ยื่นมือช่วยเหลือ ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ แต่ตอนนี้ข้ามีธุระต้องไปกระทำ ขอตัวลา"

"ผู้กล้าโปรดชะงักเท้า ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ใยไม่รอพรุ่งนี้ค่อยไปจัดการธุระเล่า?" ลิโป้เอ่ย

"นี่...." ตันเตาลังเล เขามาที่ฉางอันโดยไม่มีธุระสำคัญใด เพียงได้ยินมาว่าสหายจากบ้านเกิดของเขาเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นจึงคิดไปขอพึ่งพิง

"คิดชิ่งหนีงั้นเรอะ?" เตียนอุยกล่าวอย่างฉุนเฉียว เด็กน้อยผู้นี้เพิ่งเขมือบเงินพันตำลึงของเขาไป ตอนนี้ยังจะเปิดตูดหนีอีก

"ข้า...."

"ไป พวกเราสามคนไปหาที่อื่นดื่มกันต่อ" ลิโป้โอบไหล่คนทั้งสองพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

"เอ๊ะ? มีเหล้าให้กินงั้นรึ?" ชายหนุ่มที่ผิวค่อนข้างซีดพลันยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างร่าเริง

"เด็กน้อย เจ้าวอนหาเรื่องซะแล้ว" เตียนอุยหักข้อนิ้ว

"ข้าชื่อกวนอวี่ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดั่งคำกล่าวที่ว่า สุภาพชนเพียงพูดคุยแต่ไม่ต่อยตี พี่ท่านลองดู ข้าหล่อเหลาดูดีถึงเพียงนี้ จะเป็นคนหยาบคายได้อย่างไร?" กวนอวี่พยักหน้าหงึกหงักทึกทักอยู่คนเดียว

ลิโป้เหงื่อตก "เจ้าชื่อกวนอวี่? ไม่ได้ชื่อกวนอูหรอกใช่ไหม?[1]"

[1 ชื่อออกเสียงคล้ายกัน แต่เขียนคนละตัวอักษร]

กวนอวี่หน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ารู้จักนามของกวนอู ชายหนุ่มก้มหน้าลงตอบเสียงเบา "ชื่อของข้าคือกวนอวี่ เพียงแต่เขียนด้วยอักษรหัวเป่า" ขณะกล่าว กวนอวี่ก็วาดไม้วาดมือ ต้องการจะเขียนตัวอักษรให้ลิโป้ดู

"ช่างเถอะๆ พวกเราไปด้วยกัน" ลิโป้รีบกล่าว

แม้การออกเสียงของคนผู้นี้จะคล้ายคลึงกับกวนอู แต่เมื่อพินิจดูจากไกลๆแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาแน่นอน ชายหนุ่มสูงราวแปดฉื่อซึ่งจัดว่าเป็นคนตัวสูงในยุคนี้ แม้ลักษณะท่าทางจะคล้ายพยัคฆ์ แต่ยามเอ่ยปากกล่าววาจากลับค่อนข้างหลงตัวเอง

หลังจากสุราเข้าปาก กวนอวี่ก็เริ่มสนิทคุ้นเคยกับเตียนอุยและตันเตาราวกับเป็นพี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานานได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งสี่ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า กระทั่งเตียนอุยที่สัตย์ซื่อและให้เกียรติเขาเสมอมาก็เริ่มจะพูดจาไร้สาระ บอกว่าคุณชายควรจะหาสตรีตบแต่งเพิ่มอีกสักหลายๆคน ตันเตาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ส่วนกวนอวี่ก็เริ่มเพ้อเจ้อว่าตนเองเป็นแม่ทัพบนหลังม้า ต่อให้ต้องใช้หนังม้าห่อศพก็จะไม่เสียใจ

ฤทธิ์สุราทำให้ตันเตาลดความระแวดระวังและพูดเปิดอกกับพวกเขา

มีเพียงลิโป้เท่านั้นที่ยังมีสติแจ่มใส ในความเห็นของเขาแล้ว เหล้าสมัยโบราณยังแรงเทียบกับเหล้าสมัยใหม่ไม่ได้ แต่รสชาตินั้นดียิ่ง แม้ปากจะบอกว่าดื่มพันจอกมิเมามาย แต่เตียนอุยกับอีกสองคนก็เมาหัวทิ่มไปแล้วเรียบร้อย

..........

สัมผัมได้ถึงความร้อนของแสงแดดที่สาดส่อง ตันเตาที่เพิ่งตื่นก็ขยี้ตาก่อนจะสะบัดหัวอย่างมึนงง

"ซูจื้อ[2]ตื่นรึยัง?" ลิโป้เคาะประตูก่อนจะเดินเข้ามา อาศัยช่วงที่ตันเตาเมามาย เขาก็ล้วงถามเป้าหมายในการมาฉางอันของตันเตาแล้ว เขาเองก็รู้สึกชื่นชมตันเตา คิดรับตัวมาเป็นพวก ด้วยชื่อชั้นเจ้าเมืองของเขาแล้ว คิดว่าคงจัดการได้ไม่ยาก

[2 ซูจื้อ ชื่อรองของตันเตา]

"ที่นี่คือที่ไหน?" หลังเดินออกมาจากบ้าน ตันเตาก็มองดูหมู่ตึกอันโอ่อ่าที่อยู่รายรอบพลางถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

"จวนตระกูลซัว จวนของใต้เท้าซัวหยง" ลิโป้อธิบาย

"ซัวหยง? ใต้เท้าซัว?" ดวงตาของตันเตาเบิกกว้าง เขาไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งตนเองจะได้มาเดินอยู่ภายในจวนตระกูลซัวของซัวหยงซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่

"ซูจื้อ ได้ยินมาว่าเจ้ามายังฉางอันเพื่อตามหาสหายเก่า ทั้งยังคิดหาที่พึ่งพิง ข้าพอจะช่วยในเรื่องนี้ได้ ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการหรือไม่?" ลิโป้จ้องมองตันเตาด้วยดวงตาเป็นประกาย ขณะที่ภายในใจตัดสินใจได้แล้ว