เป้าหมายหลักในการมายังฉางอันนับว่าบรรลุเรียบร้อย ส่วนทางด้านซิ่วเอ๋อร์ เมื่อซัวหยงออกหน้าด้วยตัวเองย่อมคลี่คลายได้โดยง่าย ลิโป้เดินฮัมเพลงที่ไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจพลางเดินทอดน่องอย่างอารมณ์ดี
"ผู้กล้าเฉียวมีเรื่องน่ายินดีหรือ?"
เสียงอันสดใสที่ดังขึ้นทำให้ลิโป้รู้สึกตัว เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นซัวเอี๋ยม ดังนั้นจึงรีบกุมมือทัก "เว่ยฮูหยิน" สีหน้าท่าทางของเขาแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง
"ฮึ่ม ท่านก็ได้พบกับบิดาของข้าแล้ว ไฉนยังรั้งอยู่ต่อ?" ซัวเอี๋ยมกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ลิโป้ยิ้มกระอักกระอ่วน "จวนตระกูลซัวช่างงามยิ่งนัก ข้าจึงคิดรั้งอยู่อีกสักสองสามวัน"
"หลอกลวง" ซัวเอี๋ยมบ่นเบาๆ
"ได้ยินมาว่าเว่ยฮูหยินมีทักษะดีดฉินยอดเยี่ยมไร้ผู้ทัดเทียม ไม่ทราบว่าข้าพอจะมีวาสนาได้ฟังหรือไม่?" ลิโป้จ้องซัวเอี๋ยมด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
ซัวเอี๋ยมตื่นตกใจ ปากก็รีบปฏิเสธอย่างลนลาน "ทักษะดีดฉินของเชี่ยเซินยังอ่อนด้อย เชี่ยเซินขอตัวก่อน"
มองดูเงาหลังที่หนีไปด้วยความรีบร้อน ลิโป้ก็เผยยิ้มบางพลางยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ว่ากันว่าท่านมีรูปลักษณ์สูงส่งงามสง่า แล้วไฉนซัวเอี๋ยมจึงรีบหลบลี้หนีหน้ากันเล่า? เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะตกหลุมรักเขา จึงบังเกิดความเขินอายทุกคราที่เจอ? ลิโป้คิดอย่างหลงตัวเอง
คืนนั้น ลิโป้ก็ได้รับข่าวที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด ซือถูอ้องอุ้นบอกว่าในจวนของเขาไม่มีหญิงสาวที่ชื่อซิ่วเอ๋อร์
ขณะที่นอนลงบนเตียง ลิโป้ก็ยากจะข่มตาหลับได้ลง ในใจปรากฏความกังวลขึ้นมา ตอนอยู่ที่ลั่วหยาง เขาก็มั่นใจมากว่าซิ่วเอ๋อร์จะต้องอยู่ที่จวนของอ้องอุ้นแน่ แต่เมื่อตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวงมาที่ฉางอัน ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใด.....
ยิ่งคิดฟุ้งซ่านก็ยิ่งยากจะข่มตาหลับ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากที่นอนก่อนคว้ากระบี่เดินไปกวัดแกว่งเพื่อสงบใจที่ลานบ้าน
เตียนอุยเฝ้าดูอยู่ทางด้านข้างด้วยดวงตาเป็นประกาย ทักษะของเขาก็ไม่ได้นับว่าแย่อะไร เพียงแต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับลิโป้แล้วก็ทำให้เขายังรู้สึกไม่พอใจกับฝีมือของตนเอง
เสียงบรรเลงฉินดังแผ่วมาตามลม ลิโป้หยุดท่าร่างก่อนจะนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เสียงฉินนี้คล้ายกับมีมนต์วิเศษ ทำให้รู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน ความทรงจำช่วงที่กำลังฝึกฝนอยู่ในกองกำลังพิเศษผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นฉากๆ แต่เมื่อจังหวะการดีดฉินเปลี่ยนไป เขาก็รู้สึกฮึมเหิมราวกับกำลังยืนอยู่ในสมรภูมิ
ลิโป้ส่งกระบี่ให้เตียนอุยก่อนจะเดินไปตามทิศทางที่เสียงกู่ฉินดังมา
ซัวเอี๋ยมยังคงสวมชุดขาว บนใบหน้าก็ยังคงมีผ้าคลุมหน้าอยู่เช่นเคย สายลมโชยพัด ชายผ้าคลุมหน้าผืนนั้นยกลอยขึ้นวูบหนึ่ง ลิโป้ตาเป็นประกาย ความงามของนางนั้นกล่าวได้ว่าทำให้ดวงจันทร์ถึงกับต้องหลบซ่อนหลังมวลเมฆด้วยความเอียงอาย
"เพลงฉินว่ามีท่วงทำนองที่งดงามแล้ว แต่คนยังงามกว่า" ลิโป้กล่าวขึ้นพลางแย้มยิ้ม "ด้วยรูปโฉมที่งดงามถึงเพียงนั้น ใยจึงต้องหลบซ่อนอยู่หลังผ้าคลุมหน้า?"
ซัวเอี๋ยมหน้าขึ้นสี ภายในจวนตระกูลซัวนี้ย่อมไม่มีบ่าวรับใช้คนใดเข้ามารบกวนนาง ผู้ที่มากลับเป็นคนนอก ยามที่บิดาของนางเอ่ยถึงเขาให้นางฟัง ในน้ำเสียงยังเจือไว้ด้วยความชื่นชมอยู่หลายส่วน
ความประทับใจที่นางมีต่อลิโป้นั้นนับว่าไม่เลว อย่างไรเสียทั้งสองก็เริ่มต้นด้วยสถานการณ์ผู้กล้าช่วยสาวงาม ด้วยเหตุอันใดก็ไม่อาจทราบ ทุกคราที่นางได้เห็นใบหน้าของเขา นางก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางยังรู้สึกเสมอว่าเขาดูแตกต่างจากคนอื่น ทั้งกริยาท่าทียามพูด ทั้งเนื้อหาที่เขากล่าวออกมา
"ฮึ่ม ที่ต้องคลุมหน้าก็เพื่อป้องกันตัวชั่วร้ายเช่นท่านมาสร้างปัญหา" ซัวเอี๋ยมแค่นเสียงตอบ
"เหอเหอ ไม่ว่าผู้ใดล้วนชมชอบสาวงามกันทั้งนั้น เพียงชมดูจะเสียหายนักหรือ? ไม่ได้ทำให้ท่านต้องอดข้าว หรือต้องหลั่งเลือดเสียหน่อย" ลิโป้ตอบยิ้มๆ
"ข้าเคยคิดว่าผู้กล้าเฉียวนับเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุคคลเช่นนี้" น้ำเสียงของซัวเอี๋ยมเพิ่มความเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
"ข้าเพียงกล่าวออกมาจากใจ ปล่อยตัวตามสบาย ไม่ใส่ใจว่าผู้ใดจะชมชอบหรือไม่ชมชอบ" ลิโป้หัวเราะ
"ปล่อยตัวตามสบาย ไม่ใส่ใจว่าผู้ใดจะชมชอบหรือไม่ชมชอบ" ซัวเอี๋ยมพึมพำเบาๆ
"ถูกต้อง คนเราเกิดมาทั้งที ใยจึงไม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ความทุกข์ตรมนั้นเพียงปล่อยให้คนที่ไม่พยายามแบกรับไปก็พอ ก็เหมือนกับว่าท่านชมชอบสิ่งใดหรือชมชอบผู้ใด ท่านก็ต้องพยายามอย่างหนัก ต่อให้สุดท้ายแล้วจะล้มเหลว แต่ท่านก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง"
วาจาของลิโป้ทำให้ภายในใจของซัวเอี๋ยมบังเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครกล้ากล่าววาจาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าผู้ใดได้ยลโฉมหน้าใต้ผ้าคลุมหน้าของนางแล้วก็ล้วนแต่เสแสร้งเป็นสุภาพบุรุษเพื่อประจบเอาใจนาง หากแต่ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ยังคงปล่อยตัวตามสบาย แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
"ฮูหยินของผู้กล้าคงต้องมีความสุขมากแน่ๆใช่หรือไม่?" ซัวเอี๋ยมเลียบเคียงถาม
"เว่ยฮูหยิน ข้านั้นได้ภรรยาที่ดีจริงๆ เวลานี้นางอยู่ที่ปิ้งโจว มีบุตรีด้วยกันคนหนึ่งเรียกว่าหลิงฉี นางน่ารักน่าเอ็นดูทีเดียว" เมื่อพูดถึงภรรยาและบุตรสาวที่น่ารักของเขา สีหน้าของลิโป้ก็ทอแววอบอุ่นอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
"ผู้กล้าเคยกล่าวไว้ว่าชายหญิงล้วนเท่าเทียม เพียงแต่ข้าไม่ทราบว่าชายหญิงนั้นเท่าเทียมกันที่ใด?" ซัวเอี๋ยมถามคำถามที่นางอยากถามมากที่สุดออกมา
"ข้าเองก็ไม่ทราบ" ลิโป้ตอบตามจริง
แววตาของซัวเอี๋ยมทอแววผิดหวัง ในสมัยโบราณนั้นสตรีนับว่ามีฐานะต่ำต้อยอย่างมาก น้อยครั้งที่พวกนางจะปรากฏตัวสู่สาธารณะ พวกนางแทบจะไม่ได้พบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้า ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องรับราชการ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
"แต่ข้าทราบว่ามีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ปฏิบัติต่อชายหญิงอย่างเท่าเทียม ที่นั่นแม้เป็นอิสตรีก็สามารถรับราชการ มีสตรีที่สร้างผลงานเอาไว้มากมายจนได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก" ลิโป้กล่าวขึ้นช้าๆ
'มีสถานที่เช่นนั้นอยู่จริงๆ?' ซัวเอี๋ยมคิดขึ้นในใจ
ลิโป้เผยยิ้มก่อนจะกล่าวต่อว่า "ณ ที่แห่งนั้น มีสตรีอยู่นางหนึ่งชื่อว่าฮัวมู่หลาน เพื่อที่จะไปออกรบแทนบิดา นางจึงปลอมตัวเป็นบุรุษ....."
ลิโป้เล่าตำนานมู่หลานให้ซัวเอี๋ยมฟัง ซัวเอี๋ยมตั้งใจฟังด้วยตาเป็นประกาย เมื่อเล่าจนถึงช่วงที่มู่หลานถูกเปิดโปงตัวตน นางยังหลั่งน้ำตาตาม
"ใยเว่ยฮูหยินจึงร้องไห้เล่า?" ลิโป้ถามขึ้น
"ไม่มีใด เพียงแค่ฝุ่นเข้าตา....ฮัวมู่หลานนับเป็นสตรีที่แปลกประหลาดจริงๆ" ซัวเอี๋ยมเอ่ยชื่นชม
"เว่ยฮูหยินเองก็เป็นสตรีที่แปลกเช่นกัน ไม่เพียงแต่งามล้ำ แต่ยังเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ในภายภาคหน้าจะต้องประสบความสำเร็จมากแน่ๆ" ลิโป้เอ่ยปากชมอย่างไม่ปิดบัง
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ซัวเอี๋ยมก็นึกขึ้นได้ว่านางอยู่สนทนากับอีกฝ่ายเสียจนดึกดื่น หลังจากบอกลากันแล้ว ในใจนางก็ยึดถือฮัวมู่หลานเป็นแบบอย่างและตั้งใจจะเป็นอย่างมู่หลานให้ได้
...........
"ซิ่วเอ๋อร์ ไม่รู้เจ้ายังจะจดจำพี่ชายผู้นี้ได้อยู่หรือไม่นะ?" ในความทรงจำของลิโป้ เขามีความประทับใจอย่างลึกล้ำในตัวซิ่วเอ๋อร์ เหมือนดั่งเช่นบุตรีของเขา ลิหลิงฉี ที่ทำให้ผู้รู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมโดยไม่รู้ตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเหยียนหรานเองก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ในความคิดของเขาแล้ว ต่อให้ได้พบกับซิ่วเอ๋อร์ แต่คงจะมีความเหินห่างปรากฏขึ้นเช่นกัน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ต้องการปล่อยให้ซิ่วเอ๋อร์ต้องเผชิญกับความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในฉางอัน
วันรุ่งขึ้น ลิโป้ก็ตั้งใจจะไปเยือนจวนซือถูดูสักครา แต่ก่อนหน้านั้นจำต้องไปสังเกตการณ์ดูสักหน่อย
เมื่อลิโป้และเตียนอุยเดินเข้าไปในเหลาเยี่ยไหล เสี่ยวเอ้อร์ก็จดจำได้ว่าพวกเขาเป็นลูกค้ามือเติบ ดังนั้นจึงรีบกระวีกระวาดเชิญพวกเขาไปยังห้องอาหารส่วนตัว
"ไม่ทราบว่านายท่านทั้งสองต้องการจะดื่มอะไรดีขอรับ?" เสี่ยวเอ้อร์รินเทชาอย่างชำนิชำนาญพลางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
"เอาสุราที่ดีที่สุดมาสองไห" ลิโป้ตอบ หากแต่ในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย ดูเหมือนในอนาคตคงต้องลดความหน้าใหญ่ลงบ้างแล้ว มิเช่นนั้นคงต้องสูญเสียเงินทองมากมาย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ที่ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น จากนั้นบุรุษที่ดูอายุราวสามสิบกว่าปีก็เดินเข้ามาก่อนจะโบกมือให้เสี่ยวเอ้อร์วางสุราสองไหพร้อมจอกสี่ใบไว้บนโต๊ะ
"ท่านคือ?" ลิโป้เอ่ยถาม หากแต่มือขวาค่อยๆเลื่อนไปอยู่ตรงตำแหน่งที่พร้อมจะชักมีดสามคมบิดเกลียวออกมาได้ทุกเวลา.....
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved