ตอนที่ 177 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ในฐานะอดีตแม่ทัพอันดับหนึ่งของตั๋งโต๊ะ ฝีมือของฮัวหยงย่อมไม่ธรรมดา พอมาถึงก็สามารถกลายเป็นแม่ทัพไร้คู่เปรียบภายในกองทัพของอ้วนสุด ในการต่อสู้กับเล่าปี่ ฮัวหยงออกต่อสู้อย่างห้าวหาญ นำทหารม้าร้อยกว่าคนบุกเข่นฆ่าเข้าไปในทัพกลางของข้าศึก ทำให้ได้รับความสำคัญจากอ้วนสุด ได้รับหน้าที่ฝึกฝนทหารม้า

อ้วนสุดเองก็มีสายตาไม่ธรรมดา แม้จะเคยพ่ายแพ้ต่อลิโป้ แต่หลังจากกลับมาถึงเองจิ๋ว เขาก็สั่งสมกำลังอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เมืองฉิวฉุนเป็นฐานกำลัง ทำการพัฒนาขยับขยายไปทีละน้อย หลังจากผ่านมาหลายเดือน ไพร่พลของเขาก็เพิ่มเป็นเก้าหมื่น อีกทั้งยังมีกองทหารชั้นยอดเป็นของตัวเอง มีพื้นที่ส่วนใหญ่ของเองจิ๋วและอิจิ๋วอยู่ในครอบครอง ขอเพียงมีโอกาสอันเหมาะสม เขาก็จะรวบพื้นที่ทั้งหมดของเองจิ๋วมาครองในคราเดียว จากนั้นจึงค่อยบุกตีเกงจิ๋ว

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ฮัวหยงรู้สึกฮึกเหิมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะหลังมานี้ อ้วนสุดเริ่มแสดงความเหินห่างต่อเขา ทำให้เขารู้หดหู่อยู่บ้าง สงครามในชีจิ๋วทำให้อ้วนสุดมองเห็นโอกาส ตอนนี้ ผู้ที่มีโอกาสขึ้นเถลิงบัลลังก์ฮ่องเต้มากที่สุดอย่างเล่าหงีก็ตายไปแล้ว หากเล่าเปียวต้องการจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะต้องไม่มีผู้ใดให้การสนับสนุน สงครามในชีจิ๋วนับว่าเป็นโอกาสฟ้าประทานสำหรับอ้วนสุด เขาสามารถอาศัยโอกาสนี้กระโดดเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงเมืองชีจิ๋ว ชีจิ๋วเป็นดินแดนอันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ หากยึดครองได้ก็จะช่วยยกระดับขุมกำลังของเขาได้อีกมาก

ด้วยการมาถึงของอุปกรณ์ตีชิงเมือง กองทัพของโจโฉก็เริ่มทำการบุกโจมตีเมืองชีจิ๋ว เสียงรัวกลองศึกดังกึกก้อง ทัพทหารอันหนาแน่นวิ่งโถมเข้าหาคูเมือง บนบ่าของทหารแต่ละนายล้วนแบกไว้ด้วยถุงใส่ดิน หลังจากมาถึงคูเมือง พวกเขาก็โยนถุงใส่ดินลงไปในคู จากนั้นจึงหันหลังวิ่งกลับโดยไม่รีรอ

เล่าปี่หน้าดำคร่ำเครียด เขาสั่งให้พลธนูระดมยิงสกัด ลูกธนูพุ่งออกดุจห่าฝน ทหารฝ่ายโจโฉหลายคนถูกยิงใส่จนล้มลง เกิดความปั่นป่วนไปทั่วสนามรบ ในเวลาเช่นนี้ สหายร่วมรบของท่านจะไม่หยุดยั้งลงเพื่อช่วยเหลือท่านที่กำลังบาดเจ็บ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณกลอง พวกเขาก็ได้แต่พุ่งโถมออกไป หากมีผู้ใดหันหลังวิ่งหลบหนีก็จะถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี

ในสนามรบนั้น หากได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็มีค่าไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว

ลิโป้ที่อยู่บนเชิงเทินเพียงเฝ้ามองดูการสู้รบอยู่เงียบๆ สายตาสอดส่องศึกษายุทธวิ๊การเข้าตีเมืองของกองทัพโจโฉ หลังจากข้ามเวลามายังยุคนี้ ตัวเขาก็เคยได้เห็นการล้อมตีเมืองเพียงไม่กี่หน หนที่บุกตีด่านกิสุยก๋วนนั้นไม่อาจนำมานับ เพราะบรรดาเจ้าเมืองใช้วิธีการอันโง่เขลาเกินไป ดังนั้นลิโป้จึงให้ความใส่ใจต่อการเข้าตีของกองทัพโจโฉที่เบื้องหน้า

แม้ทหารฝ่ายโจโฉในสนามรบจะดูไม่มีระบบระเบียบ แต่ลิโป้มองออกว่าทหารเหล่านี้มีการซักซ้อมมาเป็นอย่างดี เป้าหมายของพวกเขานั้นมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการถ่มคูเมืองให้เต็มโดยเร็วที่สุด ทหารกองหน้าเหล่านี้ไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ ไม่พกพาอาวุธ เพียงพกพาถุงใส่ดิน ด้านข้างห่างออกไป มีกองทหารที่ดูเข้มแข็งและมีจิตใจแน่วแน่คอยคุมเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีหน้าที่เตรียมพร้อมเข้าปะทะกับทหารชีจิ๋ว ขณะเดียวกันก็เป็นการเฝ้าควบคุมทหารที่แบกถุงดินไปด้วยในตัว

ในศึกล้อมเมืองครานี้ ลิโป้ลองจินตนาการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ พอเทียบกันดูแล้ว เขาก็พบว่าการตีด่านหูกวนและการบุกยึดเมืองจิ้นหยางของเขานั้นกลายเป็นการเล่นขายของของเด็กน้อยไปในทันที

ไพร่พลจำนวนหลายหมื่นของโจโฉสามารถถมคูเมืองไปได้หลายส่วนในวันเดียว ด้วยความเร็วระดับนี้ คาดว่าคงใช้เวลาไม่เกินสี่ห้าวันก็คงจะถมจนเต็มคู แน่นอน ยิ่งเข้าใกล้กำแพงเมือง กองทัพของโจโฉก็ยิ่งเผชิญอันตรายกว่าเดิม

ทันทีที่เดินลงจากกำแพงเมือง ลิโป้ก็ได้รับคำเชิญจากเล่าปี่ให้ไปยังจวนเจ้าเมือง แม้ว่าลิโป้จะกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการศึกครั้งนี้ กระนั้นเล่าปี่ก็ดูเหมือนจะไม่ล้มเลิกความพยายาม ทุกครั้งที่มีการประชุมหารือเรื่องการศึก เขาก็จะส่งคนมาเชิญลิโป้ไปเข้าร่วมเสียทุกครั้งไป

"พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ข้าจะนำทหารกลุ่มหนึ่งออกไปฆ่าเจ้าโจรถ่อยโจโฉเอง ฮึ่ม" เตียวหุยกล่าวด้วยความโมโห เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่พี่ใหญ่ของตนเอาแต่ตั้งรับอยู่ภายในเมือง

ทันทีที่เข้ามาภายในจวนเจ้าเมือง ลิโป้ก็ได้ยินเสียงคำรามประโยคนี้ของเตียวหุย ต้องบอกว่าเสียงคำรามของเตียวหุยนั้นน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง หากเกิดเสียงคำรามเช่นนี้ในสนามรบ ผู้ที่ขวัญอ่อนหน่อยก็อาจจะทิ้งอาวุธหนีกระเจิงเลยก็เป็นได้ ลิโป้สงสัยใคร่รู้นักว่าเตียวหุยฝึกฝนมาอย่างไรกันแน่ การรบในสมัยโบราณนั้น เสียงคำรามที่ดังกึกก้องนั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพียงได้กับมีลำโพงเคลื่อนที่เลยก็ว่าได้

"ใต้เท้าลิ ท่านคิดเห็นอย่างไร? กองทัพโจโฉเห็นได้ชัดว่ากำลังดูแคลนพวกเรา ทหารที่ส่งมาไม่เห็นมีผู้ใดสวมเกราะหรือพกพาอาวุธเลยสักคน เอาแต่ขนถุงทราย หรือพวกเราควรจะยืนดูอีกฝ่ายถมคูเมืองจนเต็มก่อน?" เมื่อเห็นลิโป้เดินเข้ามา น้องสามเตียวหุยก็คล้ายพบเจอผู้รู้ใจ พลอยเอ่ยปากถามความเห็นจากลิโป้

ลิโป้กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน "แม่ทัพเตียวหุยนับเป็นยอดขุนพลพยัคฆ์ ทหารฝ่ายโจโฉย่อมไม่อาจต้านทานติด เพียงแต่ทหารที่อยู่นอกเมืองนั่นมีจำนวนมากถึงแปดหมื่น ข้าเห็นว่าควรตั้งอยู่ภายในเมืองจะดีกว่า"

เตียวหุยเม้มปากด้วยความไม่พอใจ จากนั้นครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า "ทหารแปดหมื่นแล้วอย่างไร ขอเพียงมอบทหารม้าให้เหล่าเตียวสักหนึ่งพัน ข้ารับรองว่าจะหิ้วหัวโจรถ่อยโจโฉกลับมาให้ดู"

เล่าปี่เอ่ยปากปราม "เอ๊กเต๊กอย่าเสียมารยาท"

"ใต้เท้าลิ ให้ท่านเห็นเรื่องน่าอายแล้ว" เล่าปี่ฝืนยิ้มกล่าวต่อลิโป้

"ใต้เท้าเล่าไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป เมืองชีจิ๋วใช่ว่าจะสามารถตีหักได้โดยง่าย แม้โจโฉจะมีกำลังคนมาก กระนั้นภายในเมืองก็ยังมีไพร่พลอยู่หลายหมื่น" ลิโป้กล่าวปลอบใจอีกครั้ง

"ในระหว่างการศึกชีจิ๋ว ใต้เท้าลิไม่ได้เข้าร่วม ไม่ทราบว่าพวกเราพอจะขอหยิบยืมทหารม้าจากท่านได้หรือไม่ นั่นจะทำให้ทหารกองทัพโจโฉเสียขวัญได้แน่" ตันเต๋งจ้องมองลิโป้พลางเอ่ยปากร้องขอ

"ใต้เท้าตัน ภายในเมืองเองก็มีทหารกล้าจำนวนหลายหมื่นอยู่แล้ว ไฉนจึงยังต้องการทหารม้าจำนวนหนึ่งพันจากข้าด้วย?" ลิโป้หันไปถาม

"ใต้เท้ามีใจห่วงใยประชาราษฏร์ ดั้นด้นเดินทางมาเป็นระยะทางมิใช่น้อย ชาวชีจิ๋วล้วนสำนึกขอบคุณใต้เท้า ในเมื่อเราท่านต่างก็อยู่ภายในเมืองเดียวกัน ใยจึงไม่ร่วมรุกร่วมถอย หรือใต้เท้าคิดจะนิ่งเฉยดูดาย ยืนดูอยู่ด้านข้าง?" น้ำเสียงของตันเต๋งเริ่มแข็งกระด้างขึ้นมา

เตียนอุยถึลงตาจ้องมองตันเต๋งทันที เส้นเลือดที่ปูดโปนตามแขนแสดงให้เห็นถึงอารมณ์คุกรุ่นที่อยู่ภายใน

"นิ่งเฉยดูดาย ยืนดูอยู่ด้านข้าง?" ลิโป้ทวนคำ จากนั้นจึงถามกลับไปว่า "เมื่อกองทัพโจโฉเดินทางมาถึง ขุนนางผู้นี้ไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นหรือ? การกระทำอันโหดร้ายภายในเขตชีจิ๋วนั้นเป็นความรับผิดชอบของกองทัพปิ้งโจวงั้นหรือ? ขอบังอาจถามใต้เท้าตันสักครั้ง ต่อหน้าข้าท่านมีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งการให้ทำนู่นทำนี่งั้นหรือ?"

ตันเต๋งพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ อำนาจบารมีที่แผ่ซ่านจากร่างของลิโป้ทำให้เขาได้แต่นิ่งตะลึงงัน ตอนนี้เอง เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงเจ้าผู้ครองแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพไร้เทียมทานแห่งยุค โทสะของบุคคลระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะแบกรับไหว เขากลับลืมตัว หลงลืมไปว่าเมื่อครั้งอยู่ในกองทัพพันธมิตร ลิโป้กระทั่งยังถีบอ้วนสุดจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า

เตียวหุยถลึงตาใส่ตันเต๋งพลางกล่าวว่า "ใต้เท้าลิเดินทางมาจากปิ้งโจวนั้นลำบากไม่ใช่น้อย"

กวนอูที่อยู่ด้านข้างก็ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย สำหรับลิโป้นั้น พวกเขาไม่อาจเข้าไปทำตัวเจ้ากี้เจ้าการใส่ได้ เมื่อกองทัพโจโฉเดินทางมาถึง เขากล้าเดินทางเข้าไปเสี่ยงเจรจากับโจโฉถึงในค่าย ความกล้าหาญระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีได้

"ใต้เท้าตัน อย่าได้ลืมว่าเจ้าเมืองชีจิ๋วคือใต้เท้าเล่า" กุยแกก้าวออกมากล่าว

ตันเต๋งหน้าแดงด้วยความอับอาย ความหมายในวาจาของกุยแกนั้นกำลังบอกว่าเขาไม่เห็นหัวเล่าปี่ หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ผู้คนจะไม่นึกสงสัยว่าเขามีจิตเจตนาแอบแฝงเอาหรือ? อีกทั้งตันเต๋งยังคาดคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เตียวหุยและกวนอูก็ยังไม่พอใจ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงได้ทราบว่าลิโป้นั้นมีน้ำหนักอยู่ในใจของสองพี่น้องมิใช่น้อย

บิต๊กที่มองดูอยู่ด้านข้างก็ไม่พอใจ ในระยะหลังมานี้ ตระกูลตันเริ่มฉวยโอกาสแย่งชิงอำนาจที่อยู่ในมือตระกูลบิไปทีละน้อย

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศภายในจวนดูเคร่งเครียด เล่าปี่ก็ปั้นยิ้มกล่าวคลี่คลายสถานการณ์ "ทุกท่าน เวลานี้กองทัพโจโฉยังคงบุกตีอยู่ที่ด้านนอก พวกเราควรจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ช่วยกันคิดหาทางให้โจโฉต้องบ้านมือเปล่า ผู้แซ่เล่าขอขอบคุณทุกท่านเป็นการล่วงหน้า"