ตอนที่ 165 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเล่าปี่จริงใจไร้ท่าทีเสแสร้ง ลิโป้ก็สับสน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเล่าปี่ไม่สนใจตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วเลย? "มีเพียงพี่เสวียนเต๋อที่สามารถอยู่ช่วยเหลือชีจิ๋ว ดังนั้นพี่เสวียนเต๋อจึงไม่ควรปฏิเสธ"

ได้ยินคำพูดของลิโป้ กวนอูและเตียวหุยที่ติดตามเล่าปี่มาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตันเต๋งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กุมมือกล่าวว่า "ใต้เท้าลิกล่าวได้ถูกต้องแล้วขอรับ ทั้งทหารและพลเรือนของชีจิ๋วต่างก็ยินดีที่ใต้เท้าเล่าอยู่ช่วยเหลือชีจิ๋ว และหวังว่าใต้เท้าเล่าจะไม่ปฏิเสธ"

เล่าปี่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะนำลิโป้ไปยังจวนเจ้าเมือง ตันเต๋งหันกลับมาก่อนจะพยักหน้าให้บิต๊กที่อยู่ในกลุ่มคนเบาๆ

บิต๊กย่อมมองออกว่านี่เป็นการยั่วยุ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ เพียงหันไปพูดคุยกับกุยแก

รากฐานของตระกูลบิในชีจิ๋วนั้นค่อนข้างลึกล้ำ เกรงว่าแม้แต่ตัวตระกูลบิเองก็ไม่ทราบว่าพวกเขามั่งคั่งถึงเพียงไหน ในบรรดาพ่อค้าทั่วแผ่นดิน พวกเขาสามารถจัดอยู่ในลำดับต้นๆ หากว่าเล่าปี่ต้องการจะปกครองชีจิ๋วอย่างราบรื่น เขาก็จำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากตระกูลบิ

เทียบกับในอดีตแล้ว โตเกี๋ยมดูแก่ลงไปมาก ขณะเคลื่อนไหวต้องมีบ่าวไพร่คอยช่วยประคอง เขามักจะส่งเสียงไอออกมาขณะที่สีหน้าก็ขาวราวกับกระดาษ

"ใต้เท้าลิดั้นด้นเดินทางไกลเพื่อมาช่วยชีจิ๋ว เฒ่าชราผู้นี้รู้สึกขอบคุณจากใจ" กล่าวจบโตเกี๋ยมก็หอบหายใจอย่างหนัก สาวใช้ที่ประคองเขาอยู่จึงรีบยื่นมือลูบหลังพลางกล่าวปลอบโยนให้สงบ

"ใต้เท้าโตเกี๋ยมสุภาพเกินไปแล้ว" ลิโป้ยิ้มตอบกลับ

"ในเมื่อใต้เท้าลิมาถึงชีจิ๋วแล้วก็ดี ตัวข้าทั้งชราและเจ็บป่วยจนยากจะทำหน้าที่เจ้าเมืองได้ ดังนั้นจึงต้องการฝากฝังตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับเสวียนเต๋อ"

เล่าปี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบก้าวเข้ามากล่าว "ใต้เท้าโต ที่ข้าน้อยมาช่วยเหลือชีจิ๋วนั้นไม่มีจิตเจตนาแอบแฝง แต่เพื่อไม่ให้กองทัพของโจโฉทำการสังหารราษฏรผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ ไม่ใช่เพราะหวังในสิ่งใด"

ทั้งสองต่างเกี่ยงกันไปมา ลิโป้ที่ยืนดูยืนทางด้านข้างรู้สึกฉงนอยู่บ้าง ตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วมีความเย้ายวนถึงเพียงนี้ ไฉนเล่าปี่จึงไม่เต็มใจรับเอาไว้ และทางโตเกี๋ยมเองก็ใช่ว่าจะไร้ผู้สืบสกุล เวลานี้อิทธิพลของราชสำนักลดต่ำลงจนแทบจะไม่ดำรงคงอยู่ คงไม่เกินจริงไปนักที่จะบอกว่าชีจิ๋วแห่งนี้นั้นเป็นของคนแซ่โต หากว่าลิโป้เป็นเล่าปี่ เขาจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรการมีฐานที่มั่นในช่วงแผ่นดินกลียุคเช่นนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง

คืนนั้น โตเกี๋ยมจัดงานเลี้ยงต้อนรับลิโป้ขึ้นที่จวนเจ้าเมือง เนื่องเพราะอาการยังย่ำแย่ เขาจึงได้ส่งมอบหน้าที่ต้อนรับลิโป้ให้กับเล่าปี่

เตียวหุยเจนจัดในเชิงสุรา สุราจิ้นที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์ต้าฮั่นได้ดึงดูดความสนใจของเขามานานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้พบกับลิโป้ เขาอดใจก้าวออกไปหาลิโป้ไม่ได้ "ได้ยินมาว่าปิ้งโจวมีเหล้าชั้นเลิศอยู่ชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าใต้เท้าลินำติดมือมาด้วยหรือไม่?"

ลิโป้หัวเราะพลางกล่าวว่า "เอ๊กเต๊กช่ำชองในเชิงสุรา เมื่อทราบว่าท่านอยู่ในชีจิ๋ว ข้าย่อมต้องนำสุราชั้นเลิศมาด้วยหลายไห"

"ยังคงเป็นแม่ทัพลิที่รู้ใจข้า" เตียวหุยหัวเราะและกระทั่งเปลี่ยนคำเรียกหา ตอนที่รวมทัพพันธมิตรปราบตั๋งโต๊ะ เขาก็ชอบพอนิสัยของลิโป้อยู่ก่อนแล้ว

"อาเหวย นำสุรามา ให้ทุกคนได้ลิ้มรสสุราชั้นเลิศจากปิ้งโจว" ลิโป้กล่าวต่อเตียนอุยที่ยืนอยู่ด้านข้าง

เมื่อพูดถึงสุรา เตียนอุยก็อดจะเลียริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ วันนั้นเขาดื่มเข้าไปเพียงสามชามก็สลบล้มพับ แต่ความรู้สึกสบายกายนั้นก็ทำให้เขายากจะลืมเลือนได้ลง นับแต่นั้น เขาก็ไม่กล้าดื่มสุราทีละมากๆอีก หลังจากดื่มไปสองชามแล้วเขาก็หยุด เขาเป็นองค์รักษ์ประจำตัวของลิโป้ และเขาก็ทราบหน้าที่ตรงนี้ดี โดยเฉพาะในสถานที่ที่ยังวุ่นวายอย่างชีจิ๋ว ดังนั้นจึงต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา

"สุรานี้เรียกว่าสุราจิ้น มีฤทธิ์ร้อนแรง ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มเหมือนสุราทั่วไป" ลิโป้ยิ้มขณะเอ่ยอธิบาย

ดวงตาของเตียวหุยเบิกกว้างเสมือนพบเจอสาวงามล่มเมืองเมื่อได้ยินคำอธิบาย "เหล่าเตียวชื่นชอบเหล้าที่มีรสร้อนแรงที่สุด สุราจิ้นงั้นรึ? เอามาให้ข้าดื่มสักไห"

ทุกคนที่อยู่ภายในงานต่างก็เป็นผู้ที่ร่ำสุรา เมื่อเห็นว่าลิโป้นำสุราชั้นยอดที่ถูกเอ่ยถึงในหนังสือพิมพ์ต้าฮั่นมาด้วย พวกเขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา

พูดจบ เตียวหุยก็อ้าปากก่อนจะยกไหสุราเทกรอกเข้าปาก "เหล้าดี เหล้าดี!"

ขุนนางฝ่ายบุ๋นบางคนอดส่ายศีรษะเบาๆไม่ได้ เตียวหุยผู้นี้ออกจะไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ไปแล้ว

"เอ๊กเต๊กเจนจัดในการดื่มสุรานัก" ลิโป้กล่าวยิ้มๆ

"ทุกท่าน เชิญลิ้มลองสุราเลิศรสจากปิ้งโจว" ลิโป้ผายมือเชิญ

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงพลันเปลี่ยนเป็นคึกคักครื้นเครง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ในงานเลี้ยงก็เหลือผู้ที่ยังยืนหยัดทรงกายได้มั่นเพียงไม่กี่คน ส่วนผู้ที่ฟุบหลับไปแล้วก็ต้องลำบากบ่าวรับใช้มาประคองไปพัก

เตียวหุยดึงดันจะให้ลิโป้เรียกหาตนเป็นพี่น้อง ดูเหมือนว่าสำหรับสหายผู้นี้จะชื่นชอบการดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ เขายกดื่มสุราไปสามชาม ดีที่เตียวหุยไม่เหมือนกับเตียนอุยที่ดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง หลังจากสัมผัสได้ว่าสุราจิ้นมีฤทธิ์ร้อนแรง เขาก็ค่อยๆเพลาลง เตียนอุยที่ดูอยู่ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ สุรานี้มีราคาถึงไหละหนึ่งพันตำลึง วันนี้กลับนำมาแจกจ่ายให้แม่ทัพขุนนางของชีจิ๋วไปไม่น้อย

หลังจากกลับมาถึงที่พัก ลิโป้ก็หันไปมองเตียนอุยก่อนจะพยักหน้า เตียนอุยเข้าใจความหมาย เขาเดินไปปิดประตูก่อนจะยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกเงียบๆ ในบริเวณใกล้เคียงมีทหารหน่วยเฟยอิงคอยลอบให้การอารักขาอยู่ห้าสิบนาย การมาเยือนชีจิ๋วคราวนี้ เขาได้นำทหารหน่วยเฟยอิงติดตามมาด้วยจำนวนหนึ่งร้อยนาย

ความสามารถในการรบพุ่งของทหารเฟยฉีนั้นไม่มีที่ให้เคลือบแคลง แต่ในด้านของการอารักขาแล้ว พวกเขายังอ่อนด้อยอยู่บ้าง ทหารหน่วยเฟยอิงนั้นเชี่ยวชาญการรบในทุกสภาพการณ์ ดังนั้นหน้าที่อารักขาจึงถูกส่งต่อให้พวกเขา

"เฟิ่งเซี่ยว ไฉนโตเกี๋ยมจึงคิดมอบชีจิ๋วให้กับเล่าปี่?" ลิโป้เอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ตอบนายท่าน ที่โจโฉยกทัพมาคราวนี้ มีข้ออ้างอยู่ที่ตัวโตเกี๋ยม การเคลื่อนไหวของโตเกี๋ยมครานี้ก็เพื่อหวังที่จะให้โจโฉถอนกำลังกลับไป มิคาด โจโฉเพียงใช้ข้ออ้างในการล้างแค้นเป็นฉากบังหน้า เกรงว่าแท้จิรงแล้วเขามีใจคิดครอบครองชีจิ๋ว" กุยแกกล่าวตอบ

"ในเมื่อโจโฉต้องการจะยึดครองชีจิ๋ว เช่นนั้นใยเขาจึงปล่อยให้ทหารออกเข่นฆ่าราษฏรกันเล่า?" ลิโป้ขมวดคิ้ว

"ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ บางทีอาจเพราะโจโฉเกิดความร้อนใจ" จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า "โตเกี๋ยมยกชีจิ๋วให้กับเล่าปี่ เขาก็จะไม่ต้องกังวลอันใดอีก ลูกหลานของเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เป็นการบรรลุเป้าหมายด้วยปัญญา"

"เช่นนั้นไฉนเล่าปี่จึงปฏิเสธ?" ลิโป้เอ่ยถาม

"ที่เล่าปี่ปฏิเสธก็เพราะเพื่อต้องการจะรักษาชื่อเสียง หากเขาตกปากรับคำทันที ผู้คนในแผ่นดินก็จะมองว่าเขาฉวยโอกาสจากอันตรายของผู้อื่น" กุยแกเอ่ยตอบ

'ไฉนสมองท่านถึงได้คดเคี้ยวปานนี้?' ลิโป้ลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ

..........................

ในเวลาเดียวกันนั้น ตันเต๋งเองก็กำลังเอ่ยปากโน้มน้าวเล่าปี่

"ท่านเล่าปี่ สถานการณ์ของแผ่นดินเวลานี้ยังไม่ชัดเจน ท่านเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายของจงซานจิ้งอ๋อง เป็นเชื้อพระวงศ์ ยามนี้ชีจิ๋วอยู่ในช่วงคับขัน ท่านควรแบกรับภาระหน้าที่นี้ อย่าได้หลบเลี่ยงอีกเลย" ตันเต๋งกล่าว เขาคาดหวังในตัวเล่าปี่ไว้มาก ก่อนที่เล่าปี่จะได้เป็นนายอำเภอเพงง๋วนก๊วน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีเพียงกวนอูและเตียวหุย ไม่มีขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ข้างกาย ต่อให้เล่าปี่จะได้ปกครองชีจิ๋ว แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดต่อผลประโยชน์ของตระกูนตัน และหากว่าเล่าปี่ขึ้นเป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วด้วยการสนับสนุนจากเขา เล่าปี่แน่นอนว่าจะต้องสำนึกขอบคุณตระกูลตันอย่างมาก

แม้จะได้ยินเช่นนั้น เล่าปี่ก็ยังคงลังเล

ตันเต๋งพยายามโน้มน้าวอีกครั้ง "ในชีจิ๋วนั้นมีราษฏรอยู่นับร้อยหมื่น หากท่านได้เป็นเจ้าเมือง ท่านก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ ท่านจะสามารถสั่งการไพร่พลให้ไปป้องกันชายแดน"

แม้ว่าเล่าปี่จะรู้สึกหวั่นไหว ทว่าเขาก็ยังคงไม่กล้าตัดสินใจ "บัดนี้ใต้เท้าลิมาถึงชีจิ๋วแล้ว และด้วยบารมีของใต้เท้าลิ หากได้ปกครองชีจิ๋ว เชื่อว่าเขาจะต้องปกป้องชีจิ๋วไว้ได้แน่"

เมื่อนึกถึงอ้วนเสี้ยว ตันเต๋งก็กล่าวขึ้นว่า "ท่านเล่าปี่ บัดนี้ราชวงศ์ฮั่นถูกเหล่าโจรกบฏหยามย่ำยี ยามนี้ท่านอ้วนเสี้ยวมีชื่อเสียงบารมีไร้คู่เปรียบ ข้าได้ส่งจดหมายไปสอบถามความเห็นท่านอ้วนเสี้ยวในเรื่องนี้แล้ว และท่านอ้วนเสี้ยวก็เห็นด้วยที่จะให้ท่านเล่าปี่ปกครองชีจิ๋ว"