ตอนที่ 238 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ส่านจิงพลันหลั่งเหงื่อเย็นเมื่อได้ยิน จากคำพูดของลิโป้ เขาก็ทราบว่านี่คือการหยั่งเชิง ต้องใช่แน่ๆ นี่เป็นการหยั่งเชิง! ผู้ที่ลงทุนลงแรงตีเมืองปักเป๋งมากที่สุดก็คือทัพปิ้งโจว เขาไม่เชื่อว่าลิโป้จะเต็มใจปล่อยเมืองปักเป๋งไป ดังนั้นส่านจิงจึงเหลือบมองดูบรรดาแม่ทัพที่อยู่โดยรอบ นั่นทำให้เขายิ่งตกใจ จึงรีบกุมหมัดกล่าวว่า "เมืองปักเป๋งเกิดความวุ่นวายเพราะสงคราม อีกทั้งเวลานี้ยังมีทัพกิจิ๋วและเหยียนโร่วที่เฝ้าจับตาดูอยู่ กองทัพของจิ้นโหวเข้มแข็งเกรียงไกร มีความสามารถเหมาะสมจะดูแลชาวเมืองให้ปลอดภัยขอรับ"

กองซุนซู่ที่เคยหมดหวังไปแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของลิโป้ก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี เขาลอบภาวนาให้่ส่านจิงตอบตกลง เพียงแต่คำพูดต่อมาของส่านจิงได้สร้างความผิดหวังให้แก่เขา แม้แต่ความไม่พอใจก็ถูกถ่ายโอนจากลิโป้ไปยังส่านจิง ในอดีตนั้น บิดาของเขาให้ค่าส่านจิงเพียงใด บิดาของเขากระทั่งมอบหมายสถานที่สำคัญอย่างมืองปักเป๋งให้ส่านจิงดูแล มิคาด เขากลับส่งมอบเมืองปักเป๋งแก่ทัพปิ้งโจวโดยง่าย

กองซุนซู่อยากจะก้าวออกไปตอบตกลง หากแต่เขาก็เกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย

"ไม่ทราบว่านายน้อยกองซุนคิดเห็นอย่างไร?" ลิโป้หันมาถามกองซุนซู่

กองซุนซู่กลืนน้ำลายลงคอ ต่อให้เขาคัดค้านคำพูดของส่านจิง นั่นยังจะมีประโยชน์ใด? ในมือของเขาไม่มีทั้งแม่ทัพและไพร่พล หรือเขาคิดที่จะปกป้องเมืองปักเป๋งจากกองทัพของเหยียนโร่วและทัพกิจิ๋วด้วยตนเอง?

"ข้าน้อยมีไม่ปราดเปรื่องเท่าจิ้นโหว ไม่มีความสามารถจะแบกรับหน้าที่สำคัญนี้ขอรับ" หลังจากกล่าวออกไป ในใจของกองซุนซู่ก็คล้ายถูกกรีดอย่างรุนแรง

ลิโป้ยิ้มบาง เขากวาดตามองทุกคนในห้องโถงก่อนจะกล่าวว่า "เมื่อทัพเรายึดเมืองปักเป๋งมาได้ ทัพกิจิ๋วจะต้องไม่ยอมเป็นแน่ แม่ทัพทั้งหลายจะต้องไม่ประมาทเลินเล่อ ในทัพกิจิ๋วมีหน่วยทหารที่เรียกว่าทหารเซียนเติงที่ห้าวหาญไม่กลัวตายอยู่ ทหารม้าขาวจำนวนสามพันก็พ่ายแพ้ในมือของพวกเขาเอง"

เมื่อเหล่าบรรดาแม่ทัพได้ยินดังนั้น พวกเขาก็สูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้าง แม้แต่กองทหารม้าชั้นยอดอย่างทหารม้าขาวก็ยังถูกทำลายลง แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของทหารหน่วยนี้ แม้ว่าเหล่าแม่ทัพจะมั่นใจในทหารของตน แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการจะสูญเสียกำลังโดยไม่จำเป็น

ขณะที่ได้ฟัง ดวงตาของโกซุ่นก็เผยความต้องการต่อสู้ออกมาอย่างแรงกล้า หลังจากลิโป้ทำการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับหน่วยทะลวงค่ายแล้ว หน่วยทะลวงค่ายก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แม้ว่าชุดเกราะจะหนักขึ้นบ้าง แต่นั่นก็ไม่นับเป็นอย่างไรสำหรับทหารหน่วยทะลวงค่าย ดาบในมือของทหารทุกนายล้วนตีขึ้นจากเหล็กกล้า เป็นการลงทุนอย่างที่ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินกล้าลงทุน แม้โกซุ่นจะไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่เขาก็อยากจะทดลองดู

อาวุธที่หลอมส้รางจากเหล็กกล้านั้นหายากยิ่ง หากระดับแม่ทัพทั่วไปได้รับอาวุธเหล้กกล้า พวกเขาก็จะถนอมดูแลราวกับสมบัติล้ำค่า ณ ตอนนี้ มีเพียงทหาารม้าเฟยฉีจำนวนหนึ่งพันนาย และทหารหน่วยทะลวงค่ายทั้งแปดร้อยเท่านั้นที่พกพาดาบโค้งที่ตีขึ้นจากเหล็กกล้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าลิโป้ให้ความสำคัญกับหน่วยทะลวงค่ายเพียงใด

กล่าวได้ว่าอาวุธและชุดเกราะของทหารหน่วยทะลวงค่ายนั้น แม้แต่ระดับแม่ทัพของทัพปิ้งโจวก็ยังต้องอิจฉาเมื่อได้เห็น

ลิโป้พยักหน้าให้โกซุ่นเบาๆ ทหารเซียนเติงเป็นทหารราบ และหน่วยทะลวงค่ายเองก็เป็นทหารราบ ในการต่อสู้ระหว่างทหารสองหน่วย ผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะ? ลิโป้มั่นใจในตัวโกซุ่น แม้ว่าครั้งก่อนโกซุ่นจะตอบว่าไม่มั่นใจ หากแต่เขาก็เห็นว่าหลังจากวันนั้นแล้ว โกซุ่นฝึกฝนทหารหนักขึ้นเพียงใด ตอนที่ทัพปิ้งโจวประการอยู่ที่เมืองซ่างกู่ หน่วยของโกซุ่นนับว่าพากเพียรพยายามมากที่สุด

หลังจากทำให้เมืองปักเป๋งสงบลงได้แล้ว ลิโป้ก็สั่งให้จูล่งนำทหารม้าจำนวนหนึ่งพันพร้อมกับส่านจิงไปยังเมืองยีหยง สถานการณ์ของเมืองยีหยงนั้นซับซ้อน ส่านจิงย่อมมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ในที่นั้นมากที่สุด ดังนั้นการส่งคนทั้งสองไปจึงนับว่าเหมาะสมที่สุด นอกจากนั้น หากปล่อยให้ส่านจิงอยู่ที่เมืองปักเป๋งกับกองซุนซู่ ทั้งสองคนก็อาจจะมีความคิดนอกลู่นอกทางได้

......................

ทางด้านบุนทิวที่นำทหารม้าร้อยกว่าคนมุ่งหน้าไปยังเมืองจี้ หลังจากมองเห็นธงของทัพกิจิ๋วปักเรียงรายอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว เขาก็ชะงักไป ไม่ใช่ว่าเมืองจี้กำลังคับขันหรอกหรือ? ไฉนที่นอกเมืองถึงยังสงบเช่นนี้? ที่นี่ไม่มีทัพศัตรูแต่อย่างใด อีกทั้งบนพื้นดินยังไม่มีร่องรอยของการสู้รบ หลังจากได้ปะทะกับทหารม้าเฟยฉีมา บุนทิวก็กลายเป็นระมัดระวังมากขึ้น เขาส่งรองแม่ทัพออกไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน

หลังจากตรวจสอบยืนยันซ้ำหลายรอบ บุนทิวก็ตระหนักได้ว่าเมืองจี้ไม่ได้กำลังคับขันแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ทหารที่ไปขอความช่วยเหลือที่เมืองปักเป๋งผู้นั้นจะต้องมีปัญหา คิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของบุนทิวก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพบู๊ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าตนหลงกลอีกฝ่ายแล้ว มีคนต้องการโจมตีเมืองปักเป๋ง เป็นไปได้มากว่าจะเป็นทัพปิ้งโจว เมื่อนึกถึงพลังรบอย่างน่าสะพรึงของทหารม้าเฟยฉีแล้ว บุนทิวก็รีบสั่งให้รองแม่ทัพนำทหารม้าสิบกว่าเร่งรีบเดินทางทั้งวันคืนไปยังเมืองปักเป๋งเพื่อแจ้งเรื่องนี้ต่อจอสิว

อ้วนเสี้ยวประหลาดใจต่อการมาของบุนทิวยิ่ง ดังนั้นจึงรีบเรียกเขาเข้าพบ

บุนทิวไม่ได้มีเค้าความองอาจของแม่ทัพแห่งทัพกิจิ๋วเหมือนแต่ก่อน ตามชุดเกราะมีร่องรอยของการฉีกขาด ตามใบหน้าและเสื้อผ้าเองก็มีคราบเลือดอยู่ บุนทิวเดินเข้ามาในโถงด้วยสีหน้าที่ฉายแววละอายใจ

"ไฉนแม่ทัพบุนจึงมายังเมืองจี้ได้?" อ้วนเสี้ยวรีบถาม

บุนทิวรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมด

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฮองกี๋ก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย "นายท่าน เกรงว่าตอนนี้เมืองปักเป๋งคงถูกตีแตกไปแล้ว และเรื่องนี้คงเป็นฝีมือของทัพปิ้งโจวไม่ผิดแน่"

ดวงตาของอ้วนสี้ยวเผยแววเดือดดาล การยึดครองเมืองปักเป๋งนั้นมีความสำคัญต่อการยึดครองอิวจิ๋วยิ่ง เมื่อยึดเมืองปักเป๋งได้ การจะทำให้อิวจิ๋วสงบมั่นคงก็จะง่ายดายขึ้นมาก ทุกคนต่างก็ทราบว่าเมืองยีหยงนั้นวุ่นวายซับซ้อน แต่เมื่อทัพปิ้งโจวสามารถยึดเมืองปักเป๋งได้ นั่นก็หมายความว่าทัพกิจิ๋วจะต้องลงแรงมากขึ้น พวกเขาทำได้เพียงต้องทำศึกกับทัพปิ้งโจวต่อ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะยึดครองได้เพียงสองเมือง สีหน้าของอ้วนเสี้ยวยิ่งบิดเบี้ยวหนักเมื่อนึกถึงว่าเขาต้องลงทุนลงแรงเพียงใดกว่าจะโค่นกองซุนจ้านลงได้ ทว่าสุดท้าย ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นทัพปิ้งโจว ยิ่งคิดอ้วนสี้ยวก็ยิ่งกำหมัดแน่น

"ลิโป้ เจ้าคนผู้นี้ถึงกลับกล้าโจมตีทัพเราจริงๆ ทหาร! ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้เตรียมเคลื่อนพลบุกโจมตีเมืองปักเป๋ง!" อ้วนเสี้ยวกล่าวด้วยความโกรธแค้น

"ทัพปิ้งโจวเก่งกาจด้านการรบ ไม่สามารถนำทัพอิวจิ๋วไปเปรียบเทียบด้วยได้ ยิ่งกว่านั้นทัพปิ้งโจวยังมีไพร่พลอยู่นับหมื่น หากว่าผนึกกำลังกับอดีตแม่ทัพของกองซุนจ้านอย่างส่านจิง ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังให้มากขอรับ" ฮองกี๋กล่าวเกลี้ยกล่อม

"นายท่าน ยังไม่มีข่าวมาจากเมืองปักเป๋ง ดังนั้นพวกเราควรรอฟังข่าวก่อนจะดีกว่าขอรับ" เขาฮิวเองก็กล่าวเกลี้ยกล่อม

ทันทีที่เขาฮิวกล่าวจบ แม่ทัพที่คุมประตูเมืองก็เข้ามาในห้องโถง "รายงานใต้เท้า เมืองปักเป๋งถูกทัพปิ้งโจวแย่งชิงไปแล้วขอรับ ส่วนใต้เท้าจอเป็นตายไม่อาจทราบ"

"เจ้าคนถ่อยลิโป้! กล้ามารังแกกิจิ๋วของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าข้าสามารถรังแกได้โดยง่ายนักหรือ" เพลิงโทสะพลันเข้าครอบงำจิตใจของอ้วนเสี้ยว ชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่เหนือกองวุนจ้านทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่น ขณะที่ลิโป้นั้นเพียงพึ่งพาทัพม้าเฟยฉี ขอเพียงส่งหน่วยเซียนเติงออกไปทำลายทัพม้าเฟยฉีลง ทัพปิ้งโจวก็จะต้องพังทลายลงดุจเดียวกับทัพอิวจิ๋วอย่างแน่นอน

"ขอนายท่านโปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วยเถิด" เหล่าที่ปรึกษาต่างกล่าวขึ้นเป็นเสียงเดียว ปัจจุบันทัพกิจิ๋วมีไพร่พลอยู่เพียงหมื่นเศษ เมื่อเทียบกับขุมกำลังของทัพปิ้งโจวแล้วก็ยังด้อยกว่า อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะยึดเมืองจี้และเมืองตุ้นก้วนมาได้ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อทำให้มั่นคง หากว่าเคลื่อนทัพโจมตีเมืองปักเป๋ง นั่นก็รังแต่จะสูญเสียกำลังโดยเปล่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่เหยียนโร่วก็อาจจจะฉกฉวยโอกาส แม้ว่าบัดนี้เหยียนโร่วจะมีทีท่านอบน้อม แต่นั่นก็เพราะทัพกิจิ๋วยังแข็งแกร่ง หากว่าทัพกิจิ๋วเคลื่อนทัพไป เหยียนโร่วจะใช้โอกาสนี้แย่งชิงเมืองทั้งสองไปหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ ถึงอย่างไรเมืองจี้ก็เป็นเมืองเอกของอิวจิ๋ว เป็นตัวแทนอำนาจของอิวจิ๋ว และการยึดครองนั้นมีความหมายเป็นพิเศษ

"ไตร่ตรองงั้นรึ?" อ้วนเสี้ยวกัดฟันกล่าว "ลิโป้รังแกพวกเราเช่นนี้ ยังให้ข้าไตร่ตรองอีกรึ?"