ตอนที่ 256 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ทัพกิจิ๋วล่าถอยไปแล้ว อีกไม่นานทัพเราก็ต้องออกจากปักเป๋งเช่นกัน ในความคิดของเฟิ่งเซี่ยว ผู้ใดเหมาะจะอยู่เฝ้ารักษาเมืองปักเป๋ง?" ลิโป้หันมาถามกุยแก เมืองปักเป๋งตั้งอยู่ในชัยภูมิสำคัญ กล่าวได้ว่ามีอาณาเขตยื่นจ่อใส่คอหอยของอิวจิ๋ว ยิ่งกว่านั้นเมืองปักเป๋งยังอยู่ใกล้กับเผ่าอูหวน ขณะที่ทางเมืองจี้ก็มีทหารกิจิ๋วเฝ้าจับตาดูอยู่

"นายท่าน ตามความเห็นของผู้น้อยแล้ว เถียนยู่สามารถรับหน้าที่สำคัญนี้ขอรับ" กุยแกกล่าวตอบ

"เถียนยู่มากความสามารถ จาการที่ผู้น้อยจะสนทนาแลกเปลี่ยนกับเขามา ไม่ว่าในด้านการทหารหรือด้านการบริหาร เขาล้วนมีความรู้ความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไปมาก อีกทั้งเถียนยู่ยังอยู่ที่เมืองปักเป๋งมาหลายปี ย่อมกระจ่างในสถานการณ์ของเมืองปักเป๋งเป็นอย่างดี หากนายท่านดึงตัวเถียนยู่มาเข้าร่วม เรื่องทางด้านปักเป๋งนี้ก็นับว่าคลี่ลายแล้วขอรับ"

ลิโป้เอ่ยถามว่า "เถียนยู่เคยอยู่ใต้บัญชากองซุนจ้าน เฟิ่งเซี่ยวไม่กังวลหรือว่าเถียนยู่จะก่อกบฏหลังจากที่ทัพเราถอนกำลังจากเมือง?"

กุยแกยิ้มพลางกล่าวว่า "นายท่าน เถียนยู่เป็นคนฉลาด เขาทราบว่าควรทำอย่างไร ถึงอย่างไรกองซุนจ้านก็ตายไปแล้ว และกองซุนซู่ผู้เป็นบุตรชายก็ไม่มีกำลังพอ มิเช่นนั้นเถียนยู่ก็คงจะไม่รั้งอยู่ที่นี่ต่อ"

"ดี พรุ่งนี้ข้าจะไปยังที่พักของเถียนยู่ด้วยตัวเอง" ลิโป้กล่าว ในด้านของการมองคน เขายังเชื่อในสายตาของกุยแก

"หากว่านายท่านไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง เรื่องราวจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอนขอรับ" กุยแกกล่าว

"เถี่ยนยู่ยังอายุน้อย เขาย่อมไม่เต็มใจจะตกอยู่ในสภาพนี้ไปตลอด เขามีจิตปณิธาน ต้องการสร้างชื่อ ซึ่งความจริง หากกองวุนจ้านฟังคำแนะนำของเถียนยู่ เขาก็คงจะไม่ต้องลงเอยเช่นนี้"

คืนนั้น ค่ายปิ้งโจวสว่างไสว ลิโป้นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ขณะที่แม่ทัพชาวอูหวนที่มาร่วมงานต่างก็ดื่มสังสรรค์ด้วยความผ่อนคลาย

หลังจากได้ดื่มสุราจิ้น แม่ทัพอูหวนต่างก็เอ่ยชมกันไม่ขาดปาก ชาวอูหวนใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร ฤดูหนาวยังหนาวเหน็บกว่าที่อื่น หากไม่มีเสบียงอาหารเพียงพอ ชาวอูหวนก็ยากจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้ ดังนั้นสุราจึงกลายเป็นที่นิยมของชาวอูหวน หลังจากดื่มสุราเข้าไป ร่างกายก็จะอุ่นร้อน ขับไล่ความหนาวอย่างได้ผลชะงัด สุราจิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีฤทธิ์ร้อนแรงและรสชาติดีกว่าสุราอื่นมาก

นี่เป็นครั้งแรกของแม่ทัพอูหวนหลายคนที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงระดับสูงเช่นนี้ แม้ว่าอ้วนเสี้ยวจะเคยจัดงานเลี้ยงให้ชาวอูหวนที่เมืองจี้มาก่อน ทว่าแม่ทัพทั่วไปนั้นไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน นอกจากนั้น อ้วนเสี้ยวยังมักปั้นหน้าขึงขัง สายตามองดูชาวอูหวนด้วยความตื่นตัวอยู่ตลอด ดังนั้นจึงทำให้ชาวูหวนรู้สึกไม่ดี

แน่นอนว่าลิโป้ย่อมเข้าใจเหตุผลข้อนี้ เมื่อแม่ทัพอูหวนดื่มจนมึนเมา พวกเขาก็เริ่มพูดจาไร้สาระ ฉากที่พวกเขาเรียกพี่เรียกน้องกับแม่ทัพชาวฮั่นทำให้ภายในงานเลี้ยงคึกคักขึ้นมา

เป๊กตุ้นไม่ได้ดื่มหนักไปนัก ทัพกิจิ๋วล่าถอยกลับไปแล้ว ดังนั้นเขาเองก็อยากจะรั้งอยู่ที่เมืองปักเป๋งอีก บัดนี้อากาศยิ่งมายิ่งเย็นลง พวกเขาจึงต้องการกลับชนเผ่าโดยเร็ว นอกจากนั้น เหยียนโร่วยังกลับไปที่เมืองจี้พร้อมกับทัพกิจิ๋ว นั่นหมายความว่าเหยียนโร่วจะไม่แย่งชิงดินแดนกับชาวอูหวนอีก เช่นนั้นพื้นที่เลียวไส ขอเพียงลิโป้ไม่ว่าอะไร พื้นที่แถบนั้นก็จะกลายเป็นของชาวอูหวนทันที

หลังจากผู้คนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เป๊กตุ้นยังคงรั้งอยู่ต่อ

"คารวะจิ้นโหว!" เป๊กตุ้นกุมหมัดค้อมคำนับอย่างสุภาพ

"ไม่ต้องมากพิธี" ลิโป้กล่าวเบาๆ

"จิ้นโหว ได้ยินว่าในหมู่ชาวซยงหนู มีทหารม้าจำนวนสามพันได้ติดตามทัพฮั่นออกสู้ศึกไปทั่วทุกทิศ ชาวอูหวนเองก็มั่นใจว่าไม่ด้อยกว่าชาวซยงหนู ดังนั้นจึงเต็มใจส่งทหารม้าจำนวนหนึ่งพันติดตามทัพปิ้งโจวออกสู้ศึกขอรับ" เป๊กตุ้นกุมหมัดกล่าว

ลิโป้ชำเลืองมองกุยแกที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่ากุยแกพยักหน้าเบาๆ เขาก็เอ่ยว่า "ใต้เท้าเป๊กตุ้นมีจิตเจตนาเช่นนี้ ปิ้งโจวต้องขอบคุณใต้เท้าแล้ว"

"จิ้นโหว ชาวอูหวนจากบ้านมานาน พวกเขากระตือรือร้นอยากกลับบ้าน หวังว่าใต้เท้าจะเห็นชอบ"

ลิโป้พยักหน้า "นั่นเป็นเรื่องสมควรแล้ว ทหารม้าอูหวนห้าวหาญชาญศึก หากไม่ได้ทหารม้าอูหวน ทัพกิจิ๋วคงไม่ยอมถอยทัพกลับไป"

เป๊กตุ้นกุมหมัดกล่าวว่า "ทัพปิ้งโจวเป็นทัพทหารชั้นยอด ทัพกิจิ๋วย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ เพียงแต่ชาวอูหวนอยู่อาศัยในพื้นที่แร้นแค้นยิ่ง ครั้งนี้ติดตามเหยียนโร่วบุกโจมตีกองซุนจ้าน เขาได้ให้สัญญาเอาไว้ว่าจะยกสามเมืองของเลียวไสให้พวกเรา"

ลิโป้ขมวดคิ้ว สายตาหันไปมองกุยแก เมื่อเห็นกุยแกพยักหน้าเบาๆ เขาก็ค่อยๆกล่าวขึ้นว่า "ในเมื่อเหยียนโร่วเคยสัญญาไว้เช่นนั้น ทัพปิ้งโจวเราก็จะไม่ขัดขวาง"

"ขอบคุณจิ้นโหว!" เป๊กตุ้นกุมหมัดกล่าวด้วยความยินดี

เผชิญกับท่าทางสำนึกขอบคุณอย่างมากของเป๊กตุ้น ลิโป้ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ชาวอูหวนนับว่าเสียสละในสงครามนี้ไปไม่น้อย แม้ว่าสุดท้ายแล้วทัพกิจิ๋วจะได้รับชัยชนะ แต่ทัพปิ้งโจวก็ไม่ได้สูญเสียกำลังทหารแต่อย่างใด

หลังจากเป๊กตุ้นขอตัวอำลาจากไปแล้ว กุยแกก็กล่าวขึ้นว่า "นายท่าน ชาวอูหวนแสดงเจตนาดีต่อนายท่านเช่นนี้ จุดประสงค์คือคิดขอรับความคุ้มครองจากปิ้งโจวขอรับ"

ลิโป้กล่าวว่า "ชาวอูหวนเก่งกล้าในการรบ ไฉนยังต้องพึ่งพาปิ้งโจว นอกจากนั้นชาวอูหวนยังต้องการเมืองในพื้นที่ของเลียวไสถึงสามเมือง หากว่าพกวเขาเข้มแข็ง จะไม่มารุกรานเมืองปักเป๋งเอาหรือ?"

"นายท่าน เหยียนโร่วยังคงอยู่ภายในอิวจิ๋ว และตัวเหยียนโร่วเองก็มีบารมีอยู่ไม่น้อย หากว่านายท่านให้เหยียนโร่วนำไพร่พลกลับไปที่เลียวไส ชาวอูหวนยังจะสามารถอยู่อย่างเป็นสุขหรือ? ถึงอย่างไร ในอิวจิ๋วนี้ผู้ใดมีกำปั้นใหญ่กว่า ผู้นั้นจึงมีสิทธิ์กล่าววาจา"

ลิโป้ถอนหายใจ "อิวจิ๋วตกอยู่ในไฟสงครามมานาน สถานการณ์ของเมืองต่างๆก็วุ่นวายซับซ้อน"

ในพื้นที่ของอิวจิ๋ว มีภัยพิบัติทั้งจากชาวอูหวนและชาวเซียนเป่ย ยิ่งกว่านั้น ตระกูลกองซุนแห่งเลียวตั๋งยังไม่ยอมรับคำสั่ง แม้ว่าเล่าหงีจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองแห่งอิวจิ๋ว หากแต่อำนาจที่แท้จริงของเขานั้นกลับน้อยยิ่ง มิเช่นนั้นกองซุนจ้านคงไม่สามารถสังหารเล่าหงีได้โดยง่ายถึงเพียงนี้

"ทัพปิ้งโจวกรำศึกมานาน ย่อมต้องการเวลาเพื่อฟักฟื้นกองทัพเช่นกัน" ลิโป้กล่าว

"นายท่านเคยคิดเรื่องที่เล่าเปียวจะขึ้นเป็นฮ่องเต้บ้างหรือไม่ขอรับ?" กุยแกพลันเอ่ยถามขึ้นมา ซึ่งความจริง คำถามนี้ได้ติดอยุ่ในใจของกุยแกมานาน มีคำกล่าวที่ว่า ประเทศชาติไม่อาจประมุขได้แม้เพียงวันเดียว นับตั้งแต่ฮ่องเต้สวรรคตท่ามกลางความวุ่นวายระหว่างการศึก แผ่นดินก็บังเกิดความวุ่นวายเรื่อยมา เล่าหงีที่มีโอกาสขึ้นเป็นฮ่องเต้มากที่สุดก็ตายไปแล้ว เล่าเปียวแห่งเกงจิ๋วเองก็ยกทัพทำศึกกับโจโฉเพื่อแย่งชิงกุนจิ๋ว

"เล่าเปียวแห่งเกงจิ๋ว?" ลิโป้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่ากุยแกเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาก็รีบยิ้มก่อนจะกล่าวว่า "เฟิ่งเซี่ยว ความหมายของข้าคือ เล่าเปียวผู้นี้คงยากที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ คนผู้นี้สายตาคับแคบ ทั้งยังล่วงเกินอ้วนสุด กังตั๋ง และโจโฉในเวลาเดียวกัน บัดนี้กองทัพส่วนใหญ่ต้องรบติดพันอยู่ในกุนจิ๋ว ในการต่อสู้กับอ้วนสุด แม้จะได้ชัยชนะ แต่ก็สูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นโจโฉยังเป็นคนที่โดดเด่นในด้านการใช้ทหาร ไม่ช้าก็เร็วจะต้องยึดกุนจิ๋วกลับมาได้อย่างแน่นอน"

"แล้วเฟิ่งเซี่ยวคิดหรือว่าโจโฉจะยังให้การสนับสนุนต่อเล่าเปียว?" ลิโป้ถามกลับ

"ตระกูลอ้วนเป็นตระกูลขุนนางสี่สมัยซ้อน มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วแผ่นดิน อ้วนสุดแห่งหวยหนนก็มีทั้งไพร่พลและเสบียงอาหาร สามารถยึดกุมเมืองส่วนใหญ่ของเองจิ๋วและอิจิ๋วเอาไว้ ทั้งยังซุกซ่อนตราหยกแผ่นดิน แสดงว่ามีใจทะเยอทะยาน เกรงว่าอ้วนสุดคงไม่รอให้เล่าเปียวได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แน่ ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องตั้งตัวเป็นฮ่องเต้แห่งหวยหนาน"

น้ำเสียงอันมั่นใจของลิโป้ทำให้กุยแกตกตะลึง ยังไม่ต้องกล่าวถึงความคิดของอ้วนสุด หากว่าอ้วนสุดคิดตั้งตัวเป็นฮ่องเต้จริงๆ อิทธิพลของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก จากนั้นอำนาจเสี้ยวสุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นก็จะเสื่อมหายไป ต่อให้เล่าเปียวได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาก็จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใด ในเมื่อเล่าเปียวสามารถประกาศตัวเป็นฮ่องเต้ได้ เช่นนั้นแล้ว บรรดาเจ้าเมืองที่กุมอำนาจไว้มากมายมีหรือที่จะยอมอยู่ใต้ผู้อื่น? แม้ว่าเปลือกนอกอาจจะอ่อนน้อม แต่มีหรือที่ภายในใจจะไม่มีความคิดขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง ไม่ว่าเจ้าเมืองคนใดก็ไม่ต้องการจะละทิ้งอำนาจที่อยู่ในมือกันทั้งนั้น

แม้ว่าการกระทำของลิฉุยกับกุยกีจะมีข้ออ้างรองรับ หากแต่ความจริงนั้น ที่พวกเขาเคลื่อนทัพโจมตีเมืองฉางอันก็เพราะผลประโยชน์ส่วนตน