"แม่ทัพหองอุทิศตัวเพื่อเมืองโห้ลาย หวังว่าใต้เท้าทั้งหลายจะไม่ตำหนิเขา เวลานี้เอียวฮองอาจยกทัพมาได้ทุกเวลา พวกเราจึงควรจะร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องเมืองโห้ลาย" แม่ทัพคนหนึ่งกล่าว
หลังจากทุกคนได้เห็นร่องรอยบาดแผลบนร่างของหองหยก จากที่ระแวดระวังก็เปลี่ยนเป็นเห็นใจ ดังนั้นหลายคนจึงช่วยกล่าวแทนเขา
อู๋เฟิงกล่าวว่า "แม่ทัพหองตำหนิว่าที่พ่ายศึกก็เพราะพวกเรา หรือว่าแม่ทัพหองไม่มีความผิดเลย?"
"แม่ทัพผู้นี้ผิดที่เชื่อคำพูดของเจ้า" หองหยกจ้องมองอู๋เฟิงอย่างไม่กลัวเกรง เป็นเพราะพวกอู๋เฟิง ทัพเขาถึงพ่ายแพ้ย่อยยับ เตียวเอี๋ยง เจ้าเมืองโห้ลายย่อมไม่กล้าเห็นต่างกับเหล่าตระกูลใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ยามที่เมืองโห้ลายยังไม่เกิดศึกสงคราม ก็เป็นตระกูลอู๋ที่จับเขาแขวนว่างไว้
อู๋เฟิงหน้าแดงขณะยกมือขึ้นชี้หน้าหองหยก "เจ้า.........."
"ใต้เท้าอู๋ ยามนี้โห้ลายกำลังเผชิญกับวิกฤต หวังว่าท่านจะสามารถปล่อยวางเรื่องอื่นแล้วให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ใหญ่ก่อน แม่ทัพหองเพิ่งหลบหนีจากค่ายของเอียวฮองมาได้ ดังนั้นจึงควรจะกลับไปพักฟื้นก่อน" เตียวเอี๋ยงกล่าว บัดนี้เมืองโห้ลายกำลังอยู่ในคราวคับขัน ดังนั้นพวกเขาจึงยังต้องพึ่งพาแม่ทัพที่มีประสบการณ์อย่างหองหยกอยู่
"ใต้เท้าทั้งหลาย อย่าได้ร้องขอแทนหองหยกเลย หองหยกมีความผิด หากไม่มีบทลงโทษจะทำให้จิตใจของไพร่พลสงบลงได้อย่างไร? หองหยกมีความผิด ดังนั้นจึงควรจะประหาร" อู๋เฟิงกล่าว
เมื่อเห็นว่าอู๋เฟิงและหองหยกเผชิญหน้ากัน หวางหลี่และเหอตานก็สบตากัน จากนั้นจึงกล่าวออกมาไกล่เกลี่ย "ที่กองทัพพ่ายแพ้ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพหอง"
ทั้งสองคนทราบความสามารถของหองหยกดี หากเป็นยามที่เมืองโห้ลายสงบมั่นคง พวกเขาก็คงไม่กังวลสนใจว่าหองหยกจะอยู่หรือตาย แต่ยามนี้โห้ลายกำลังกับวิกฤต อีกทั้งหองหยกยังค่อนข้างจะมีบารมีอยู่ในกองทัพ การประหารหองหยกจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
"แม่ทัพหอง ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องการทหาร คงต้องรบกวนท่านแล้ว" เตียวเอี๋ยงกล่าว
"ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลายที่เชื่อใจ ข้าจะทุ่มเทกำลังความสามารถเพื่อเมืองโห้ลาย" หองหยกกุมหมัดกล่าว เขาถลึงตามองอู๋เฟิงคราหนึ่งก่อนจะจากไป
ความบาดหมางระหว่างเขากับอู๋เฟิงหยั่งรากลึกมานาน เดิมที เพราะพึ่งพาความเชื่อใจจากอองของ หองหยกจึงได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ เขาไม่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลอู๋ แต่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหวางและตระกูลเหอ แต่หลังจากที่อองของตายไปและตระกูลอู๋ผงาดขึ้นมา ตระกูลหวางและตระกูลเหอจึงได้แต่มองดูหองหยกถูกลดอำนาจไปทีละขั้น และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตระกูลเอาไว้ ทั้งสองตระกูลจึงไม่ได้ออกหน้าช่วยเหลือหองหยก พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องออกหน้าแก่แม่ทัพบู๊ผู้หนึ่ง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่เหมือนกัน โห้ลายกำลังคับขัน พวกเขาต้องการแม่ทัพบู๊เช่นหองหยกในการรักษาเมือง ถึงอย่างไรหองหยกก็เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของกองทัพโห้ลาย
"ใต้เท้าอู๋ ตอนนี้จะรับมือเอียวฮองอย่างไร?" เตียวเอี๋ยงถอนหายใจ
"ใต้เท้า เอียวฮองแม้มีไพร่พลอยู่หมื่นกว่าคน ทว่าก็ยากจะกระทำการใดได้ แม้ภายในเมืองเราจะมีไพร่พลอยู่ไม่มาก แต่เอียวฮองก็ยากจะตีแตก พวกเราควรสั่งการไปยังอำเภอต่างๆให้ตั้งรับอยู่แต่ภายในเมือง" อู๋เฟิงกล่าวขึ้นช้าๆ
เตียวเอี๋ยงพยักหน้าด้วยความจนใจ การยอมจำนนของสองอำเภอใหญ่ทำให้ผู้คนในโห้ลายเกิดความหวาดวิตก แม้กำลังหลักของเอียวฮองจะมีไม่ถึงหนึ่งหมื่น แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ ถึงอย่างไรเอียวฮองก็ยึดครองโห้ลายไปได้สี่อำเภอแล้ว
เผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของเอียวฮอง ตระกูลเหอและตระกูลหวางก็ได้แต่นิ่งเงียบ พวกเขาย่อมตระหนักดีว่า มีเพียงการขับไล่เอียวฮองออกไปจากโห้ลายได้เท่านั้น ฐานะของพวกเขาสองตระกูลจึงจะมั่นคง
..................................
หลังจากจัดการธุระต่างๆเสร็จสิ้น ลิโป้ก็สั่งให้นำตัวม้ากิ้นมาเข้าพบ
ม้ากิ้นเป็นนักประดิษฐ์ที่มีฝีมือในยุคสามก๊ก เพียงแต่ในยุกคนี้นั้น นักประดิษฐ์มีฐานะไม่สู้ดีสักเท่าใด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ม้ากิ้นต้องการจะเดินทางมายังปิ้งโจว สวัสดิการของและการปฏิบัติต่อช่างฝีมือของปิ้งโจวนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด เจ้าเมืองอื่นๆล้วหัวเราะเยาะกับมุมมองของลิโป้ ในสายตาของพวกเขาแล้ว ช่างฝีมือก็เป็นเพียงชนชั้นแรงงาน แม้แต่ฐานะของชาวบ้านทั่วไปก็ยังดูสูงกว่า
แท้จริงแล้วม้ากิ้นมีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น ทั้งยังหน้าตาค่อนข้างดี
"คา...คารวะ.....ใต้....ใต้....ใต้เท้า" ม้ากิ้นค้อมตัวคำนับ
ลิโป้ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า "ข้าได้ยินมาว่าม้าเซียนเซิงต้องการจะเดินทางมายังปิ้งโจว แต่ถูกชิงหนิวจับตัวไว้เสียก่อน ไม่ทราบว่าใต้เท้าม้ายังมีครอบครัวคนอื่นอีกหรือไม่?"
ม้ากิ้นหน้าแดง เขาทราบว่านี่เป็นความบกพร่องของเขา ยามสนทนากับผู้อื่น เขาจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และบ่อยครั้งก็มักจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ "ระ...เรียน....เรียน.....ใต้....ใต้....ใต้เท้า....เฉ่า....เฉ่าหมิน....เฉ่าหมิน.....ไม่.....ไม่มี...คน.....คน....คนอื่น...ใน....ใน.....ครอบ.....ครอบ...ครอบครัว....ขอ....ขอ.....ขอรับ"
ลิโป้ขมวดคิ้วเบาๆ การสนทนากับม้ากิ้นนั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นเขาจึงถามเข้าประเด็น "ม้าเซียนเซิง ท่านต้องการมาทำงานที่โรงงานช่างฝีมือหรือไม่?"
"เฉ่า...เฉ่า....เฉ่าหมิน....ยิน...ยิน....ยินดี" ม้ากิ้นเอ่ยตอบด้วยใบหน้าแดง
"ม้าเซียนเซิงสามารถยึดถือปิ้งโจวเป็นบ้าน เมื่อพวกเรากลับ ท่านก็ติดตามพวกเราไปปิ้งโจว ภายในโรงงานช่างฝีมือนั้นไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือพื้นเพใด ขอเพียงเป็นผู้มีความรู้ความสามารถก็จะได้รับการใช้สอยอย่างแน่นอน และช่างฝีมือที่มีผลงานโดดเด่นก็จะได้รับสวัสดิการที่เทียบเท่าขุนนาง" ลิโป้กล่าว
ม้ากิ้นหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นยินดี ในยุคนี้ ฐานะของช่างฝีมือนั้นต้อยต่ำ ไม่ว่าช่างฝีมือนั้นจะมีความโดดเด่นเพียงใดแต่ก็ยากจะกลายเป็นขุนนางได้ ม้ากิ้นเคยเดินทางไปหลายเมือง ดังนั้นย่อมเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี คำพูดของลิโป้ได้ปลุกกระตุ้นจิตวญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา นับตั้งแต่เด็กเขาก็พูดติดอ่าง ทว่าเขานั้นมีพรสวรรค์ในด้านการประดิษฐ์ ไม่ว่าอุปกรร์แบบใดที่ผ่านมือของเขาก็จะได้รับการปรับปรุง เพียงแต่ในยุคที่แผ่นดินวุ่นวายเช่นนี้ ช่างฝีมือล้วนไม่มีความสามารถจะปกป้องคุ้มครองตัวเอง หากไม่ใช่เพราะลิโป้บุกโจมตีค่าย ม้ากิ้นก็คงจะตายอยู่ภายในค่ายแห่งนี้
แม้ลิโป้จะทราบว่าม้ากิ้นเป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ ทว่าเขาก็ยังประเมินความสามารถของม้ากิ้นต่ำเกินไป ในไม่ช้านักประดิษฐ์ผู้กล่าวติดอ่างผู้นี้จะต้องโดดเด่นขึ้นมา และเครื่องมือตีเมืองที่ปิ้งโจวพัฒนาขึ้นก็จะสร้างความครั่นครามต่อหัวเมืองต่างๆ แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องราวในภายหลัง
หากม้ากิ้นทราบว่าผู้ที่เขาได้เข้าพบนั้นเป็นถึงจิ้นโหวผู้เลื่องชื่อ ไม่ทราบเขาจะมีสีหน้าเป็นอย่างไร
เมื่อได้รับข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง ทั้งลิโป้และกาเซี่ยงก็จำเป็นต้องรีบเดินทางกลับปิ้งโจวโดยด่วน
บัดนี้อ้วนเสี้ยวแห่งเองจิ๋วได้สถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้ที่เมืองชิวฉุนเรียบร้อยแล้ว เขาได้ก่อตั้งราชวงศ์ต๋องขึ้นและประกาศออกไปทั่วแผ่นดิน โดยมีเตียวหุนเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เอียมเซียงเป็นซือถู ฮัวหยงเป็นผู้บัญชาการทหารม้า ส่วนขุนนางและแม่ทัพที่เหลือต่างก็ได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า ทั้งทางทิศเหนือและทางทิศใต้ของเมืองล้วนมีการจัดตั้งแท่นบูชาสำหรับให้ฮ่องเต้สักการะฟ้า มีการก่อสร้างพระราชวังขึ้นที่เมืองชิวฉุน ทั้งยังมีการกะเกณฑ์ไพร่พลขนานใหญ่
ซึ่งความจริง อ้วนสุดไม่ได้เรียกขานตัวเองเป็นฮ่องเต้ แต่เรียกขานตนว่าว่าโอรสสวรรค์ แต่โอรสสวรรค์นั้นมีความหมายอย่างไร ทุกคนล้วนทราบดี นับแต่โบราณมา ฮ่องเต้ก็ถูกเรียกขานเป็นโอรสสวรรค์ เช่นนั้นยังจะมีข้อแตกต่างใดระหว่างการเรียกตนเองเป็นฮ่องเต้หรือว่าโอรสสวรรค์
อ้วนสุดเป็นใครน่ะหรือ? ตระกูลอ้วนเป็นขุนนางมาสี่สมัย และตัวอ้วนสุดเองก็เป็นทายาทสายหลักของตระกูล ดังนั้นการสถาปนาเป็นฮ่องเต้ของเขาจึงแตกต่างจากที่ชาวบ้านทั่วไปลุกฮือขึ้นก่อกบฏ การลุกฮือขึ้นก่อการของเตียวกีในอิวจิ๋วนั้นถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว ทว่าอ้วนสุดนั้นแตกต่างกัน เขาเป็นเจ้าเมืองผู้ครอบครองดินแดนมากที่สุดของแผ่นดินในยามนี้ เขาปกครองดินแดนมากกว่าครึ่งของเองจิ๋ว อิจิ๋ว และชีจิ๋ว อีกทั้งใต้บัญชายังมีก๊กของซุนเซ็กเป็นบริวาร แล้วมีหรือที่เตียวกีจะสามารถเทียบได้?
อ้วนสุดมีใจทะเยอทะยานมานาน หลังจากได้รับตราหยกมาจากซุนเซ็ก เขาก็จับจ้องบัลลังก์มังกรมาโดยตลอด การสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้จะทำให้เขามีฐานะสูงกว่าเจ้าเมืองคนอื่นๆ ยิ่งกว่านั้นการสวรรคตของพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังทำให้เขามีข้ออ้างที่ดูมีน้ำหนักมากขึ้น ตระกูลอ้วนมีบารมีสูงส่งในแผ่นดิน ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนในการผลักดันให้เขาสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ โดยเฉพาะหลังจากในเกงจิ๋วมีเสียงสนับสนุนให้เล่าเปียวขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ไม่อาจอดทนรอได้อีก หากว่าเล่าเปียวได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมืองคนอื่นๆ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสแล้ว....
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved