"นับตั้งแต่ข้าน้อยเข้ามาในเมืองจิ้นหยาง ข้าก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากผู้คนภายในเมือง ชาวเมืองรักใต้เท้า เจตจำนงของมวลชน แม้แต่ตระกูลใหญ่ในปิ้งโจวก็ไม่อาจต้านทาน นี่จึงเป้นเหตุผลที่ทำให้ปิ้งโจวมั่นคง"
"โรงเรียนจิ้นหยาง หลังจากนี้อีกสักหลายปี ที่นี่ก็จะปลุกปั้นผู้มีความสามารถแล้วป้อนให้กับปิ้งโจวจนยากจะสั่นคลอน ทว่าในปิ้งโจวยังมีชนเผ่าซยงหนู ด้านนอกก็ยังมีเซียนเป่ย อูหวน และอ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋วที่จับจ้องตาเป็นมัน ใต้เท้าต้องระวังให้ดี มิเช่นนั้น เพราะหากพลั้งเผลอแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจจะต้องสูญสิ้นทุกอย่าง"
"โอรสสวรรค์ถูกคุมตัวอยู่ในฉางอัน ใต้เท้าอาจจะชูธงคุณธรรม รวบรวมกำลังพลบุกเข้าโจมตีฉางอัน บรรดาเจ้าเมืองต่างจะต้องตอบรับและเข้าร่วมอย่างแน่นอน เพราะนี่คือเกียรติยศสำหรับทั้งหมด"
ลิโป้พยักหน้า ในใจรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง เวลานี้ปิ้งโจวมั่นคงแค่เพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วอยู่ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อน ตระกูลใหญ่ครอบครองดินแดนและมีอำนาจมากกว่าจวนเจ้าเมือง ตระกูลที่คล้อยตามเวลานี้ บางทีก็อาจจะลอบวางแผนลับหลัง ขณะที่ชนเผ่าเซี่ยนเป่ยที่อยู่นอกด่านก็กระเหี้ยนกระหือรือจะเคลื่อนกำลังก่อการ
ส่วนการโจมตีตั๋งโต๊ะเพื่อช่วยเหลือโอรสสวรรค์ ปิ้งโจวเวลานี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอ ตอนนี้ไพร่พลปิ้งโจวที่สามารเคลื่อนกำลังได้อย่างอิสระมีอยู่เพียงสามหมื่นนาย
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก และยิ่งแลกเปลี่ยนความเห็นก็ยิ่งทำให้ลิโป้เลื่อมใสต่อกุยแก ชายหนุ่มผู้นี้สมแล้วที่เป็นยอดกุนซือแห่งยุค สามารถจับจุดสถานการณ์โดยภาพรวมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถแจกแจงได้อย่างถี่ถ้วน เมื่อได้บุคคลเช่นนี้มาช่วยงาน ปิ้งโจวก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล
ตามคำขอของลิโป้ บิต๊กก็ได้จัดซื้อเสบียงอาหารและเหล็กจากภาคกลางมาเป็นจำนวนมาก โดยจะแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กับกระดาษจิ้นและม้าศึก กล่าวได้ว่าเป็นการได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย
ตระกูลบิทำการค้ามาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นจึงได้สร้างเป็นเครือข่ายการค้าอันสมบูรณ์ขึ้นมา ดังเช่นเสบียงอาหาร ตระกูลบิสามารถรวบรวมข้าวหนึ่งแสนกระสอบได้อย่างง่ายดาย เพียงพอให้ไพร่พลจำนวนสามหมื่นกินได้เป็นเดือน
ตอนนี้ลิโป้ก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของพ่อค้าอย่างบิต๊ก ในปิ้งโจวมีพ่อค้าอยู่มากมายก็จริง แต่เมื่อเทียบกับตระกูลที่ประกอบอาชีพทางด้านนี้มานานแล้วก็ยังด้อยกว่ามาก
ประโยชน์ที่ตระกูลบิได้รับจากการร่วมมือกับปิ้งโจวนั้นชัดเจนยิ่ง ม้าศึกถือเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของเจ้าเมืองภาคกลาง สำหรับม้าศึกหนึ่งตัวนั้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว บิต๊กก็จะได้กำไรถึงหนึ่งพันเฉียน กระนั้นม้าศึกก็ยังไม่เพียงพอต่อตลาด เขาซื้อม้าศึกจากปิ้งโจวในราคาสี่พันเฉียน แต่เมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการ ต่อให้ตั้งราคาที่เจ็ดพันเฉียน บรรดาเจ้าเมืองก็จะแย่งชิงกันอย่างแน่นอน เรื่องนี้ทำให้อิทธิพลของตระกูลบิเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจประเมินได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากล่วงเกินตระกูลที่สามารถจัดหาม้าศึกมาได้
ข่าวการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของชาวเซียนเป่ยทางตะวันตกซึ่งหน่วยเฟยอิงจัดส่งมาทำให้ลิโป้ตื่นตัวขึ้น
ตันเตาฝึกทหารขึ้นมาชุดหนึ่ง ขณะที่หน่วยทะลวงค่ายของโกซุ่นก็เพิ่มหลักสูตรการฝึกเพื่อเป็นทหารชั้นยอด พวกเขาฝึกฝนการสอดประสานกันให้กลมกลืนยิ่งขึ้น ในสนามรบนั้น ทหารหน่วยทะลวงค่ายจะรู้จักแต่เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง พวกเขาไม่เกรงกลัวศัตรู แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่ประมาทแม้ศัตรูจะอ่อนแอกว่าก็ตาม
แม้ตันเตาจะขาดทหารชั้นยอดให้ฝึกฝน แต่ด้วยระบบทหารของกองทัพปิ้งโจว การจะเพาะสร้างทหารชั้นยอดขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ลิโป้มักจะไปตรวจดูตามค่ายที่นอกเมืองอยู่บ่อยๆ ทหารใหม่หนึ่งหมื่นนายที่รับเข้ามา หลังจากผ่านการคัดออกแล้วก็ยังเหลืออยู่แปดพันนาย
เมื่อคิดว่าปีนี้ชาวเซียนเป่ยอาจจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ลิโป้ก็ตัดสินใจส่งตันเตาไปยังอำเภอหยุนจง ในปีก่อนๆนั้น พื้นที่หลักๆที่ชาวเซียนเป่ยมักจะรุกรานก็คือ อำเภอหยุนจงและด่านเยี่ยนเหมิน ด่านเยี่ยนเหมินมีทหารชายแดนประจำการอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องส่งกำลังไปเพิ่ม
การมาถึงของทัพหนุนจำนวนแปดพันของตันเตาทำให้ซีเอ๋งระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากรับคำสั่งมาดูแลที่หยุนจง ซีเอ๋งก็นำระบบราชการของจวนเจ้าเมืองมาปรับใช้ได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าซีเอ๋งมีวิธีทำให้ตระกูลต่างๆในหยุนจงทำตัวว่านอนสอนง่ายและสามารถครองใจประชาชน
ไม่เพียงแต่ซีเอ๋งจะจัดการอำนาจท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี แต่เขายังฝึกทหารได้ดีอีกด้วย เวลานี้มีทหารประจำการอยู่ในหยุนจงจำนวนห้าพันนาย เมื่อรวมกับไพร่พลที่ตันเตานำมาสมทบอีกแปดพันนาย ที่นี่ก็มีทหารอยู่ถึงหนึ่งหมื่นสามพันนาย อิงจากข้อมูลของปีก่อนๆ ชาวเซียนเป่ยที่รุกรานตามชายแดนจะมีกำลังคนอย่างมากก็สี่หมื่นคน การมีทหารประจำการในหยุนจงจำนวนหนึ่งหมื่นสามพันนายก็นับว่าเพียงพอแล้ว
เมื่อได้เริ่มงานในฐานะขุนนางดูแลความสงบของจิ้นหยาง กุยแกก็แสดงความสามารถออกมา ทำให้เหล่าขุนนางที่รอดูเรื่องตลกต้องผิดหวัง กุยแกทำงานด้วยความละเอียด โดยเฉพาะหลังจากที่เขาลงโทษแม่ทัพรักษาเมือง เมืองจิ้นหยางก็เป็นระบบระเบียบขึ้น ทหารลาดตระเวนไม่กล้าข่มเขงชาวเมืองโดยไม่มีคำสั่งอีก
ในเรื่องนี้ แม้ว่าจะมีแม่ทัพในกองทัพที่มีความเห็นแย้ง แต่ด้วยการสนับสนุนอย่างหนักแน่นของลิโป้ก็ทำให้ตัวตนของกุยแกเป็นที่ยอมรับมากขึ้นคนที่ไม่พอใจก็ทำได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ กุยแกยังมีอีกหนึ่งตำแหน่งคือ ที่ปรึกษาของกองทัพ เหล่าแม่ทัพได้แต่สงสัยว่าเมื่อใดกุยแกจึงจะเดินทางมาเริ่มงานในกองทัพ ถึงเวลานั้นพวกเขาจะได้แสดงแสนยานุภาพของกองทัพปิ้งโจวให้เขาได้เห็น
พริบตาเดียวก็ถึงฤดูใบไม้ร่วง ประชาชนในปิ้งโจวยังทำงานขยันขันแข็ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข การหว่านเมล็ดพันธุ์มักจะกระทำในฤดูใบไม้ผลิและเริ่มการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นตอนนี้จึงถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อพยพมาจากเมืองลั่วหยางและที่อื่นๆ ที่มายังปิ้งโจว พวกเขาต่างก็ทำนาอย่างกระตือรือร้น ทุ่งนาเหล่านี้เป็นของพวกเขาจริงๆ แตกต่างจากปีก่อนๆที่ต้องส่งผลผลิตให้ตระกูลใหญ่ ครั้งนี้พวกเขาสามารถเก็บผลผลิตทั้งหมดเอาไว้
ในปิ้งโจวไม่มีการเก็บภาษียิบย่อยอื่นๆ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังมีอาหารเหลือเก็บหลังจากจ่ายภาษี หากเป็นในอดีต พวกเขาคงไม่มีชีวิตที่ดีเช่นนี้ ทำงานตรากตรำทั้งปี แต่ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ ดังนั้นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในปีนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสำนึกขอบคุณจวนเจ้าเมือง
ลิโป้ยังคงแวะเวียนไปตรวจค่ายทหาร บางครั้งกระทั่งไปเป็นประธานการตรวจทัพ ซึ่งทำให้ไพร่พลรู้สึกได้ถึงวิกฤตและพากเพียรพยายามมากยิ่งขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าแม่ทัพหากไพร่พลไม่ผ่านการประเมิน? แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องถูกลดขั้นและอาจกระทั่งถูกปลดออก หลังจากมีตัวอย่างทหารที่ถูกปลดออกให้เห็น ทหารที่เหลือก็ขยันฝึกซ้อมกันมากขึ้น
พลทหารทั่วไปก็มีเงินเดือน อีกทั้งยังมีอาหารให้กินทุกวัน ดังนั้นจึงไม่มีใครบ่นกับเกณฑ์การประเมินนี้
เพราะตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของสนามรบ ลิโป้จึงหมั่นฝึกฝนฝีมือตนเองอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะทักษะยิงธนู ลิโป้ฝึกฝนการยิงธนูด้วยตัวเอง กอปรกับมีประสบการณ์จากการเป็นหน่วยรบพิเศษ ลิโป้จึงสามารถยิงธนูได้อย่างแม่นยำในระยะร้อยก้าว ซึ่งน้อยครั้งลิโป้จะแสดงฝีมือนี้ต่อหน้าผู้คน
"เรียนนายท่าน ท่านกุนซือขอเข้าพบขอรับ" เตียนอุยเดินเข้ามารายงานต่อลิโป้ที่กำลังฝึกฝนการยิงธนูอยู่
"ให้ท่านกุนซือเข้ามาได้" ลิโป้รู้สึกได้ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
"เรียนนายท่าน ชาวเซียนเป่ยเคลื่อนกำลังราวหนึ่งแสนคนบุกโจมตีด่านเยี่ยนเหมินและอำเภอหยุนจง ด้วยเหตุผลบางประการ เซียนเป่ยทั้งสามเผ่าจึงละวางความแค้นและหันมาจับมือกัน เวลานี้มีหมู่บ้านในหยุนจงถูกปล้นสะดมแล้วขอรับ แม่ทัพเฝ้าด่านเยี่ยนเหมิน เซียวเหยียนและโจเส็งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน" กาเซี่ยงที่มักจะสุขุมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่กล่าวรายงานยังเผยความกังวลออกมา ชนเผ่าเซียนเป่ยนั้นแตกต่างจากเจ้าเมืองในภาคกลาง พวกเขามีทหารม้าที่เข้มแข็งเกรียงไกรที่สุด สามารถไปมาราวกับสายลม กำลังส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นทหารม้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีการรุกรานชายแดนอยู่เป็นประจำ กระนั้นก็ไม่เคยมีครั้งใดที่จะยกพลมาเกินห้าหมื่น
ลิโป้ได้ฟังแล้วก็พึมพำ "ในที่สุดก็มาแล้ว"
ย่อมไม่อาจนำชาวเซียนเป่ยไปเทียบกับชาวซยงหนู พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ดังนั้นทหารของพวกเขาจึงล้วนแต่เป็นทหารชั้นยอด ที่น่ากลัวคือ พวกเขาล้วนเป็นทหารม้า หากด่านเยี่ยนเหมินถูกตีแตก พวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนกำลังไปได้ทั่วปิ้งโจว ซึ่งนั่นย่อมจะกลายเป็นหายนะอย่างแท้จริง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved