ตอนที่ 101 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

หลังจากส่งจดหมายออกไปได้ไม่นาน เขาก็ถูกจัดให้พักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งภายในเมือง ตันเตารู้สึกเบื่อ สุดท้ายจึงลุกไปยืดเส้นยืดสาย เจ้าหน้าที่รับรองบอกต่อเขาว่า หลังจากที่ใต้เท้าเจ้าเมืองกลับมาแล้ว เขาจะได้รับตำแหน่งงาน เรื่องนี้ทำให้ตันเตาตั้งตารอคอยมาก ในใจยิ่งรู้สึกเลื่อมใสต่อท่านเฉียวที่มอบจดหมายแนะนำยิ่งกว่าเดิม

หลังจากรอได้พักใหญ่ ก็มีคนมาบอกว่าใต้เท้าเจ้าเมืองกลับมาแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนจะลืมมาที่นี่

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตันเตาก็คิดจะไปลองเสี่ยงโชคดูที่จวนเจ้าเมือง

หลังจากพบกับตันเตา ลิซกก็ก็นึกขึ้นได้ หลังจากกล่าวขออภัยแล้ว ลิซกก็นำตันเตาไปเข้าพบลิโป้

ลิซกไม่เคยได้ยินชื่อของตันเตามาก่อน แต่ในเมื่อลิโป้ให้ความสำคัญก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถผู้หนึ่ง

สุรา ก็คืออีกช่องทางทำเงินที่ลิโป้ค้นพบ ผู้คนสมัยโบราณนิยมดื่มสุรา โดยเฉพาะสุราชั้นเลิศ แม้แต่ผู้ที่ไม่นิยมดื่มก็ยังต้องจิบเล็กน้อยเมื่ออยู่ในงาน

เช่นเดียวกับผู้คนภายในปิ้งโจวที่เมื่อมีเงินก็มักจะไปร่ำสุรา

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนที่อยู่นอกด่าน ด้วยเพราะอาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ พวกเขาจึงมักจะต้องจิบสุราเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น

สุราในยุคราชวงศ์ฮั่นนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นผู้ที่คอแข็งอย่างเตียวหุยจึงสามารถดื่มได้ทีละหลายไห

สุรายิ่งร้อนแรงก็ยิ่งเป็นที่นิยม

ในฉางอันนั้น เหตุผลที่ว่าทำไมร้านอาหารของบิต๊กจึงสามารถขายสุราได้ไหละพันตำลึงก็เป็นเพราะว่าสุราของพวกเขามีฤทธิ์ร้อนแรงกว่าที่อื่นนั่นเอง

หากต้องการผลิตสุรา ก่อนอื่นก็ต้องรู้วิธีการกลั่น ซึ่งลิโป้ก็พอจะรู้อยู่บ้าง

เมื่อมีวิธีการกลั่นสุราระดับสูงอยู่ในมือ ก็ไม่ต้องกังวลว่าเหล่าพ่อค้าทั่วแผ่นดินจะไม่หลั่งไหลมาที่ปิ้งโจว ซึ่งนั่นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล

"นายท่าน ท่านลิซกขอเข้าพบขอรับ" ขณะที่ลิโป้กำลังคิดวิธีการกลั่นสุรา เสียงรายงานของเตียนอุยก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

"ให้เข้ามา" ลิโป้พยักหน้า

เมื่อได้เห็นตันเตา ลิโป้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา เขาเป็นคนเชิญอีกฝ่ายมาเองแท้ๆ แต่ดันลืมไปเสียสนิท

"ที่แท้ชูจื้อก็มาแล้ว" ลิโป้ยิ้มบาง ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง

"นายท่าน" ลิซกคารวะก่อนจะถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง

ตันเตามึนงง สามารถรับการเรียกหาจากขุนนางดูแลสำนักงานเมืองว่านายท่านได้ เช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องเป็นเจ้าเมืองแล้ว ใต้เท้าเฉียวซึ่งเขาได้พบที่ฉางอัน ที่แท้ก็คือเจ้าเมืองปิ้งโจว ลิโป้ เรื่องนี้ทำให้ตันเตารู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

"หรือซูจื้อลืมเลือนขุนนางผู้นี้ไปแล้ว?" ลิโป้หัวเราะเบาๆ

ตันเตารีบค้อมคำนับ "ผู้น้อยน้อมคำนับใต้เท้า"

"ซูจื้อไม่ต้องมากพิธี พวกเราเคยเจอกันที่เมืองฉางอันมาแล้ว แต่ตอนนั้นด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ขุนนางผู้นี้จึงต้องปกปิดตัวตน หวังว่าซูจื้อจะให้อภัย"

"ผู้น้อยเข้าใจดีขอรับ" ตันเตารีบตอบ แม้ลิโป้จะกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ แต่ถึงถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงเจ้าเมืองปิ้งโจว

"ซูจื้อ ปิ้งโจวเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องการจะเข้าร่วมกับกองทัพหรือไม่?" ลิโป้ถาม เมื่อตันเตาแทนตัวเองว่าผู้น้อย เขาก็มั่นใจว่าตันเตาตัดสินใจจะรั้งอยู่ที่ปิ้งโจวแน่นอน

"ผู้น้อยน้อมคำนับนายท่าน!" ตันเตาแสดงการตัดสินใจด้วยการกระทำ

ลิโป้ดีใจมาก เขารีบเข้าไปประคองตันเตาขึ้นมา "ได้ซูจื้อมาช่วยเหลือ กองทัพปิ้งโจวจะต้องกลายเป็นกองทัพอันเกรียงไกรไม่ผิดแน่"

ตันเตาตื่นเต้นยินดี วาจานี้มีน้ำหนักอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าลิโป้ให้ความสำคัญกับเขามาก "นายท่าน ผู้น้อยจะทุ่มเทความสามารถเพื่อช่วยกิจการของนายท่าน"

"ซูจื้อ ขุนนางผู้นี้กำลังจะเกณฑ์ไพร่พลหนึ่งหมื่นนาย ข้าอยากได้ไพร่พลชั้นยอดจำนวนห้าพันนายจากคนเหล่านี้ หลังจากซูจื้อฝึกฝนแล้ว ก็จะถูกบรรจุเข้ากองทัพ" ลิโป้กล่าว

ตันเตาฟังแล้วก็มีสีหน้ายินดี ที่เขาถนัดที่สุดก็คือฝึกฝนกำลังพล ในยามว่างเขามักจะศึกษาตำราการฝึกฝนทหาร แม้จะเป็นหน้าที่ฝึกฝนกำลังพลแล้วส่งต่อให้กองทัพต่างๆ เขาก็ยินดีรับหน้าที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่เขามาถึงปิ้งโจว ลิโป้ก็มอบอำนาจควบคุมกำลังทหารห้าพันนายให้เขาทันที เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าลิโป้ให้ความสำคัญกับเขามาก "ขอบคุณนายท่านที่ไว้วางใจ ผู้น้อยจะพยายามสุดความสามารถขอรับ!"

"ซูจื้อ เจ้าเพิ่งเข้าร่วมกับทัพปิ้งโจว หากมีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจก็สามารถไปขอคำชี้แนะจากแม่ทัพโกซุ่นได้" ลิโป้กล่าว

"ขอรับ!" ตันเตาตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้

ลิโป้เองก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน เขาเพิ่งได้ตัวแม่ทัพที่มีชื่อเลื่องลือในประวัติศาสตร์มาเข้าร่วม นับเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมยิ่ง แน่นอนว่ายิ่งมีแม่ทัพมากฝีมืออยู่ใต้ร่มธงยิ่งมากก็ยิ่งดี

หลังจากมาที่เมืองจิ้นหยางได้ช่วงหนึ่ง กัวไท่ก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าใด เขาไม่เคยพบเห็นขุนนางที่จริงใจต่อประชาชนเช่นนี้มาก่อน เขากระทั่งเกิดความสงสัยขึ้นมา หากว่าขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเขาจะสู้ไปเพื่ออะไร? ยังจะมีกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองไปเพื่ออะไร?

ตลอดสามวันที่ผ่านมา กัวไท่รู้สึกนอนไม่หลับ ยิ่งนึกถึงเดิมพันของเขากับลิโป้ เขาก็ยิ่งถอดใจ ต่อให้จะถูกหูไฉและคนอื่นๆหัวเราะเยาะ แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะยอมแพ้แล้ว

กัวไท่แจ้งความจำนงขอเข้าพบลิโป้ผ่านเตียนอุย

"ใต้เท้าลิ" กัวไท่กุมมือกล่าวด้วยความเคารพ

"อืม แม่ทัพกัวมีเรื่องใดหรือ?" ลิโป้ถามด้วยท่าทีผ่อนคลาย

"ใต้เท้า ข้าน้อยมั่นใจว่าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ชาวเมืองจิ้นหยางคงไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีเช่นนี้" กัวไท่กล่าวด้วยความเลื่อมใส

ตอนที่ได้ยินลิโป้บอกครั้งแรก เขาก็ไม่ได้ยึดถือคำพูดของลิโป้เป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด ในความเห็นของเขานั้น ขุนนางทั่วแผ่นดินก้คงเหมือนๆกันหมด แม้จะทำดีต่อประชาชน แต่นั่นก็เพียงหน้าฉาก ทว่าหลังจากได้มาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองจิ้นหยาง ความคิดนั้นของเขาก็ต้องพังทลายลง

เคยเห็นที่ใดงดเว้นไม่เก็บภาษีที่นาเป็นเวลาสามปีหรือไม่? เคยเห็นที่ใดที่หากมีคนในครอบครัวเป็นทหารจะไม่ต้องจ่ายภาษีหรือไม่? เขามั่นใจมากว่าหากผู้คนในเมืองอื่นได้ยินนโยบายนี้ พวกเขาจะต้องหลั่งไหลมาที่ปิ้งโจวแน่

หากกองทัพปิ้งโจวต้องการชิงเมืองใด พวกเขาเพียงแค่ล้อมเมืองเอาไว้แล้วประกาศนโยบายเหล่านี้ออกไป เพียงเท่านั้นก็จะสามารถสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่ฝ่ายป้องกันเมืองแล้ว ดีไม่ดีอาจจะมีคนลอบเปิดประตูเมืองให้เสียด้วยซ้ำ

"แม่ทัพกัว ขุนนางผู้นี้ทราบว่าที่ผู้คนหันไปเป็นโจรก็เพราะถูกราชสำนักบีบบังคับ ขุนนางกังฉินครองเมือง ชีวิตราษฏรย่อมพินาศวอดวาย แต่ตัวท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า การลุกฮือของกบฏโจรโพกผ้าเหลืองได้ทำให้ผู้คนต้องตกตายในสงครามมากขึ้น ทำให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องพลัดถิ่นยิ่งกว่า?" ลิโป้กล่าวอย่างขุ่นเคือง

"พวกเขาเข้าร่วมกับโจรโพกผ้าเหลือง ก็เพื่อสิ่งใดเล่า? ไม่ใช่เพื่อปากท้องและเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีหรอกหรือ? ท่านคิดว่าโจรโพกผ้าเหลืองสามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเขาได้จริงๆ?"

กัวไท่นิ่งเงียบ ในฐานะแม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง เขาย่อมเลื่อมใสศรัทธาต่อปรมาจารย์เตียวก๊กถึงขีดสุด ต่อให้ท่านปรมาจารย์จะก่อการล้มเหลวและถูกสังหารไปแล้วก็ตาม กระนั้นตำแหน่งในใจของเขาก็ยังสลักอยู่ในตัวผู้ศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลาย

ทว่าคำพูดของลิโป้ได้กระตุ้นให้เขานึกถึงความเป็นจริง นอกจากการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือแล้ว ท่านปรมจารย์ได้มอบสิ่งใดให้กับชาวบ้านตาดำๆ? ใช่แล้ว มีแต่ความหายนะ ยิ่งลุกฮือก็ยิ่งมีผู้คนมากมายที่ต้องทุกข์ทรมาณ หลังจากที่โจรโพกผ้าเหลืองถูกปราบปราม ผู้คนที่เหลือก็ได้แต่ต้องเป็นโจร เพราะพวกเขาทราบดีว่าราชสำนักจะไม่อภัยให้กับผู้ที่ก่อกบฏ

"ท่านปรมาจารย์อุทิศตัวเพื่อปวงประชา" นี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายที่อยู่ภายในใจของกัวไท่

"ท่านปรมาจารย์งั้นรึ? เขาน่ะรึจริงใจต่อผู้คน? แล้วไฉนเขาจึงปล่อยให้ผู้คนต้องล้มตาย ไฉนจึงยังปล่อยให้ผู้คนต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายแล้วจะล้มเหลว?" ลิโป้ถามกลับ