ตอนที่ 245 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

หลังจากทัพกิจิ๋วมาถึงที่นอกเมือง ลิโป้ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยความอึมครึม ประตูเมืองที่ปิดสนิททำให้ชาวเมืองรู้สึกวิตกกังวลอยู่บ้าง แม้ว่าภายในเมืองจะมีเสบียงพอให้กองทัพใช้ได้เป็นเวลาครึ่งปี แต่เสบียงเหล่านั้นก็จะถูกใช้ไปกับกองทัพเท่านั้น ในระยะแรกนั้นไม่มีปัญหาใด แต่หากปิดประตูเมืองนานไป ชาวเมืองก็จะเผชิญกับบททดสอบแห่งการอยู่รอด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในสงครามสมัยโบราณ ประตูเมืองจึงยังไม่ถูกปิดตายจนกว่าจะไม่เหลือทางเลือกจริงๆ นั่นก็เพราะว่าชาวเมืองยังต้องออกไปทำมาหากิน

คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า และทหารทัพปิ้งโจวที่ลาดตระเวนอยู่ภายในเมืองก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อเห็นทหารสวมชุดเกราะของทัพปิ้งโจวลาดตระเวนผ่านมา พวกชาวเมืองก็จะพากันหลบเลี่ยง

เป็นการยากที่ข้าศึกจะบุกเข้ามาในเมืองได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการกำจัดปัจจัยความไม่มั่นคงภายในเมืองเสียก่อน หากไม่มีการประสานจากภายในเมือง ทัพกิจิ๋วก้แทบจะไม่มีโอกาสที่จะบุกยึดเมืองปักเป๋งได้สำเร็จ ชาวอูหวนเองก็ไม่ได้โง่ พวกเขาย่อมไม่ต้องการเสียสละกำลังพลในศึกนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นแสนยานุภาพของทัพปิ้งโจวแล้ว ต่อให้เหยียนโร่วมีใจโน้มเอียงไปช่วยเหลืออ้วนเสี้ยว แต่ทหารชาวอูหวนก็จะคัดค้านหัวชนฝา ดังนั้นเหยียนโร่วจึงเหลือทหารที่สามารถใช้สอยได้อยู่ไม่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น การเอาแต่ตั้งรับยังไม่ใช่ลักษณะนิสัยของลิโป้ เขาต้องการจะแสดงความแข็งแกร่งให้ชาวอูหวนได้เห็นอีกครั้ง

วันต่อมา ท้องฟ้าอึมครึมเล็กน้อย จู่ๆประตูเมืองปักเป๋งก็ค่อยๆเปิดออก จากนั้นก็มีทหารม้าจำนวนสามพันเคลื่อนขบวนออกมา

"ธงรูปเหยี่ยวบิน? รีบแจ้งต่อใต้เท้าว่าทัพม้าเฟยฉีเคลื่อนออกจากเมืองแล้ว!" น้ำเสียงของแม่ทัพนั้นสั่นเทา เขาเคยได้ประจักษ์พลังรบของทหารม้าเฟยฉีมาแล้ว เป็นพลังรบที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีวันลืมเลือน เมื่อได้เห็นทหารม้าเฟยฉี เขาก็พลันหวนนึกถึงภาพการพุ่งจู่โจมที่นอกเมืองจี้

ลิโป้ถึงทวนกรีดนภาขี่ม้าย่ำอัคคีอยู่ด้านหน้าทัพ เขายกชูทวนชี้ออกพลางตะโกนว่า "อ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋ว ออกมาตอบคำถามข้า!"

ทหารม้าเฟยฉีทางด้านหลังต่างตะโกนตามอย่างพร้อมเพรียงจนดังกึกก้อง ไม่ว่าศึกครั้งใดที่มีลิโป้เข้าร่วม ขวัญกำลังใจของทหารปิ้งโจวจะพุ่งสูงเทียมฟ้า หลี่เยี่ยนสามารถรู้สึกได้ถึงสายเทิดทูนที่เหล่าทหารม้าเฟยฉีใช้มองดูลิโป้ เขาเกรงว่าหากลิโป้สั่งให้พวกเขาบุกจู่โจมทัพกลางศัตรูในยามนี้ ทหารม้าเฟยฉีทั้งหมดก็จะโถมพุ่งเข้าหาทัพศัตรูโดยไม่หวั่นเกรงศัตรูจำนวนหลายหมื่น ทหารมาเฟยฉีศรัทธาในตัวลิโป้อย่างสุดใจ

ม้าย่ำอัคคีใต้ร่างของเขาสูงใหญ่ถึงเจ็ดฉื่อ ขณะที่ลิโป้นั้นสูงกว่าเก้าฉื่อ ดังนั้นยามผู้คนมองดูลิโป้จึงจำต้องแหงนมอง

ทัพกิจิ๋วมีความเคลื่อนไหว ทหารม้าอูหวนจำนวนสามพันและทหารราบจำนวนสามพันห้อมล้อมอ้วนเสี้ยวออกมา ในบรรรดาทหารราบทั้งสามพัน มีทหารหน่วยเซียนเติงคอยคุ้มครองอ้วนเสี้ยวอยู่ตรงกลาง อ้วนเสี้ยวยามนี้ให้ความสำคัญกับทัพปิ้งโจวที่ยกออกมามาก

หากสามารถชนะศึกนี้ได้ ขวัญกำลังใจของทหารที่อยู่ภายในเมืองก็จะลดต่ำลงมาก ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าตีเมืองปักเป๋งอย่างยิ่ง

เทียบกับลิโป้แล้ว อ้วนเสี้ยวดูกังวลไม่น้อย ข้างซ้ายมีงันเหลียง ข้างขวามีบุนทิว ถัดออกไปจึงเป็นทหารเซียนเติงและทหารม้าอูหวน กล่าวได้ว่ามีการอารักขาอย่างแน่นหนารอบทิศทาง

"เฟิ่งเซียน หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ขุนนางผู้นี้มักนึกถึงฉากที่เจ้าเมืองทั้งหลายผนึกกำลังกันปราบตั๋งโต๊ะ หากไม่เกิดสงครามขึ้น ข้าคงต้องเชิญเจ้ามาร่ำสุราจนเมามายแล้ว" อ้วนเสี้ยวหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ทหารที่อยู่ทางด้านหลังของอ้วนเสี้ยวล้วนมองไปยังเงาร่างสูงโปร่งที่อยู่ด้านหน้าเมือง ชื่อเสียงความสำเร็จของลิโป้คือหมุดหมายของแม่ทัพส่วนใหญ่ในแผ่นดิน แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่แม่ทัพทั้งหลายก็อดจะแสดงความเลื่อมใสต่อยอดขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ไม่ได้

"หากเปิ่นซู่ต้องการร่ำสุรา เช่นนั้นก็มีสุราดีอยู่ในเมืองจิ้นหยาง โหวผู้นี้จะรอคอยท่านมาเยี่ยมเยือน" ลิโป้ตอบ ในแง่ของบรรดาศักดิ์แล้ว เขายังเหนือกว่าอ้วนเสี้ยวอยู่ขั้นหนึ่ง

สีหน้าของอ้วนเสี้ยวชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ความหมายในการเชิญไปดื่มสุราที่จิ้นหยางนั้นเป็นการยกตนข่มท่านอย่างชัดเจน ดังนั้นในใจจึงบังเกิดโทสะขึ้นมา "เฟิ่งซียนและทัพกิจิ๋วเคยมีคำศัญญาต่อกันมาก่อน เพียงยึดเมืองซ่างกู่และเมืองไต้จิ๋วไม่ใช่หรือ? ไฉนจึงส่งทหารมายึดเมืองปักเป๋งเช่นนี้เล่า? หากเป็นเช่นนั้นผู้คนจะเสียศรัทธาเอาได้ หรือว่าเฟิ่งเซียนยังไม่เข้าใจหลักการข้อนี้?"

เผชิญกับคำถามจากอ้วนเสี้ยว ลิโป้ก็เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า "เช่นนั้นใยท่านจึงเป็นฝ่ายบุกโจมตีอิวจิ๋วก่อนเล่า? อย่าบอกโหวผู้นี้เชียวว่าท่านคิดแก้แค้นให้กับเล่าหงี หากมีความตั้งใจเช่นนั้นจริง ใยท่านจึงไม่เลือกลูกหลานของเล่าหงีให้ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองอิวจิ๋วเล่า?"

"เล่าหงีมีบุตรชายคือเล่าโห ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ ขุนนางผู้นี้ได้ส่งคนไปเชิญเขาแล้ว คาดว่าจะมาถึงอิวจิ๋วในอีกไม่ช้า" อ้วนเสี้ยวกล่าว "เฟิ่งเซียนคิดยกอิวจิ๋วให้เล่าโหหรือไม่?"

"ให้เล่าโห? หรือว่าให้กิจิ๋วกันแน่? คิดจริงหรือว่าโหวผู้นี้จะมองความทะเยอทะยานของท่านไม่ออก" ลิโป้แค่นเสียง

"ใยเฟิ่งเซียนจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า? ขอเพียงเฟิ่งเซียนส่งมอบเมืองปักเป๋งออกมา ขุนนางผู้นี้ก็จะไม่ทำให้ท่านต้องอับอาย" อ้วนเสี้ยวถอนหายใจ

"พูดคุยกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เอาไว้ค่อยพูดคุยกันในสนามรบเถอะ" ลิโป้ตะโกน การต้องต่อล้อต่อเถียงกับคนเช่นอ้วนเสี้ยวทำให้เขาปวดหัวขึ้นมา ในเมื่อคิดเช่นไรก็เอ่ยออกมาตรงๆก็ได้ ทำไมตรงพูดจาวกอ้อมเป็นวงด้วย?

อ้วนเสี้ยวกล่าวอย่างเย็นชา "ในเมื่อเฟิ่งเซียนต้องการทำศึก ทัพกิจิ๋วเราก็หาหวั่นเกรงไม่"

"อ้อ? ไม่ทราบว่าทัพกิจิ๋วกล้าประลองแม่ทัพหรือไม่?" ลิโป้ตะโกนถาม

อ้วนเสี้ยวพลันหน้าเขียวคล้ำ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า "สนามรบเป็นสถานที่ประชันไพร่พล ใยเฟิ่งเซียนซึ่งเป็นจิ้นโหวจึงต้องพาตัวเข้ามาเสี่ยงเช่นนี้ด้วย?"

"ฮ่าๆ ข้าก็อยากจะทราบนักว่าจะมีผู้ใดกล้าออกมาเอาชีวิตข้าหรือไม่ ในสายตาข้านั้น ข้าไม่คิดว่าชีวิตไพร่พลมีค่าดุจต้นหญ้า แต่ข้ามองพวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้อง" ลิโป้กล่าว

เมื่อทหารที่อยู่ด้านหลังของลิโป้ได้ยินดังนั้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ลุกโชน จากร่างกายของลิโป้ พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ไร้เทียมทาน ในแง่ของศักดิ์ฐานะ ย่อมไม่มีผู้ใดในปิ้งโจวที่จะอยู่เหนือกว่าลิโป้ กระนั้นเขาก็ยังกล้านำทัพออกศึกด้วยตนเอง นั่นก็เพราะว่าเขามีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนอย่างเปี่ยมล้น ได้รับเกียรติให้เป็นพี่น้องกับท่านโหวเช่นนี้ พวกเขาก็พร้อมยอมสู้ถวายหัว

เทียบกับความฮึกเหิมของทัพปิ้งโจวแล้ว สีหน้าทหารของทัพกิจิ๋วไม่ค่อยสู้ดีนัก ทหารหลายคนชำเลืองมองอ้วนเสี้ยวด้วยความลังเล เสียงของลิโป้ดังพอจะให้ทหารส่วนใหญ่ได้ยิน เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ของลิโป้ พวกเขาก็อดบังเกิดความยำเกรงขึ้นในใจอย่างเสียมิได้

"อย่าได้พูดจาเอาดีเข้าตัว!" อ้วนเสี้ยวตะโกน "ผู้ใดกล้าออกไปเอาชีวิตเจ้าผู้นี้บ้าง?"

หากว่าเป็นในอดีต งันเหลียงคงจะเป็นคนแรกที่ขันอาสา ในฐานะยอดขุนพลแห่งทัพกิจิ๋วแล้ว เขาย่อมมีความห้าวหาญไม่แพ้ผู้ใด แต่หลังจากพ่ายแพ้แต่อลิโป้และจูล่งติดต่อกัน เขาก็บังเกิดความกังขาในตัวเองขึ้นมา ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องนั้นใช่เป็นความบังเอิญหรือไม่?

ขณะที่งันเหลียงเกิดความลังเล บุนทิวก็กระตุ้นม้าออกไปก่อนจะตะโกนว่า "แม่ทัพบุนทิวแห่งทัพกิจิ๋ว ขอใต้เท้าลิโป้โปรดชี้แนะ!"

เมืองปักเป่งถูกชิงไปจากมือของบุนทิว เขาย่อมเป็นผู้ที่อยากสร้างผลงานเพื่อลบล้างความผิดมากที่สุด แล้วมีหรือที่เขาจะพลาดโอกาสในการจัดการลิโป้ไป? หากสามารถตัดศีรษะลิโป้ในการต่อสู้ได้ ทัพปิ้งโจวก็จะตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที แม้จะเคยได้ยินมาว่างันเหลียงพ่ายแพ้ให้กับลิโป้ แต่หากยังไม่เคยได้ประมือด้วยตัวเอง บุนทิวก็ไม่เชื่อถือ

ลิโป้กล่าวเสียงดัง "เมื่อครั้งทัพพันมิตรผนึกกำลังปราบตั๋งโต๊ะ ข้ามักเคยได้ยินว่าเปิ่นซู่มีแม่ทัพที่ห้าวหาญอย่างงันเหลียงบุนทิวเป็นแม่ทัพคู่ใจ เช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอรับทราบฝีมือสักหน่อยแล้ว"

ได้รับถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้า บุนทิวก็พลันเดือดดาล เขาควบม้าเข่นฆ่าเข้าหาลิโป้ทันที....