เหล่าที่ปรึกษาของอ้วนสุดนั้นทราบว่าอ้วนสุดได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงเป็นการป่วยการที่จะโน้มน้าวใดๆ
ด้วยการอาศัยชื่อเสียงและบารมีของตระกูลอ้วน อ้วนสุดจึงมีแม่ทัพและขุนนางมาเข้าร่วมด้วยมากมาย ถึงอย่างไรเขาก็ทายาทสายหลักของตระกูลอ้วน ในแง่ของศักดิ์ฐานะแล้ว เขากระทั่งยังเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว
ได้ยินรายงานเรื่องนี้ ลิโป้ก็ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า "นับตั้งแต่อ้วนสุดได้ครอบครองตราหยก ในใจเขาก็เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้อ้วนสุดกระทำการขุดหลุมฝังตัวเองแล้ว"
กาเซี่ยงพยักหน้า "นายท่านกล่าวถูกแล้ว อ้วนสุดเป็นหมาป่าเห่อเหิม เขากล้ากระทั่งเรียกตนเป็นโอรสสวรรค์ ทั้งยังสร้างพระราชวัง เรื่องนี้จะต้องสะกิดความโกรธแค้นจากบรรดาเจ้าเมืองในแผ่นดินขึ้นอย่างแน่นอน แม้ว่าบัดนี้ ราชวงศ์ฮั่นจะหลงเหลือเพียงแค่ชื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอิทธิพลต่อเหล่าขุนนางทั่วแผ่นดิน"
"ข้าเกรงว่าครั้งนี้ปิ้งโจวคงจะไม่พ้นต้องเผชิญความยุ่งยากอีกครา" ลิโป้ทอดถอนใจ หลังจากอ้วนสุดสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ เล่าเปียวจะต้องไม่นั่งอยู่เฉยแน่ ต้องทราบว่าเล่าเปียวนั้นเป็นผู้ที่มีโอกาสขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุดในยามนี้ แล้วมีหรือที่เขาจะทนดูอ้วนสุดตั้งตนเป็นฮ่งเต้ที่ชิวฉุนได้?
"นายท่าน อ้วนสุดตั้งตนเป็นโอรสสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถประกาศสงครามกับเขาได้โดยชอบธรรม" กาเซี่ยงเอ่ยเตือน ถึงอย่างไรลิโป้และอ้วนสุดก็มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
ลิโป้พยักหน้าแล้วจึงกล่าวว่า "อ้วนกงลู่กับข้ามีความบาดหมางกันอย่างลึกล้ำ เวลานี้เขาตั้งตนเป็นฮ่องเต้โดยไม่เห็นหัวผู้ใด ข้าย่อมไม่นั่งอยู่เฉยแน่"
กาเซี่ยงระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก หากปิ้งโจวส่งกองทัพไปปราบปรามอ้วนสุด นั่นก็จะยิ่งหนุนเสริมภาพลักษณ์ให้กับปิ้งโจวมากยิ่งขึ้น
"นายท่านมีใจผดุงคุณธรรม นับเป็นวาสนาของแผ่นดินแล้ว" กาเซี่ยงกุมมือกล่าว
"เหวินเหอ ท่านเรียนรู้การประจบประแจงตั้งแต่เมื่อใดกัน?" ลิโป้หัวเราะ
หลังจากลิโป้และกาเซี่ยงเดินทางกลับไปถึงปิ้งโจว เล่าเปียวก็สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งเกงจิ๋ว โดยเริ่มนับปีนี้เป็นรัชศกซิงผิงที่หนึ่ง การสถาปนาตนในครั้งนี้ได้ป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน บัดนี้ในแผ่นดินมีฮ่องเต้อยู่ถึงสองพระองค์ ดังนั้นสงครามระหว่างทั้งสองย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความบาดหมางระหว่างเล่าเปียวและอ้วนสุดนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว เมื่อเทียบกับการสถาปนาตนของอ้วนสุดแล้ว การสถาปนาตนของเล่าเปียวดูมีความชอบธรรมมากกว่า เพราะถึงอย่างไรเล่าเปียวก็ยังเป็นคนสกุลเล่า ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากอ้วนเสี้ยว อดีตผู้นำกองทัพพันธมิตร ฝั่งใดดูน่าเชื่อถือมากกว่าก็เป็นที่คาดคิดคำนวณได้
ในวันที่เล่าเปียวสถาปนาตนและป่าวประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดินนั้น เขายังได้ให้ทูตส่งหนังสือไปเชิญเจ้าเมืองต่างๆมาหารือเรื่องการก่อตั้งทัพพันธมิตรปราบอ้วนสุด อ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋วตอบรับ ดังนั้นภายในกิจิ๋วจึงมีการเกณฑ์กำลังพลขนานใหญ่
แผ่นดินที่เพิ่งพักหายใจได้ไม่นานจึงกลับมาคุกรุ่นเพราะการตั้งประจัญหน้าของอ้วนสุดและเล่าเปียวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม บุคคลที่มาขอเข้าพบลิโป้เป็นคนแรกกลับเป็นทูตจากอ้วนสุด หยวนห้วน อ้วนสุดเองก็เข้าใจดีว่าหากเขาต้องการจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ได้อย่างมั่นคง เขาก็จำเป็นจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าเมืองคนอื่นๆ แน่นอนว่าในกระบวนการนี้ย่อมต้องมีของกำนัลเพื่อแสดงถึงความใจกว้าง
เดิมทีอ้วนสุดไม่คิดจะส่งทูตมายังปิ้งโจว เขากระทั่งมีความคิดจะเชิญเจ้าเมืองต่างๆมาหารือการปราบลิโป้เสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เอียมเซียงทำการแยกแยะให้ฟังแล้ว เขาก็จำต้องส่งหยวนห้วนเป็นทูตมาแสดงไมตรีต่อลิโป้
เมื่อได้รับรายงานว่าคณะทูตของอ้วนสุดร้องขอเข้าพบ ลิโป้ก็ยิ้มกล่าวว่า "อ้วนสุดส่งคณะผู้แทนพระองค์มาประกาศราชโองการหรือ? อาเหวย เจ้าไปถามเขาว่า ต้องให้ขุนนางของเราออกไปต้อนรับเขาหรือไม่"
เมื่อเหล่าแม่ทัพและขุนนางภายในห้องโถงได้ยินคำถามนี้ก็พากันหัวเราะ
"จิ้นโหวให้ข้าน้อยมาถามท่านว่า ท่านต้องการให้ขุนนางของปิ้งโจวออกมาต้อนรับท่านหรือไม่?" เตียนอุยเอ่ยถาม
หยวนห้วนหน้าเปลี่ยนสี ในฐานะ "ผู้แทนพระองค์" แล้ว เขาย่อมต้องการให้ลิโป้และคนอื่นๆออกมาต้อนรับ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าลิโป้และอ้วนสุดนั้นมีเรื่องบาดหมางกัน ครั้งนี้ไม่ถูกไล่ตะเพิดกลับไปทันทีก็นับว่าดีแล้ว จะกล้าขอให้ลิโป้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้อย่างไร?
"ข้าน้อยขอท่านแม่ทัพช่วยเรียนต่อจิ้นโหวว่า ขอให้ข้าน้อยได้เข้าพบจิ้นโหวที่จวนเจ้าเมืองก็พอ ไม่จำเป็นต้องออกมาต้อนรับแต่อย่างใด" หยวนห้วยกุมมือตอบ
ข่าวเรื่องการเดินทางมายังปิ้งโจวของหยวนห้วนย่อมต้องถูกรายงานไปถึงลิโป้นานแล้ว ดังนั้นเหล่าแม่ทัพและขุนนางคนสำคัญย่อมต้องถูกเรียกตัวมาประชุมที่จวนเจ้าเมือง
"ข้าน้อย หยวนห้วน ผู้แทนพระองค์ของโอรสสวรรค์ต๋องซือ คารวะจิ้นโหว" หยวนห้วนประสานมือคารวะ
ลิโป้ยิ้มก่อนจะเอ่ยถามว่า "ไฉนอ้วนกงลู่ถึงเรียกตัวเป็นต๋องซือเสียแล้วเล่า? ไม่ทราบท่านผู้แทนพระองค์สามารถอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่?"
หยวนห้วนกุมมือตอบว่า "ในเมื่อสกุลอ้วนนั้นมาจากสกุลเฉิน และสกุลเฉินก็สืบทอดมาจากฉุน เวลานี้แผ่นดินฮั่นกำลังลุกเป็นไฟ เมื่อแผ่นดินมีไฟ ก็ถือเป็นสัญญาณจากฟ้า มีคำกล่าวที่ว่า "ผู้ที่จะมาแทนราชวงศ์ฮั่นได้ต้องเป็นฟ้า" เหยา ฉุน และอวี่ มาจากชิวฉุนอันเป็นเมืองที่พำนัก ดังนั้นจึงใช้พระนามว่าต๋องซือ"
ได้ยินคำตอบนี้ ลิโป้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขานึกไม่ถึงว่าอ้วนสุดจะเตรียมหาเหตุผลให้กล่าวอ้างมากมายเพียงนี้ ดังนั้นเขาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ราชวงศ์ต๋องอะไรกัน แล้วไม่ทราบว่าท่านผู้แทนพระองค์ของฮ่องเต้ต๋องซือมาที่นี่ด้วยเหตุใด?"
"จิ้นโหว ราชวงศ์ต๋องมีเพียงโอรสสวรรค์ ไม่มีฮ่องเต้แต่อย่างใด" หยวนห้วนกล่าวแก้ไข
"แล้วโอรสสวรรค์ไม่ใช่ฮ่องเต้งั้นรึ? พวกท่านไม่ทราบกันจริงๆรึ?" ลิโป้ถามกลับ
หยวนห้วนไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงในเรื่องเหลวไหลอีก วัตุประสงค์ในการเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อขอให้ทางปิ้งโจวช่วยสนับสนุน
"ข้าน้อยได้ยินมาว่าจิ้นโหวมีบุตรีอยู่คนหนึ่งซึ่งทั้งเปี่ยมด้วยคุณธรรมและความเมตตา โอรสสวรรค์ต๋องต้องการจะสู่ขอนางให้แก่โอรสองค์โต เพื่อหวังจะรวมเป็นทองแผ่นเดียวกับจิ้นโหว" หยวนห้วนกล่าว
ลิโป้พลันขมวดคิ้ว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยความโมโห "อย่าได้นำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวอีก มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าโหวผู้นี้โหดเหี้ยม" แม้ว่าลิหลิงฉีจะเติบโตขึ้นจนใกล้วัยที่จะแต่งงานได้แล้ว ทว่าลิโป้ก็ไม่ต้องการให้การแต่งงานของนางต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าอ้วนสุดผู้นี้มีชะตาอยู่ได้อีกไม่นาน การเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ต่างจากการขุดหลุมฝังตัวเอง
เมื่อเห็นท่าทีที่โกรธจัดของลิโป้ หยวนห้วนก็กล่าวขึ้นว่า "โอรสสวรรค์ยินดีจะประกาศแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นจิ้นอ๋อง โดยเป็นบรรดาศักดิ์ที่สามารถสืบทอดได้ ขอเพียงจิ้นโหวยอมรับการสถาปนาราชวงศ์ต๋อง"
ข้อเสนอของอ้วนสุดนี้ไม่ธรรมดา ต้องทราบว่า นับตั้งแต่ที่หลิวปังเป็นต้นมาก็ไม่มีอ๋องต่างแซ่อยู่ในแผ่นดินอีก การเป็นโหวก็นับเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งมาแล้ว ยามนี้ เมื่ออ้วนสุดสถาปนานตนเป็นฮ่องเต้ เขาก็ทำการท้าทายกฏเหล็กที่สืบทอดกันมานานกว่าสี่ร้อยปีของราชวงศ์ฮั่นทันที ขณะเดียวกัน อำนาจของบรรดิาศักดิ์อ๋องก็มีความเย้ายวนใจไม่น้อย ระหว่างโหวและอ๋องนั้นมีฐานะแตกต่างกันยิ่ง อ๋องนั้นสามารถปกครองดูแลทุกสิ่งอย่างในดินแดนของตนได้โดยอิสระ กระทั่งราชสำนักก็ยังยากจะเข้าไปแทรกแซง
"อ้วนกงลู่กระทำการฝืนลิขิตฟ้า เขาไม่กลัวที่จะสร้างความโกรธแค้นแก่ผู้คนในแผ่นดินจนกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งหมดบ้างเลยหรือ? ช่างน่าหัวร่อนัก ตระกูลอ้วนที่เป็นขุนนางมาสี่สมัย มาบัดนี้กลับมีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งแล้ว" กาเซี่ยงกล่าวอย่างย็นชา
หยวนห้วนตอบกลับว่า "บัดนี้ราชวงศ์ฮั่นมีชะตาเป็นอย่างไรไม่อาจทราบ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนตั้งอยู่แล้วดับไป โอรสสวรรค์แห่งแผ่นดินก็ควรจะเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม"
"เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม? อ้วนสุดน่ะหรือ? ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า 'ให้ระวังพวกผีบนเส้นทาง(ลู่)' หรือไม่?" กาเซี่ยงปรายตามองทุกคนในห้องโถง
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ หยวนห้วนก็หน้าแปรเปลี่ยนอย่างหนัก
เหล่าแม่ทัพต่างเกิดความสงสัยว่า 'ให้ระวังผีบนเส้นทาง(ลู่)' นั้นคืออะไร งุยซกพลันถามขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "ขอท่านกุนซือโปรดเล่าให้พวกเราฟังด้วย"
กาเซี่ยงกระแอมไอเบาๆก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "เมื่อครั้งที่อ้วนสุดยังเป็นฉางสุ่ยเสี้ยวเว่ย เขาได้ใช้ชื่อเสียงและบารมีของตระกูลอ้วนในการหลอกลวงผู้คน ดังนั้นชาวเมืองลั่วหยางจึงพากันเรียกเขาว่า 'อ้วนฉางสุ่ย ผีบนเส้นทาง' และเมื่อชาวเมืองลั่วหยางพบเห็นเขา ก็จะพากันร้องว่า 'ผีบนเส้นทาง(ลู่)มาแล้ว ให้ระวังตัวด้วย'"
ได้ยินเช่นนี้ เหล่าแม่ทัพและขุนนางในห้องโถงต่างก็หัวเราะออกมา บุคคลเช่นนี้กลับกล้าเรียกตนเป็นโอรสสวรรค์ ทั้งยังกล่าวว่าตนเองเปี่ยมด้วยคุณธรรม นั่นไม่เท่ากับทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกหรอกหรือ? หากว่าคนเช่นอ้วนสุดสามารถเรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เช่นนั้นทุกคนในแผ่นดินก็ล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมแล้ว
หยวนห้วน ในฐานะที่ปรึกษาของอ้วนสุด เขาย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน หากไม่ใช่เพราะตระกูลอ้วนมีชื่อเสียงบารมีมากที่สุดในแผ่นดิน มีหรือที่พวกเขาจะอยากเข้าร่วมด้วย? นี่ก็นับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักว่าเพราะเหตุใด แม้ว่าอ้วนสุดจะเป็นทายาทสายหลักของตระกูลอ้วน หากแต่เขากลับไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพพันธมิตร ดังนั้นจึงมีที่ปรึกษาจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยวมากกว่าอ้วนสุด มิเช่นนั้นเขาคงจะมีแม่ทัพขุนนางมากกว่าอ้วนเสี้ยวไปนานแล้ว
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved