ตอนที่ 242 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ทหารม้าอูหวนจำนวนมากถูกส่งไปสกัดเตียนอุยเอาไว้ แต่มีหรือที่แม่ทัพไพร่พลทหารเหล่านั้นจะกล้าเข้าไปปะทะกับเตียนอุยโดยง่าย? คนที่ตายในมือแม่ทัพหอคอยเหล็กผู้นี้ปาเข้าไปสิบกว่าคนแล้ว ด้วยเหตุนี้ทหารม้าที่เหลือจึงพากันหลีกทางให้เตียนอุยแต่โดยดี หากให้เข้าไปสกัดเอาไว้ ไม่ทราบว่าต้องใช้อีกกี่ชีวิต ทวนคู่นั้นรับมือได้ยากยิ่ง เพียงหนึ่งทวนก็สามารถคร่าชีวิตผู้ที่ต่อกรได้แล้ว ผู้ที่เข้าไปต่อสู้ยิ่งมายิ่งน้อยลง คนเหล่านั้นล้วนมีชะตากรรเดียว นั่นคือตายอย่างอนาถ

เป๊กตุ้นเมื่อเห็นว่าทำอะไรเตียนอุยไม่ได้ อีกทั้งทหารที่อยู่ภายในเมืองยังเคลื่อนพลออกมาแล้ว เขาจึงจำต้องออกคำสั่งถอยทัพ

เตียนอุยนำทหารไล่ตามตีอยู่ระยะหนึ่งจากนั้นจึงค่อยถอยกลับมา หลังจากปะทะกันช่วงสั้นๆไม่กี่นาที ทหารม้าอูหวนก็ตายไปห้าร้อยกว่าคน ขณะที่ทางฝั่งทหารม้าเฟยฉีมีทหารตายไปแปดคน หากว่าชาวอูหวนได้ทราบรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนี้ ไม่ทราบจะรู้สึกอย่างไร

เป๊กตุ้นส่งม้าเร็วไปรายงานต่อเหยียนโร่วถึงการเผชิญหน้ากับทหารม้าเฟยฉี ในใจรู้สึกย่ำแย่ยิ่ง จากที่ได้ปะทะกัน เขาก็รู้สึกว่าทหารม้าเฟยฉียังแข็งแกร่งยิ่งกว่าทหารม้าขาวเสียอีก เขากระทั่งเกิดความรู้สึกว่า หากเขาไม่ได้สั่งถอยทัพ ทัพม้าอูหวนทั้งห้าพันคนคงจะถูกทำลายลงจนย่อยยับ

"ใต้เท้า ฝ่ายเราเสียคนไปห้าร้อยกว่าคน แต่ทางด้านทหารม้าของพวกชาวฮั่นนั่น คาดว่าคงสูญเสียไม่เกินยี่สิบคน" ซูผูเหยียนรายงานด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เป๊กตุ้นพยักหน้าเบาๆ เขาที่อยู่ในทัพกลางย่อมสังเกตเห็นสถานการณ์ได้ดีกว่า "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้หน่วยสอดแนมสืบดูสถานการณ์ในพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด อย่าให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสเข้าตีได้ พวกเราจะถอยทัพไปอีกสามสิบลี้"

ซูผูเหยียนลดเสียงลงกล่าวว่า "ใต้เท้า นี่คงเป็นหทารม้าเฟยฉีที่กวาดพิชิตทัพเซียนเป่ยในคำร่ำลือ ว่ากันว่าพวกเซียนเป่ยส่งทหารม้าจำนวนหมื่นกว่าคนออกไปสู้ ทว่าพวกเขากลับพ่ายแพ้ต่อทหารม้าเฟยฉีที่มีกำลังคนไม่ถึงสามพัน สุดท้ายเหลือทหารม้าเซียนเป่ยเพียงร้อยกว่าคนที่รอดชีวิตกลับไป ดังนั้นใต้เท้าต้องระวังให้มาก เหยียนโร่วและอ้วนเสี้ยวดูจะกริ่งเกรงพวกเราไม่น้อย"

"หากเป็นทหารม้าเฟยฉีทัพนั้นจริงๆ พวกเราจะต้องไม่กระทำผิดพลาดซ้ำ แต่ตอนนี้ข้าไม่อาจทำได้ดั่งใจตัวเอง อีกทั้งทัพปิ้งโจวยังยึดเมืองปักเป๋งไว้ได้แล้ว หากทัพเราต้องการจะผ่านทางไป ก็มีแต่ต้องทำศึกให้ชนะทัพปิ้งโจว ทัพใหญ่จะมาถึงในสามวัน ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทัพปิ้งโจวแล้ว" เป๊กตุ้นย่อมทราบความร้ายกาจของทหารม้าขาวที่ทำให้ชาวอูหวนต้องสั่นกลัวดี สุดท้ายยังถูกทัพกิจิ๋วทำลายลง ดังนั้นกับอ้วนเสี้ยวแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าทำตัวเย่อหยิ่ง

ซูผูเหยียนขมวดคิ้ว จากนั้นจึงกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า "ใต้เท้า ไฉนพวกเราจึงต้องทุ่มกำลังสู้กับทัพฮั่นจนต้องพังพินาศด้วย? ทัพกิจิ๋วจะต้องไม่ยอมยกเมืองปักเป๋กให้ตามที่สัญญาเป็นแน่ และเหยียนโร่วเองก็ดูเหมือนจะมีใจฝักใฝ่ทัพกิจิ๋วอยู่ไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้ทัพเรารังแต่จะประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก"

"เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร?" เป๊กตุ้นถาม ซูผูเหยียนค่อนข้างมีความสามารถในด้านการคิดอ่านวางแผน ดังนั้นเป๊กตุ้นจึงให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของเขา

ซูผูเหยียนกวาดมองโดยรอบ จากนั้นจึงโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของเป๊กตุ้น

เป๊กตุ้นเมื่อได้ฟังก็พลันตาเป็นประกาย "หากว่าเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะตกรางวัลให้ท่านอย่างหนัก แต่ครั้งนี้คงต้องรบกวนท่านเดินทางไปจัดการแล้ว"

ซูผูเหยียนกุมหมัดกล่าวว่า "ใต้เท้าไม่ต้องกังวล ข้าน้อยจะไม่ทำให้นายท่านต้องผิดหวัง"

เทียบกับความสูญเสียและความหวาดกลัวของชาวอูหวนแล้ว ภายในเมืองปักเป๋งกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี สาเหตุที่ชาวเมืองปักเป๋งสำนึกขอบคุณกองซุนจ้านก็เพราะกองซุนจ้านดีต่อพวกเขา กองซุนจ้านนำทหารเฝ้ารักษาเมืองปักเป๋งครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังกวาดล้างชาวอูหวนอีกหลายครั้ง ดังนั้นภายในเมืองปักเป๋ง เล่าหงีจึงมีบารมีไม่สู้กองซุนจ้าน

บัดนี้ ข่าวเรื่องทัพปิ้งโจวเอาชนะทหารม้าอูหวนจำนวนห้าพันด้วยทหารม้าเพียงหนึ่งพันได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ชาวเมืองรู้สึกคลายความกังวล ซึ่งความจริงไม่ว่าเมืองนี้จะเป็นของผู้ใด ชาวเมืองก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ที่เขากังวลสนใจก็คือชีวิตที่มั่นคงในปัจจุบันจะหายไปหรือไม่หลังจากเมืองถูกเปลี่ยนมือ และตอนนี้ ทัพปิ้งโจวได้บอกต่อทั้งหมดแล้วว่าพวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะรักษาความมั่นคงให้เมืองปักเป๋ง

ในเวลาเดียวกัน วีรกรรมของทหารม้าเฟยฉีก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วเมือง เผ่าเซียนเป่ยไม่ใช่เผ่าแปลกหน้าสำหรับผู้คนที่นี่ ชาวเซียนเป่ยทำร้ายชาวฮั่นอย่างสาหัส มีชาวเมืองหลายคนที่ย้ายมาจากเมืองไต้จิ๋วและเมืองซ่างกู่ บ้านเกิดของพวกเขาถูกชาวเซียนเป่ยรุกราน ดังนั้นพวกเขาจึงเคียดแค้นชาวเซียนเป่ยเป็นพิเศษ

หลังจากวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อย่างการทำลายทัพเซียนเป่ยแพร่กระจายออกไป ลิโป้ก็ได้รับความนิยมจากชาวเมืองอย่างรวดเร็ว นี่เป็นผลประโยชน์ที่ลิโป้ได้รับมาโดยไม่คาดคิด

ตอนนี้ ลิโป้กำลังพบกับซูผูเหยียนที่จวนเจ้าเมือง

เดิมทีเขาคิดว่าชาวอูหวนจะเป็นคนเถื่อนเหมือนกับชาวเซียนเป่ย แต่มุมมองของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้พบกับซูผูเหยียน เขาแต่งกายเหมือนชาวฮั่น เป็นชุดเครื่องแบบขุนนางมาตราฐานของราชวงศ์ฮั่น มารยาทและท่าทางสง่างามเป็นไปตามรูปแบบของชาวฮั่นโดยสมบูรณ์ เกรงว่าแม้แต่แม่ทัพในทัพปิ้งโจวหลายคนก็ยังมีท่าทางไม่สง่างามเท่าเขา

แม่ทัพส่วนใหญ่ในทัพปิ้งโจวเลื่อนขั้นขึ้นมาจากพลทหาร พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องมารยาทและพิธีการมากนัก แม้แต่ระเบียบพิธีการในกองทัพก็ถูกละเลยไปหลายส่วน แต่นั่นก็เป็นเพราะลิโป้ได้ได้เปลี่ยนการตรวจทหารเป็นพิธีสวนสนาม โดยเน้นที่ระเบียบวินัยและประสิทธิภาพแทน

"เป๊กตุ้นส่งเจ้ามาสงบศึกงั้นรึ?" ลิโป้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เหล่าแม่ทัพปิ้งโจวต่างระเบิดเสียงหัวเราะ ทั้งหมดมองดูซูผูเหยียนด้วยสายทอแววยั่วยุ ในสนามรบนั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งจึงคู่ควรได้รับการเคารพ ผู้อ่อนแอย่อมไม่มีสิทธิ์เอ่ยวาจาใด

"จิ้นโหว ทหารม้าเฟยฉีกล้าหาญชาญศึก หากแต่ชาวอูหวนเราก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ" ซูผูเหยียนตอบกลับด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตนหรือเย่อหยิ่งจนเกินไป เขามองดูลิโป้เงียบๆ ส่วนสูงของลิโป้ทำให้ซูผูเหยียนรู้สึกกดดันอยู่บ้าง ตัดสินจากลักษณะท่าทางแล้ว เขาเองก็ต้องเป็นนักรบไม่ผิดแน่

"ข้าน้อยได้ยินมาว่าจิ้นโหวเองก็มีฝีมือสูงส่ง หากแต่ทัพเรายังมีไพร่พลอีกหลายหมื่น ขณะที่ภายในเมืองมีทหารอยู่ไม่ถึงหนึ่งหมื่น เมื่อทัพกิจิ๋วยกมาถึง ปักเป๊งก็จะอยู่ในอันตราย"

"อ้อ เป๊กตุ้นส่งเจ้ามาขยายความแก่โหวผู้นี้อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถอะ ทัพปิ้งโจวไม่เคยหวาดเกรงการศึก ชาวอูหวนแล้วอย่างไร? ซยงหนูและเซียนเป่ยยังพ่ายแพ้ให้กับทัพเฟยฉี ชาวอูหวนเองก็น่าจะเคยได้ยิน" ลิโป้กล่าวอย่างเย็นชา

เหล่าแม่ทัพต่างก็ยืดอกตั้งตัวตรงเมื่อได้ยิน โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพที่เคยเข้าร่วมในศึกที่กล่าวมา พวกเขายกยิ้มเหยียดหยัน เมื่อเทียบกันแล้ว ชาวอูหวนนับเป็นอย่างไร? ในช่วงเวลาวิกฤตที่ทัพปิ้งโจวต้องรับศึกสองด้านจากทัพกิจิ๋วและเซียนเป่ย พวกเขายังชนะมาได้

จากสีหน้าและคำพูดของลิโป้ ซูผูเหยียนก็สัมผัสได้ถึงเจตนาต่อสู้อย่างแรงกล้า แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่ซูผูเหยียนก็ยังอดเลื่อมใสความกล้าหาญของลิโป้ไม่ได้ เผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า เขายังคงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จะมีสักกี่คนในแผ่นดินที่สามารถมีท่าทางเช่นนี้ได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน?

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูผูเหยียนก็ตัดสินใจจะเอ่ยเจตนาการมาเยือนในครั้งนี้โดยตรง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพูดคุยกับแม่ทัพเช่นลิโป้คือให้อีกฝ่ายเห็นความจริงใจ

"ชาวอูหวนได้ยินและเลื่อมใสชื่อเสียงของจิ้นโหวมานาน ที่ต้องทำศึกกับทัพปิ้งโจวเช่นนี้ ก็เพราะพวกเราไม่มีทางเลือก เมืองปักเป๋งเป็นทางผ่านในการกลับสู่เผ่าอูหวนเพียงแห่งเดียว พวกเราหวังว่าใต้เท้าจะอนุญาตให้พวกเราผ่านทางไป เพื่อเป็นการแสดงเจตนาดีต่อใต้เท้า ชาวอูหวนเราเต็มใจจะส่งมอบม้าศึกชั้นดีจำนวนห้าร้อย และแกะอีกหนึ่งหมื่นตัว"