ตอนที่ 262 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ลิโป้เข้าพักในด่านหูกวน แม่ทัพคุมด่านทั้งสองก็ดีใจ รีบจัดงานเลี้ยงขึ้นต้อนรับ

ครั้งนี้ลิโป้ไม่จำกัดการดื่มสุรา และร่วมดื่มกับโกซุ่น เฮาเสง และเซ้งเหลียม พวกเขาทั้งสี่เดิมเคยควบคุมทหารม้าหมาป่าด้วย ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาคุมหน่วยทะลวงค่ายและทัพเฟยฉี ในช่วงระหว่างนั้น ลิโป้ก็แทบจะหลงลืมเซ้งเหลียมและเฮาเสงไป ถึงอย่างไรเขาก็ออกกรำศึกโดยแทบจะไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งยังไม่มีแม่ทัพทั้งสองเข้าร่วม พวกเขาต่างก็ทราบดีว่าด่านหูกวนมีความสำคัญมากเพียงใด ลิโป้สามารถยกให้เฝ้ารักษาด่านสำคัญเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นว่ามีความไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาก

"การเลือกติดตามรับใช้นายท่านคือตัวเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดในชีวิตของข้าน้อย บรรดาเจ้าเมืองในภาคกลางล้วนแล้วแต่เป็นนกกระจิบนกกระจอก เพียงพึ่งพาแต่ชาติตระกูล ไหนเลยจะมีความสามารถเทียบกับนายท่านได้ หากว่าพวกเขาข้าต่อกรกับนายท่าน ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน" เฮาเสงที่ดื่มหนักพลันตะโกนออกมา

เมื่อถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์สุรา ลิโป้ก็ดูจะชอบคุยโตขึ้นเล็กน้อย "แม่ทัพผู้นี้สามารถต่อให้พวกเขาก่อนสามกระบวนท่ายังได้"

"นายท่านอวดดีไปแล้ว" กล่าวจบ เซ้งเหลียมก็ฟุบหลับไปกับพื้น จากนั้นครู่หนึ่งก็ส่งเสียงกรนออกมา

มองดูกุยแกที่ยังควบคุมปริมาณการดื่ม ลิโป้ก็พลันนึกถึงบทกวีขึ้นมา เขายกชูจอกสุราดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นจึงร้องดังๆว่า "แม้เมามาย คลุกคลาน ในสนาม อย่าหัวร่อ แต่โบราณ จะมี สักกี่คน ที่หวนกลับ!"

หวนนึกถึงวันคืนที่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลิโป้ กุยแกก็รู้สึกดวงตาเห่อร้อนขึ้นมา กลอนสองบทนี้ไม่ได้พรรณาถึงทหารปิ้งโจวหรอกหรือ? ทหารม้าเฟยฉีที่ติดตามลิโป้ไปทำศึกกับเซียนเป่ย แต่เดิมมีจำนวนสามพันคน หากแต่มีเพียงพันกว่าที่ได้กลับมา ทหารม้าเฟยฉีส่วนใหญ่ล้วนหลับใหลอยู่บนทุ่งหญ้านั้น

"ผู้แซ่กุยจะอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือนายท่านสุดกำลังขอรับ" กุยแกกล่าวกระซิบกับตัวเอง

หลังจากดื่มจนได้ที่ ลิโป้ก็ชักกระบี่ออกมาร่ายรำ แม้ว่าฝีเท้าของเขาจะเบาบางดุจปุยนุ่น หากแต่ทุกท่วงท่าล้วนแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร ลิโป้ไม่เพียงชำนาญการใช้ทวนเท่านั้น แต่ยังเก่งกาจในการใช้กระบี่และยิงธนู เพียงแต่น้อยครั้งที่เขาจะได้แสดงวิชากระบี่และธนูออกมาต่อหน้าผู้คน เตียนอุยที่ยืนอารักขาอยู่มองลิโป้ด้วยสีหน้าเหม่อค้าง เขาไม่เคยเห็นวิชากระบี่ของลิโป้มาก่อน แต่เขาก็ไม่คิดประมาทดูแคลน เมื่อนึกถึงความสามารถด้านต่างๆของลิโป้แล้ว ในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใสต่อเจ้านายผู้นี้

หลังจากพักอยู่ในด่านหูกวนเป็นเวลาสองวัน ลิโป้ก็ออกเดินทางกลับเมืองจิ้นหยาง ขณะที่เดินทางไปตามถนนซีเมนต์ ลิโป้ก็อดถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมาไม่ได้ "ใช้ถนนซีเมนต์สะดวกสบายกว่าจริงๆ หากว่าถนนทุกสายของปิ้งโจวล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ผู้คนจะเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวกเท่านั้น แต่การเดินทัพก็จะรวดเร็วขึ้นมาก เหมือนอย่างที่อิวจิ๋ว พอฝนตกลงมา พื้นดินก็เปียกแฉะไปด้วยโคลน ทำให้เดินทัพได้ไม่สะดวก"

กุยแกเห็นด้วย "นายท่านกล่าวได้ถูกต้องที่สุดขอรับ"

"สักวัน โหวผู้นี้จะทำให้ถนนทุกสายในแผ่นดินเป็นดั่งถนนสายนี้!" ลิโป้พลันกล่าวขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของลิโป้ กุยแกก็เงียบไป เขาก็นึกถึงราชวงศ์ฮั่นที่เหลือเพียงชื่อ แผ่นดินนี้วุ่นวายมานาน ดังนั้นจึงโหยหาความสงบศึกอย่างมาก

หลังจากใช้ชีวิตอย่างลำบากอยู่ในอิวจิ๋วมานาน เมื่อกลับมาเห็นความเจริญรุ่งเรืองของจิ้นหยาง ลิโป้ก็รู้สึกคิดถึง ถนนอันคุ้นเคย บ้านเมืองที่คุ้นเคย จวนเจ้าเมืองอันคุ้นเคย ครอบครัวอันคุ้นเคย

หลังจากกลับมาถึงเมืองจิ้นหยาง ลิโป้ก็เชิญกาเซี่ยง ลิซก และบุคคลสำคัญอื่นๆที่เข้าร่วมกับปิ้งโจวมาประชุมหารือ ปราศจากสงครามผู้คนย่อมไม่เข้าใจถึงความสำคัญของแนวหลังอันมั่นคง หากว่าเมืองปักเป๋งไม่ได้ถูกยึดครองโดยอ้วนเสี้ยวเสียก่อน กองซุนจ้านก็คงจะไม่ถูกโค่นลงโดยง่ายเช่นนี้

หลังจากหารือเรื่องสำคัญเสร็จแล้ว ลิโป้ก็กลับไปที่จวน เขาไม่ได้เจอหน้าครอบครัวมานาน ย่อมคิดถึงเหยียนหลานและลิหลิงฉีมาก

"หลิงฉีของเราโตขึ้นเยอะเลย ตัวก็หนักขึ้นด้วย" ลิโป้อุ้มลิหลิงฉีขึ้นมา

"ท่านพ่อ ท่านหายไปไหนมาตั้งนาน ไฉนจึงไม่กลับบ้าน? ท่านแม่พูดถึงท่านทุกวันเลย" ลิหลิงฉีถามเสียงใสขณะยื่นมือโอบรอบคอลิโป้ไว้

"พ่อของเจ้าไปในที่ที่ไกลมากๆ เอาไว้เมื่อเจ้าโตขึ้นแล้วพ่อจะบอก" ลิโป้จับแก้มอันนิ่มไว้พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"ท่านพ่อ หลิงฉีไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ครูสอนหนังสือที่โรงเรียนล้วนบอกว่าหลิงฉีฉลาดมากๆ" ลิหลิงฉีพลันประท้วง

ลิโป้หัวเราะ "ดี หลิงฉีของเราโตแล้ว แล้วเจ้าเรียนรู้อะไรมาจากที่โรงเรียนบ้าง? เล่าให้พ่อฟังหน่อย"

"ครูสอนหนังสือสอนให้หลายสิ่งเลย และหลิงฉีชอบครูซัวมากที่สุด นางทั้งงดงามและทราบเรื่องราวมากมาย"

"อ้อ? ครูซัว? ใครกัน?"

"เป็นครูซัวเอี๋ยม" ลิหลิงฉีดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า "ท่านพ่อ อย่าบอกครูซัวว่าหลิงฉีเรียกชื่อเต็มของนางนะ ไม่อย่างนั้นหลิงฉีจะถูกลงโทษ"

"อืม พ่อจะปิดปากให้สนิทเลย" ลิโป้ยิ้มพยักหน้า

"ท่านสามี" หลังจากย่อกายคำนับลิโป้แล้ว เหยียนหลานก็ถลึงตาดุใส่ลิหลิงฉี "ลูกเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าไม่ใช่เด็กแล้ว? ไฉนจึงยังต้องให้บิดาอุ้มอีก? หากครูสอนหนังสือรู้เรื่องเข้า ระวังจะถูกลงโทษ"

ลิหลิงฉีแลบลิ้น จากนั้นจึงซุกหน้าซ่อนตัวอยู่ในอ้อมอกของลิโป้

"หลิงฉียังเด็กอยู่ หลานเอ๋อร์ก็อย่าไปว่าลูกเลย"

ลิหลิงฉีที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของลิโป้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ซุกตัวกลับไปอย่างมีความสุข

มองดูสองพ่อลูกพูดคุยพลางหัวร่อไปตลอดทางแล้ว ใบหน้าของเหยียนหลานก็ปรากฏรอยยิ้ม

"ท่านพ่อ คืนนี้พวกเราจะกินเนื้อแกะเสียบไม้กันอีกหรือไม่?" ลิหลิงฉีเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

"ตกลง ในครอบครัวเรา คำพูดของหลิงฉีถือเป็นที่สุด" ลิโป้หัวเราะ

"เช่นนั้นในอนาคตท่านพ่อจะต้องไม่ไปไหนไกลอีก หลิงฉีและท่านแม่คิดถึงท่านพ่อมาก" กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของลิหลิงฉีก็แดงขึ้นมาราวกับจะร้องไห้

ลิโป้ลูบหัวลิหลิงฉีอย่างอ่อนโยน ในใจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาใช้เวลาอยู่กับครอบครัวน้อยเกินไปจริงๆ

หลังจากผ่านมาหลายสนามรบ กองทัพปิ้งโจวก็เผยให้เห็นข้อด้อยหลายประการ บัดนี้เมื่อปิ้งโจวสงบมั่นคง ลิโป้ก็ตั้งใจจะปฏิรูปกองทัพอีกครั้ง

ยามทหารปิ้งโจวแรกเข้ากองทัพ พวกเขาก็จะได้รับการฝึกฝนที่แตกต่างจากกองทัพของเจ้าเมืองอื่นๆ โดยเน้นไปที่วินัยและการเชื่อฟังคำสั่งของทหารมากกว่า ควบคู่กับระบบแรงจูงใจของกองทัพปิ้งโจว ดังนั้นพวกทหารจึงฝึกฝนกันอย่างหนัก

หากแต่ในการรบจริง แม่ทัพกลับไม่สามารถสั่งการต่อไพร่พลเบื้องล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้จะมีการเกณฑ์ทหารเพิ่มเข้ามา แต่ปัญหาก็คือตัวแม่ทัพไม่ประสบการณ์มากพอในการรับมือกับสถานการณ์

"จิ้นหยางมีโรงเรียนจิ้นหยางคอยผลิตบุคลากรให้กับปิ้งโจว แล้วใยจึงไม่อาจมีโรงเรียนทหาร?" คิดถึงตรงนี้ ลิโป้ก็ตาเป็นประกาย เขารีบไปหากาเซี่ยงและกุยแกเพื่อหารือเรื่องนี้ทันที

จินตนาการนั้นสวยหรู แต่หลังจากที่ได้ฟังการวิเคราะห์ของกาเซี่ยงและกุยแกแล้ว ลิโป้ก็เพื่อว่าการลงมือจริงนั้นยากลำบากไม่น้อย มีคนเพียงไม่กี่ส่วนในปิ้งโจวที่สามารถอ่านออกเขียนได้ แม่ทัพที่ประจำการอยู่ในกองทัพบางคนยังเขียนชื่อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

"นายท่าน หากแม่ทัพไม่รู้หนังสือ ผู้น้อยสามารถค่อยๆสอนพวกเขาได้ ความคิดของนายท่านั้นยอดเยี่ยมยิ่ง ให้เหล่าแม่ทัพที่มีประสบการณ์สอนแก่เหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ แม่ทัพเหล่านั้นจะต้องได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน" กาเซี่ยงกล่าว

ลิโป้พยักหน้า การสอนหนังสือให้พวกแม่ทัพนั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ เรื่องนี้จะต้องพิจารณาในระยะยาว แต่การให้เหล่าแม่ทัพแบ่งปันประสบการณ์ในสนามรบของตัวเองนั้นสามารถนำไปใช้ได้