ตอนที่ 53 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

จากที่เคยเงียบเหงา มาตอนนี้โถงรับสมัครก็เริ่มคึกคัก ทุกคนในเมืองล้วนต้องการมาเสี่ยงโชคดูสักครา ทุกคนต่างก็เป็นชาวบ้านเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่น หากโชคดีถูกรับตัวไว้ ก็จะเป็นการยกระดับฐานะเปลี่ยนชะตา

จิ้นหยางต้องการพ่อค้าเพื่อขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ อาศัยเพียงการเก็บภาษีจากชาวบ้านนั้นไม่เพียงพอ

ปิ้งโจวอยู่ใกล้กับทุ่งหญ้า มีคนไม่น้อยที่เสี่ยงชีวิตติดต่อค้าขายกับเผ่าเซียนเป่ย แม้ชาวเซียนเป่ยจะอาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ ทว่าพวกเขาก็ไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี อาทิ การผลิตเครื่องลายคราม และการปลูกชา สองสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าต้องการมากที่สุด

เมื่อได้รับคำเชิญจากสำนักงานเมือง เหล่าพ่อค้าก็ทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นดีใจ นับตั้งแต่โบราณมา พ่อค้าก็ฐานะต่ำต้อยที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับราชสำนักไม่ใช่พ่อค้า แต่เป็นประชาชน

พ่อค้าคหบดีในยุคนี้ แม้จะอยู่ดีกินดี แต่มีชนชั้นทางสังคมต่ำต่อให้ต้องการมีหน้ามีตา พวกเขาก็ต้องทำตามกลไกของสังคม แม้จะเสพสุขวาสนา แต่ก็เสพสุขได้แค่ภายในบ้าน

มองดูเหล่าพ่อค้าที่แต่งตัวเรียบง่ายแล้ว ลิโป้ก็อุทาน นี่พ่อค้าของจิ้นหยางยากจนขนาดนี้เลย?

"ที่สำนักงานเมืองเชิญพวกเจ้ามาเป็นความตั้งใจของข้าเอง" ลิโป้ปรายตามองทั่วห้องก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหล่าพ่อค้าต่างตาลุกวาว เมื่อได้ทราบว่าท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือใต้เท้าเจ้าเมือง ท่านลิโป้แล้ว พวกเขาก็ยากจะสงบใจลง

"ภายในจิ้นหยางมีพ่อค้าอยู่ไม่น้อย ชาวเซียนเป่ยต้องการสิ่งของจากพวกเรา พวกเราเองก็ต้องการม้าศึกจากพวกเขา ก่อนหน้านี้มีพ่อค้าที่ลอบติดต่อค้าขายกับพวกเขา แน่นอนว่าทางการย่อมทราบเรื่องนี้"

ได้ยินดังนั้น เหล่าพ่อค้าก็หันไปซุบซิบกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาคิดว่าลิโป้เตรียมจะคิดบัญชีผู้ลอบค้าขายกับคนนอกแล้ว หากเกิดการสืบสวนขึ้นมา นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเขาพาตัวมาส่งถึงที่หรอกหรือ?

"นับแต่นี้ไป พ่อค้าภายในจิ้นหยางทุกคนจะต้องลงทะเบียน ทุกครั้งที่ทำการค้ากับชนเผ่านอกด่าน จะต้องจัดทำรายการสิ่งของ อาวุธและเครื่องมือที่เป็นโลหะถือเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ทำการขาย หากทางการพบเจอ จะต้องถูกริบทรัพย์ทั้งตระกูลทันที" น้ำเสียงของลิโป้เย็นชาขึ้นเล็กน้อย ชาวเซียนเป่ยมีความทะเยอทะยาน หากพวกเขามีอาวุธมากเพียงพอ ผู้ใดจะทราบได้ว่าพวกเขาจะไม่มีความคิดชั่วร้าย?

"ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว" พวกพ่อค้าต่างตอบรับ การจัดการกับพวกเซียนเป่ยนั้นไม่ง่าย ย่อมไม่มีผู้ใดโง่เขลาถึงขั้นขายอาวุธเพื่อกระตุ้นโทสะของราชสำนัก

"การค้าใดๆกับชนเผ่านอกด่านจะต้องเสียภาษีสองส่วน" ในที่สุดลิโป้ก็เผยเจตนาที่แท้จริงออกมา

ภาษีจำนวนสองส่วน นับว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อย ก่อนหน้านี้การค้าขายกับชาวนอกด่านล้วนแต่ต้องกระทำเป็นการลับ จึงไม่ต้องเสียภาษี พ่อค้าหลายคนเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ลิโป้กระแอมเบาๆก่อนจะกล่าวว่า "หากพบว่าผู้ใดลอบติดต่อค้าขายกับชาวนอกด่านเป็นการลับ คนผู้นั้นจะถือว่าคิดคบศัตรูทรยศประเทศชาติ ม้าศึกที่ซื้อมาจากนอกด่านสามารถขายให้กับสำนักงานเมืองได้เท่านั้น ห้ามลักลอบนำไปขายที่อื่น"

ต่อหน้าการบีบคั้นและการนำผลประโยชน์เข้ามาล่อ สุดท้ายพวกพ่อค้าก็เลือกที่จะยอมถอยและร่วมกันก่อตั้งหอการค้าแห่งจิ้นหยางขึ้นมา เรียกว่า หอการค้าจิ้นชาง พ่อค้าที่ลงทะเบียนจะได้รับการคุ้มครองจากสำนักงานเมือง แต่พวกเขาก็ต้องเสียภาษีตามอัตราส่วนที่กำหนด และเมื่อออกไปข้างนอก พวกพ่อค้าก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พ่อค้ามักจะเป็นกลุ่มที่เสียเปรียบ พวกเขาล้วนแต่ต้องพึ่งพิงตระกูลขุนนางเพื่อเติบโต ยกตัวอย่างเช่น พ่อค้าจากจิ้นหยาง หากว่าพวกเขาออกไปค้าขายที่เมืองอื่น พวกเขาก็มักจะถูกกดขี่ ด้วยเหตุนี้นโยบายของสำนักงานเมืองที่ให้พวกเขาคอยเกื้อกูลกันจึงเป็นที่ถูกใจของพวกพ่อค้ามาก

จากนั้นพวกพ่อค้าก็เลือกหลี่ฟ่านที่ได้รับความเคารพในหมู่พ่อค้าขึ้นเป็นหัวหน้าหอการค้า รับผิดชอบการลงทะเบียนของพ่อค้า

เมื่อหอการค้าถูกจัดตั้งขึ้น ก็หมายความว่าสำนักงานเมืองจะสามารถดำเนินการตามแนวทางที่วางไว้ ภาษีจากพวกพ่อค้าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจิ้นหยางได้อย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น การค้าขายกับชนเผ่านอกด่าน พวกเขาต้องการเครื่องเคลือบลายคราม ใบชา และเสื้อผ้าจำนวนมาก เมื่อมีความต้องการมากขึ้น ก็หมายความว่าต้องการคนงานในการจัดหามากขึ้นตามไปด้วย

หลังจากทุกคนออกไปแล้ว ลิโป้ก็รั้งหลี่ฟ่านเอาไว้ ตระกูลหลี่ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ตระกูลของพวกเขามั่งคั่งร่ำรวย ประมุขตระกูลหลี่ฟ่านมีสายตากว้างไกล ให้ความร่วมมือกับสำนักงานเมืองเป็นอย่างดี จากการร่วมมือ เขาก็พบว่าเมืองจิ้นหยางขาดแคลนหญ้าเสบียง ดังนั้นเขาจึงอาสาบริจาคให้สำนักงานเมืองเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นกระสอบ ซึ่งลิซกก็ยังกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อหน้าลิโป้

ภายในเมืองยังมีตระกูลขุนนางอีกหลายตระกูล ซึ่งลิโป้ก็ไม่ได้กีดกันพวกเขา ตราบใดที่ตระกูลเหล่านี้ยังคงปฏิบัติตามกฏ พวกเขาก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะยังอยู่ดีกินดี เช่นเดียวกับการค้าขายกับชนเผ่านอกด่าน เหล่าพ่อค้าทั่วแผ่นดินล้วนทราบว่าต้องทำการค้าประเภทใดจึงจะร่ำรวย แน่นอนว่าต้องเป็นพวกสินค้ายุทธศาตร์ อย่างไรก็ดี ลิโป้กลับนำเรื่องนี้ออกมาพูดต่อหน้า ทั้งยังบอกว่าจะให้ความคุ้มครอง ดังนั้นพ่อค้าบางส่วนจึงลอบหัวเราะเยาะลิโป้ว่าไม่รู้จักทำการค้า

"ประธานหลี่รู้จักสิ่งนี้หรือไม่?" ลิโป้ถามพลางยื่นกระดาษให้หลี่ฟ่าน

"กระดาษ?" หลี่ฟ่านตาลุกวาว เป็นกระดาษชั้นดี

"ใช่ นี่เป็นกระดาษที่ผลิตภายในเมืองจิ้นหยาง เรียกว่า กระดาษจิ้น เจ้าควรตรวจสอบดูสักหน่อย" เห็นปฏิกริยาของหลี่ฟ่าน ลิโป้ก็พึงพอใจมาก

หลี่ฟ่านรับกระดาษมาดูใกล้ๆ เขาใช้มือลูบไล้ผิวกระดาษ สีหน้าค่อยๆเผยแววพึงพอใจออกมา

ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่ฟ่านก็วางกระดาษลงอย่างไม่เต็มใจก่อนจะกล่าวว่า "เป็นกระดาษที่คุณภาพไม่ด้อยกว่ากระดาษที่ผลิตในลั่วหยาง ด้านผิวสัมผัสกระทั่งยังเรียบเนียนกว่า" แม้ในใจจะอยากรู้ว่าลิโป้มีกระดาษแบบนี้อยู่มากน้อยเท่าใด แต่เขาก็สะกดกลั้นไว้ ไม่ถามออกไป

"ประธานหลี่มีสายตายอดเยี่ยม เช่นนั้นประธานหลี่ว่ากระดาษนี้ควรมีราคาเท่าใด?"

หลี่ฟ่านพลันหันไปมองลิโป้ด้วยสีหน้ายากจะทำใจเชื่อ กระดาษนั้นเป็นที่ต้องการของพวกบัณฑิตนักศึกษา ในสายตาของผู้มีความรู้เหล่านั้นแล้ว กระดาษนับเป็นของชั้นสูง หากบัณฑิตนักศึกษาทั่วแผ่นดินได้ยินคำถามนี้ของลิโป้เข้า เกรงว่าจะต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากแน่

เมื่อเห็นว่าลิโป้ดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น หลี่ฟ่านก็กล่าวขึ้นว่า "ข้าน้อยโง่เขลา ไม่ทราบว่าควรมีค่าเท่าใด"

ลิโป้ไม่ยอมแพ้ เขาถามขึ้นอีก "ในความเห็นของเจ้า เจ้าว่าควรขายเท่าใด?"

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฟ่านก็ตอบว่า "เรียนใต้เท้า กระดาษเป็นสิ่งของที่ขาดแคลนในตลาด เกรงว่าจะประเมินค่าได้ยาก หากตั้งราคาไว้ห้าร้อยเฉียนต่อแผ่น คาดว่าจะขายหมดในทันที"

"แผ่นละห้าร้อยเฉียน?" ลิโป้ประหลาดใจ ห้าร้อยเฉียน นั่นเป็นจำนวนเท่ากับข้าวห้ากระสอบ ด้วยอัตราการผลิตของโรงงานกระดาษในปัจจุบันแล้ว การจะผลิตกระดาษออกมาเดือนละหนึ่งหมื่นแผ่นนับว่าไม่มีปัญหา อีกทั้งต้นทุนในการผลิตก็ถูกมาก

"ใต้เท้า เมื่อลั่วหยางถูกตั๋งโต๊ะสั่งเผาไปแล้ว เทคนิคการผลิตกระดาษก็เท่ากับสูญหาย ไม่มีคนนอกล่วงรู้ ฉะนั้นต่อให้ตั้งราคาที่หนึ่งพันเฉียนก็ยังขายหมด" หลี่ฟ่านนับว่าสมกับที่เป็นพ่อค้า

"ดี ข้าจะมอบกระดาษจำนวนหนึ่งหมื่นแผ่นให้เจ้าก่อน ข้าขายให้เจ้าแผ่นละแปดร้อยเฉียนก็แล้วกัน" ลิโป้กล่าว

'หนึ่งหมื่นแผ่น? แผ่นละแปดร้อยเฉียน เท่ากับเป็นเงินแปดแสนตำลึง ถ้าเปลี่ยนเป็นเสบียง นั่นก็จะเท่ากับข้าวแปดหมื่นกระสอบ' หลี่ฟ่านรีบนับคำนวณในใจ เขาย่อมตระหนักได้ถึงผลกำไร แม้จะต้องนำไปขายต่อก็ตาม แต่ต่อให้ตั้งราคาที่พันเฉียนก็ต้องขายออกแน่นอน

เพียงแต่แปดแสนตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หลี่ฟ่านก็ตัดสินใจจะรับซื้อไว้ หากจัดการได้อย่างเหมาะสม ผลกำไรที่ได้ก็ยังดีกว่าการเสี่ยงชีวิตไปค้าขายกับชนเผ่านอกด่านเสียอีก