สีหน้าของหลี่เฉิงและเหลียงฮูแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เป็นตระกูลจ้าวที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดและจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดด้วย นี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง
"หลี่เสี่ยวเว่ย แม่ทัพเหลียง เมื่อตระกูลจ้าวได้ครอบครองปิงโจวแล้ว ผลประโยชน์ของพวกท่าน ข้าย่อมไม่ลืมเลือน แต่หากปล่อยให้ลิโป้สร้างปัญหาในปิงโจวอยู่เช่นนี้ ก็ไม่มีทางที่ตระกูลของพวกเราจะอยู่รอดได้เลย" จ้าวเหยียนย่อมมองความคิดของพวกเขาออก
"ขอใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยคุณชายจ้าวเข้าสู่เมือง" หลังจากใคร่ครวญสถานการณ์ดูแล้ว หลี่เฉิงก็กุมมือกล่าว
ลิโป้มีกำลังทหาร แต่เหล่าตระกูลใหญ่เองก็ชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวไว้เช่นกัน ทหารส่วนตัวเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตั้งแต่เด็ก ถือเป็นกำลังหลักของตระกูล แม้ประสิทธิภาพการสู้รบอาจไม่เท่าทหารในกองทัพ แต่พวกเขาล้วนไม่กลัวตาย พร้อมจะพลีชีพเพื่อตระกูลที่ชุบเลี้ยงพวกเขามา
...............
ในแต่ละวัน ลิโป้จะไปยังค่ายทหารที่นอกเมืองเพื่อฝึกฝนเหล่าทหารม้า การเดินทางของเขาไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ทราบมาได้สักระยะแล้วว่าที่นอกเมืองมีทหารม้าจำนวนสี่พันประจำการอยู่
หลังจากผ่านการฝึกมาได้ครึ่งเดือน ทหารม้าสี่พันคนก็ถูกคัดกรองอย่างเข้มงวด ทหารม้าที่อยู่ในร้อยลำดับรั้งท้ายถูกคัดออก และส่งกลับไปยังต้นสังกัดเดิม กระนั้นเหล่าทหารที่ผ่านการประเมินก็ยังไม่อาจวางใจ นี่เป็นเพียงการประเมินครั้งแรก และอีกทุกๆครึ่งเดือนถัดไป พวกเขาก็จะต้องรับการประเมินซ้ำอีกครั้ง แม้ระบบการคัดกรองนี้จะดูโหดร้าย แต่เมื่อมีสถานการณ์เช่นนี้คอยกดดัน ทหารม้าทุกนายก็พากเพียรฝึกฝนอย่างหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินว่าสำนักงานเมืองเตรียมจะจ่ายเงินตอบแทนให้กับพลทหารทั่วไปด้วย
ยามที่ทหารม้าพุ่งโถมออกไป การรักษารูปขบวนไว้จะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด และสิ่งที่ลิโป้ต้องการก็คือ การประสานงานกันอย่างใกล้ชิดของเหล่าทหารม้า เขาไม่ต้องการให้เหล่าทหารยึดติดกับการคงรูปขบวนจนเกินไป พวกเขาจะต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน ด้วยเหตุนี้ทหารของกองกำลังเฟยฉีจึงฝึกฝนหนักหน่วงขึ้น
หลี่เยี่ยน รองแม่ทัพแห่งกองกำลังเฟยฉี คนผู้นี้เป็นแม่ทัพใหม่ของกองทัพปิงโจว เป็นลูกหลานจากครอบครัวยากจนในอำเภอจิ่วหยวน หลังจากที่เข้าร่วมกองทัพก็มีผลงานอันโดดเด่น จนได้รับตำแหน่งนายพันภายในกองทัพ
นับตั้งแต่ที่ลิโป้จัดระเบียบกองทัพใหม่ ผู้ที่มีความสามารถก็ได้รับการเลื่อนยศ ส่วนที่ไร้ความสามารถก็ถูกลดตำแหน่งลงไป หลี่เยี่ยนสามารถไต่เต้าขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือที่โดดเด่นและความสามารถในการใช้กลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา เขาก็กลายเป็นที่ถูกใจของเตียวเลี้ยว
ประสบการณ์ของหลี่เยี่ยนได้ปลุกกระตุ้นเหล่าทหารและผู้นำระดับล่างขึ้นมาทางอ้อม หลี่เยี่ยนเริ่มต้นจากการเป็นพลเดินเท้าคนหนึ่ง แต่บัดนี้เขาได้เป็นถึงรองแม่ทัพแห่งกองกำลังเฟยฉีที่มีทหารม้าในสังกัดจำนวนสามพันคน แน่นอนว่าตำแหน่งเช่นนี้ยังเหนือยิ่งกว่าแม่ทัพของกองกำลังอื่นๆเสียอีก
ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำภายในเมืองจิ้นหยางจะเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว เหล่าตระกูลใหญ่เริ่มสร้างปัญหา ไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม หน่วยข่าวกรองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นได้ไม่นานเริ่มรายงานข่าวสารต่างๆจนทำให้ลิโป้สูดได้กลิ่นของอันตราย และในระหว่างที่สืบข่าวเหล่านี้ ยังมีสมาชิกของหน่วยข่าวกรองหายตัวไปจำนวนสองคน
ลิโป้ยืนมองแผนที่ของปิงโจวก่อนจะครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เมืองจิ้นหยางอยู่ติดกับอำเภอซีเหอ อำเภอติ้งเซียง เมืองเหยี่ยนเหมิน และเมืองเสียงตง
เมืองเสียงตงอยู่ในมือของเขาแล้ว โดยมีเซ้งเหลียมและเฮาเสงเฝ้าดูแล เชื่อว่าคงไม่เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใด ดังนั้นความเป็นไปได้จึงเป็นอีกสามแห่งที่เหลือ โดยเฉพาะอำเภอซีเหอ สถานการณ์ของที่นั่นซับซ้อนอยู่บ้าง ที่นั่นมีชาวฮั่นและชาวซยงหนูอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าชาวซยงหนูที่เข้ามาอยู่อาศัยนั้นจะเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาเมื่อใด ส่วนทางด้านเมืองเหยี่ยนเหมิน นั้นเคยเป็นที่ฐานทัพเก่าของกองทัพของเต๊งหงวน ลิโป้คิดว่าที่นั่นคงไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา
"ติ้งเซียง? หรือว่าซีเหอ?" ในแววตาลิโป้ปรากฏประกายแสงขึ้นวูบ "ทหาร ไปเชิญลิซก เตียวเลี้ยว และโกซุ่นมาพบข้า"
ยังไม่ทันที่ทหารจะไปเชิญตัว ลิซกก็เดินทางมาที่ว่าการเมืองแล้ว ในฐานะผู้ดูแลกิจการน้อยใหญ่ภายในปิงโจว เขาเองก็สังเกตเห็นสถานการณ์อันผิดปกติมาได้สักระยะแล้ว
"เรียนนายท่าน ภายในเมืองอาจเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น" เมื่อมาถึง ลิซกกุมมือกล่าวด้วยความกังวล
"เว่ยกง เจ้าควรระวังคำพูด" ร่างของลิโป้เปลี่ยนเป็นเขม็งเกร็ง
"นายท่าน หลี่เฉิง นายกองเฝ้าประตูเมืองได้ลอบติดต่อกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเขาที่อยู่ภายในเมือง เกรงว่าแผนการของเขาคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ" ลิซกลดเสียงลงกล่าว
"โอ้ หลี่เฉิงงั้นรึ? ตอนนี้ผู้ใดเป็นนายอำเภอของติ้งเซียง? แล้วมีข่าวจากทางด้านซีเหอบ้างหรือไม่?" ลิโป้ถาม
"นายอำเภอของติ้งเซียงเวลานี้คือจ้าวเหอ เป็นบุตรชายคนโตขององค์รักษ์จ้าวขอรับ" หลังกล่าวจบ ลิซกก็หลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง เขามีความรู้เกี่ยวกับตระกูลใหญ่อยู่บ้าง ตระกูลใหญ่เหล่านี้ต่างไปมาหาสู่กัน และยิ่งหลังจากที่ลิโป้มาปกครอง พวกเขาก็มักจะสุมหัวกันอยู่บ่อยครั้ง จ้าวเหอเป็นนายอำเภอติ้งเซียงได้นานแล้ว ดังนั้นจึงมีกำลังทหารอยู่ในมือ
"บุตรชายคนโตขององค์รักษ์จ้าว?" ลิโป้แค่นเสียงเย็น "ดูเหมือนพวกเขาจะต้องการศีรษะของเจ้าเมืองอย่างข้าจริงๆ"
"นายท่าน ตระกูลจ้าว ตระกูลหลี่ และตระกูลเหลียงมีรากฐานอยู่ในปิงโจวนับร้อยปี ข้าน้อยว่าพวกเขาคงไม่กระทำการคิดคดทรยศเช่นนี้กระมัง ถึงอย่างไรนายท่านก็เป็นถึงเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก" ลิซกยากจะทำใจเชื่อได้ลง
"ในสภาพที่แผ่นดินวุ่นวายเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็อาจเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง"
"เรียนนายท่าน แม่ทัพเตียว แม่ทัพโก รออยู่ที่ด้านนอกแล้วขอรับ" เตียนอุยเดินเข้ามารายงาน
"ให้พวกเขาเข้ามา" ลิโป้ตอบ
"ท่านแม่ทัพ" เตียวเลี้ยวและโกซุ่นกุมหมัดคารวะ
"เตียวเลี้ยว เจ้านำทหารม้าห้าร้อยนายเข้าไปลาดตระเวนภายในเมือง โดยเฉพาะที่ประตูเมือง ให้ตรวจตราเป็นพิเศษ อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นได้ โกซุ่น เจ้านำหน่วยทะลวงค่ายคอยจับตาดูตระกูลจ้าวอย่างใกล้ชิด หากมีการเปลี่ยนแปลง ก็ให้เจ้าฆ่าพวกเขาได้ทันที ข้าจะให้ทหารม้าที่เหลือคอยเตรียมพร้อมไว้"
"ขอรับ!" ทั้งสองรับคำก่อนเร่งรีบไปดำเนินการ
..................
ยามวิกาล เมืองจิ้นหยางจมอยู่ในความเงียบสงัด ชายชุดดำที่พกพาดาบจำนวนนับร้อยกำลังอาศัยความมืดเป็นเครื่องกำบังค่อยๆลอบเร้นไปทางจวนเจ้าเมือง ที่ด้านนอกของเมืองเองก็มีไพร่พลจำนวนสามพันรอคอยคำสั่งอย่างเงียบเชียบ
ทันใดนั้น เตียวเลี้ยวที่กำลังลาดตระเวนก็ได้ยินเสียงโห่ร้องฆ่าฟันดังมาจากประตูทิศตะวันออก เขารีบสั่งให้ม้าเร็วรีบไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อแจ้งต่อลิโป้ทันที จากนั้นจึงนำทหารม้าที่เหลือมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองตะวันออก
แม่ทัพที่คุมประตูเมืองทิศตะวันออกคือ เตียวเอ๊ก แม่ทัพที่เคยสังกัดอยู่กับตั๋งโต๊ะแต่ต่อมาติดตามลิซกสวามิภักดิ์ต่อลิโป้ แม้ฝีมือของเขาจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่เขาก็เป็นคนที่รอบคอบมาก
เมื่อเห็นชายฉกรรจ์สวมใส่ชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนบุกจู่โจมมาทางประตูเมือง เตียวเอ๊กก็ทราบทันทีว่าผิดท่า เขาตะโกนปลุกใจพลางบัญชาทหารเข้าปะทะกับกลุ่มชายชุดดำ
ชายฉกรรจ์ชุดดำเหล่านี้มีฝีมือไม่ต่ำทรามเลย และทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตูนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารเก่าของเตียนเอี๋ยง แม้จะคัดสรรมารอบหนึ่งแล้ว แต่พวกเขาก้แทบไม่มีประสบการณ์ในการรบมาก่อน เพียงปะทะได้ไม่ทันไร พวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
เตียวเอ๊กกู่ร้องพลางชักกระบี่ที่ข้างเอวก่อนจะพุ่งตัวออกไป เขาเองก็ไม่ทราบว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะเขาเริ่มผูกพันกับที่นี่แล้ว โดยเฉพาะการได้ลงโทษเหล่าเจ้าหน้าที่กังฉินที่รังแกประชาชนอย่างเด็ดขาด เขาจึงรู้สึกว่าที่แห่งนี้ทำให้เขาได้แสดงคุณค่าในตัวเองออกมา
ในเมืองจิ้นหยาง แม้ว่าเขาจะได้เป็นเพียงแม่ทัพคุมประตูเมือง แต่เขาก็ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการสรรเสริญจากชาวบ้าน แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพปิงโจว
ความสามารถของเขาไม่โดดเด่นอะไร การได้คุมประตูเมืองก็ไม่ได้สร้างความคับข้องแก่เขาแต่อย่างใด อันที่จริงเขากำลังซุ่มฝึกฝนฝีมือและพัฒนาตัวเองอย่างหนัก หวังจะเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นไป ลิซกสหายของเขาเวลานี้ได้เป็นถึงผู้ดูแลจัดการงานต่างๆของที่ว่าการเมืองไปแล้ว ตราบที่เขาแสดงฝีมือได้มากพอ การจะเลื่อนตำแหน่งก็อยู่เพียงแค่เอื้อม
กลุ่มชายชุดดำหนุนเนื่องโถมเข้าใส่เตียวเอ๊ก ทำให้เตียวเอ๊กมีบาดแผลเพิ่มขึ้นทุกขณะ เขารู้สึกว่าโลกกำลังหมุน กระบี่ในมือยิ่งมายิ่งหนักอึ้งมากขึ้นทุกที
"ตาย!" จู่ๆเตียวเอ๊กที่ใกล้จะล้มลงไปก็คำรามออกมา ทำให้ชายชุดดำผู้หนึ่งตกใจผงะ กระบี่ในมือเตียวเอ๊กพุ่งเสียบอกของชายชุดดำ ชายชุดดำมองดูเตียวเอ๊กดูสายตาที่เหลือเชื่อ
การกระทำอันกล้าหาญของเตียวเอ๊กราวกับกลายเป็นโรคติดต่อ ทหารป้องกันเมืองที่ถูกกลุ้มรุมอย่างหนักพลันฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขารีบรวมตัวกันค่อยๆเคลื่อนมาคุ้มครองเตียวเอ๊กไว้
คนแล้วคนเล่าที่ล้มลง ทั้งสองฝ่ายต่างเข่นฆ่ากันจนตาแดงฉาน เมื่อยืนอยู่บนปากเหวแห่งความตาย มือไม้ที่เคยสั่นเทาของเหล่าทหารป้องกันเมืองเริ่มมั่นคงขึ้น พวกเขาปรารถนาจะพุ่งเข้าไปเข่นฆ่าพวกชายชุดดำให้ได้มากที่สุดก่อนจากไป
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved