ตอนที่ 157 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"เอินซือ[1]" ลิโป้ค้อมคารวะ

[1 อาจารย์ผู้มีพระคุณ]

"เฟิ่งเซียนมาแล้ว" ซัวหยงทักทายอย่างอบอุ่น

"อาจารย์ อยู่ภายในโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?" ลิโป้สอบถามด้วยความกังวล

"ดียิ่ง นับแต่หนังสือตำราจำนวนมากถูกจัดทำขึ้น นักเรียนทั้งหมดก็สามารถ ใช้ศึกษาเล่าเรียน ทอดตามองดูทั่วทั้งต้าฮั่นแล้ว เกรงว่าจะไม่มีที่ใดเทียบกับที่จิ้นหยางได้" ซัวหยงหัวเราะ เขาเป็นบุคคลมีชื่อเสียง ดังนั้นจึงมักจะมีผู้คนมาเยี่ยมคารวะ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้พบกับสหาย เขาก็จะมอบหนังสือตำราให้ไปแล้วรอชมดูสีหน้าที่ตกตะลึงของอีกฝ่าย ความรู้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก

"เฟิ่งเซียนไม่ได้มีโอกาสแวะเวียนมาง่ายๆ ดังนั้นคงมีเรื่องคิดปรึกษาใช่หรือไม่?" ซัวหยงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"ขอรับอาจารย์" ลิโป้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นจึงอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เขาต้องการจัดทำหนังสือพิมพ์ให้ซัวหยงฟัง แน่นอนว่าย่อมต้องอธิบายว่าหนังสือพิมพ์นั้นเป็นอย่างไร

เมื่อได้ฟังรายละเอียด ซัวหยงก็ตาเป็นประกาย สิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่ลิโป้คิด ลิโป้เพียงต้องการใช้หนังสือพิมพ์เพื่อโฆษณาสุราจิ้น ทว่าสิ่งที่ซัวหยงคิดก็คือวาจาซึ่งจะที่มีอิทธิพลต่อทั่วทั้งแผ่นดิน เขาสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า หากสิ่งที่เรียกว่าหนังสือพิมพ์เผยแพร่ออกไปเมื่อใด มันจะส่งผลกระทบต่อทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น นโยบายของจิ้นหยาง หากป่าวประกาศออกไปจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก ผู้คนมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากจะต้องรีบแห่แหนกันมายังปิ้งโจวอย่างแน่นอน โรงเรียนจิ้นหยางเองก็สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินได้ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์

พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จสวรรคตท่ามกลางความวุ่นวายในสนามรบ ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินต้องสั่นสะเทือน หลังจากได้ทราบถึงเรื่องนี้ ซัวหยงก็มักจะนอนไม่หลับ ในฐานะขุนนางเก่าของราชวงศ์ฮั่นแล้ว เขาย่อมมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างลึกล้ำ เขายังกังวลถึงเรื่องการคัดเลือกบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่งมาสืบทอดราชบัลลังก์ และหากอาศัยหนังสือพิมพ์นี้ เขา ซัวหยงก็จะสามารถบอกต่อทั่วหล้าว่าเขามีความเห็นว่าอย่างไร

ซัวหยงนั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นต้นแบบที่เหล่าขุนนางบัณฑิตยึดถือเป็นแบบอย่าง ดังนั้นความคิดเห็นของเขาจึงมีความสำคัญอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น หากซัวหยงมีความคิดจะสนับสนุนเล่าหงีขึ้นเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายก็ต้องใคร่ครวญถึงเรื่องนี้

"ประเสริฐ ยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์เถอะ" ซัวหยงตอบตกลงด้วยความยินดี

"อาจารย์ เพียงแต่ว่า เนื้อหาภายในหนังสือพิมพ์นั้นจะต้องได้รับการตรวจทานจากสำนักงานเมืองสักเที่ยว จากนั้นจึงค่อยส่งให้โรงพิมพ์เพื่อทำการจัดพิมพ์" ลิโป้กล่าว

"นั่นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว" ซัวหยงเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล แม้จะต้องส่งให้สำนักงานเมืองตรวจดูผ่านตาก่อน แต่หากว่าซัวหยงต้องการจะกล่าวอะไรผ่านหนังสือพิมพ์ นั่นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

"อาจารย์ ท่านคิดว่าหนังสือพิมพ์นี้ควรมีชื่อเรียกเช่นไรดีขอรับ?" ลิโป้สอบถามความเห็นของผู้เป็นอาจารย์

ซัวหยงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "ภายในเมืองจิ้นหยางมีร้านค้าอยู่หลายร้านที่มีคำว่าจิ้นหยางอยู่ในชื่อ ทว่าหนังสือพิมพ์นี้คือสิ่งที่คิดจะประกาศต่อคนทั่วแผ่นดิน เช่นนั้นใยจึงไม่ตั้งชื่อว่า หนังสือพิมพ์ต้าฮั่น เล่า?"

ได้ยินดังนั้น ลิโป้ก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม "เช่นนั้นก็เรียกว่าหนังสือพิมพ์ต้าฮั่น เถอะขอรับ"

"เฟิ่งเซี่ยว ราชวงศ์ฮั่นนั้นช่างอาภัพนัก ถูกโจรกบฏบ่อนทำลายยังไม่พอ การสวรรคตขององค์ฮ่องเต้ยังทำให้แผ่นดินเกิดการสั่นคลอน ในบรรดาเจ้าเมืองต่างๆมีคนหนุ่มอยู่ไม่มาก เฟิ่งเซี่ยวมีความเห็นเป็นอย่างไร?" ซัวหยงจ้องมองลิโป้ด้วยสายตาร้อนแรง

ลิโป้กุมมือกล่าวว่า "ตอบท่านอาจารย์ ยามนี้ราชวงศ์ฮั่นตกอยู่ในอันตราย ควรเลือกสรรบุคคลที่เปี่ยมคุณธรรมและได้รับความเคารพขึ้นเป็นฮ่องเต้ เล่าเปียวแห่งเกงจิ๋วและเล่าหงีแห่งอิวจิ๋วนั้นมีชื่อเสียงทั่วแผ่นดิน ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองกุนจิ๋วยังได้ส่งทูตมาหารือเรื่องนี้กับศิษย์ด้วยขอรับ"

เมื่อซัวหยงได้ยินคำตอบ สีหน้าก็พลันผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจพลางกล่าวว่า "เปรียบเทียบกับเล่าหงีแล้ว เล่าเปียวยังด้อยกว่าอยู่บ้าง เล่าหงีเป็นผู้นำที่มีจิตใจเมตตา ผู้คนล้วนทราบดีว่าหากเขาได้สืบทอดราชสมบัติ แผ่นดินก็จะสงบสุข"

"ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ" ลิโป้กุมมือรับคำ

"บ้านเมืองไม่อาจขาดประมุขแม้แต่วันเดียว ในฐานะขุนนางแห่งต้าฮั่นแล้ว เจ้าต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ การสืบทอดบัลลังก์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจกระทำไปอย่างส่งๆ" ซัวหยงเอ่ยเตือน

"อ้วนเสี้ยวและโจโฉเลือกจะให้การสนับสนุนเล่าหงี และท่าทีของปิ้งโจวเองก็มีความสำคัญยิ่ง เพียงแต่อ้วนเสี้ยวเคยส่งกองทัพมาโจมตีด่านหูกวนในช่วงเวลาที่ปิ้งโจวกำลังวิกฤต อ้วนเสี้ยวผู้นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่ง" ลิโป้กล่าว

"อ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำของเหล่าเจ้าเมือง ทั้งยังมีอิทธิพลมาก ทว่าการส่งกำลังเข้าโจมตีด่านหูกวนในครั้งนั้นของเขาได้สร้างความผิดหวังให้กับผู้คนนัก" ซัวหยงทอดถอนใจ เขาเองก็เคยคิดว่าอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นขุนนางผู้จงรักซึ่งเป็นแกนนำในการกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นมาก่อน แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วอ้วนเสี้ยวจะเป็นที่เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้

หลังจากตั้งชื่อหนังสือพิมพ์และทราบท่าทีของลิโป้แล้ว ซัวหยงก็กระตือรือร้นที่จะดำเนินการเรื่องหนังสือพิมพ์ ประโยชน์ของหนังสือพิมพ์นั้นชัดเจนยิ่ง เมื่อมีหนังสือพิมพ์อยู่ในมือก็เท่ากับมีความคิดเห็นส่วนใหญ่ของมวลชนไว้ในมือ

"อาจารย์ นี่ยังไม่ต้องรีบร้อน ครั้งนี้ศิษยืไม่ได้มาหารือเพียงเรื่องหนังสือพิมพ์เท่านั้นขอรับ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน" ลิโป้กล่าว

หลังจากเห็นลิโป้ให้องค์รักษ์นำสุราสองไหเข้ามาในห้องแล้ว ซัวหยงก็ยังคงมึนงง สุรากับหนังสือพิมพ์นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร? หนึ่งคืออำนาจอันยิ่งใหญ่ ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นเครื่องดื่มเพื่อการผ่อนคลาย

"อาจารจย์ สุราสองไหนี้เป็นสุราชนิดใหม่ล่าสุดที่ผลิตขึ้นโดยโรงกลั่นสุราจิ้นหยางขอรับ อาจารย์ ท่านทดลองชิมดูสิขอรับ" ลิโป้กล่าวขณะรินสุราใส่จอก

เมื่อซัวหยงได้ฟังดังนั้น ดวงตาก็ฉายแววสงสัย บัณฑิตส่วนใหญ่มักนิยมดื่มสุราอยู่แล้ว ซัวหยงหยิบจอกเหล้าขึ้นมา กลิ่นหอมของสุราก็ลอยแตะจมูก

หลังจากดื่มเข้าไปหนึ่งจอก ซัวหยงก็หน้าแดงก่ำ เขาสัมผัสได้ถึงความพิเศษของสุรานี้แล้ว ด้วยระดับความรู้ของเขา เขายังไม่เคยพบเจอสุราใดที่สามารถเทียบได้กับสุราที่เบื้องหน้านี้

"อาจารย์ สุรานี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?" ลิโป้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"ดี สุราดี นี่ไม่ต่างจากสุราเซียน เพียงดื่มเข้าไปหนึ่งจอกก็ให้ความรู้สึกสบายไปทั่วทั้งร่าง" ซัวหยงตาเป็นประกายอีกครั้ง ดูเหมือนว่าครั้งหน้า หากมีสหายมาเยี่ยมเยียนอีก เขาคงต้องนำสุรานี้ออกมาต้อนรับสักครา คิดแล้วเขาก็รินเทสุราใส่จอก

"สุราดีเช่นนี้ควรแบ่งปันให้ผู้คนทั่วแผ่นดินได้ลิ้มลอง" ลิโป้ถือโอกาสกล่าวขึ้นมา

แม้ว่าซัวหยงจะมึนงงเล็กน้อย แต่เขาก้เข้าใจความหมายในวาจาของลิโป้ ดังนั้นจึงหัวเราะออกมา "เฟิ่งเซียนมีอะไรก็ว่ากล่าวมาตรงๆเถอะ ด้วยสุรานี้แล้ว คิดใช้หนังสือพิมพ์โฆษณาออกไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย สุราดีเช่นนี้ สมควรแบ่งปันต่อผู้คนทั่วแผ่นดินจริงๆ"

ลิโป้พยักหน้ากล่าวว่า "เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านอาจารย์อีกครั้งขอรับ"

"เฟิ่งเซียน สุรานี้มีชื่อว่าอะไรรึ?" ซัวหยงเอ่ยถาม

"สุราจิ้นขอรับ" ลิโป้ตอบ

ซัวหยงถอนหายใจ "เมื่อตั้งชื่อแล้วก็แล้วไปเถอะ" เขารู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ตั้งชื่อให้กับสุราที่ดีเช่นนี้

หลังออกจากจวนของซัวหยงแล้ว ลิโป้ก็อดนึกถึงซัวเอี๋ยมขึ้นมาไม่ได้ นางเดินทางมายังปิ้งโจวพร้อมกับเขา ซัวหยงเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงว่าชีวิตในโรงเรียนจิ้นหยางของซัวเอี๋ยมผู้งดงามนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

หลังจากสอบถามที่อยู่ของนางแล้ว ลิโป้ก็มาหยุดยืนที่หน้าห้องเรียนเงียบๆ ซัวเอี๋ยมยามนี้สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ นางนั่งหลังตรงอย่างสง่างามพลางถือหนังสือไว้ในมือเล่มหนึ่ง แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะสดใส หากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความสูงศักดิ์ นักเรียนที่อยู่ภายในห้องต่างก็นั่งฟังนางอธิบายอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดั่งคำกล่าวที่ว่า จักรพรรดิแห่งฟ้าดินก็คืออาจารย์ เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ก็เท่ากับเป็นบิดาไปตลอดชีวิต คำสั่งจากอาจารย์นั้นไม่อาจฝ่าฝืนได้

ซัวเอี๋ยมคล้ายกับรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ที่ด้านนอกห้องเรียน ดังนั้นจึงเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจและได้พบเห็นลิโป้ที่กำลังเฝ้ามองดูนางอยู่อย่างเงียบๆ ซัวเอี๋ยมพลันหน้าขึ้นสี สตรีในยุคนี้มักจะปกปิดรูปโฉม แม้ว่านางจะมาเป็นครูสอนหนังสืออยู่ภายในโรงเรียน นางก็ยังสวมผ้าคลุมหน้าทุกคราที่ต้องมาสอน