ตอนที่ 142 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ทัพเฟยฉีเร่งความเร็วขึ้นก่อนจะแยกออกเป็นสามสายคือ ลิโป้ เตียนอุย และหลี่เยี่ยน ทุกคราที่กองทัพพุ่งเข้าจู่โจม เว้นเสียแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ มิเช่นนั้นผู้นำจะต้องเป็นระดับแม่ทัพ ซึ่งทัพเฟยฉีเองก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน ในฐานะแม่ทัพแล้ว คนผู้นั้นย่อมต้องแข็งแกร่ง ใช้ทหารม้าที่เก่งที่สุดทำลายขวัญกำลังใจของศัตรู นี่ก็คือหลักปฏิบัติที่ทัพเฟยฉียึดถือมาโดยตลอด

ทหารม้าพึ่งพาความเร็วเพื่อเสริมแรง แม่ทัพที่อยู่แนวหน้าไม่เพียงแต่เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของกองทัพเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับฝ่ายศัตรู

เหย่ลี่ประหลาดใจเมื่อเห็นทัพฮั่นหันกลับมา เขาแค่นเสียงคำหนึ่งก่อนจะยกชูดาบ นำทหารม้าเซียนเป่ยเข้าต่อสู้

หลังจากไล่ล่าทัพฮั่นอย่างต่อเนื่อง ม้าศึกใต้ร่างของทหารเซียนเป่ยก็เริ่มหายใจแรง ม้าศึกของพวกเขาไม่อาจทนการไล่ล่าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะทางเกือบร้อยลี้ได้ ตรงกันข้ามกับทัพเฟยฉีที่คอยพลัดเปลี่ยนม้าระหว่างทาง การรักษากำลังของม้าศึกนั้นมีความสำคัญในการทำศึกยิ่ง เพราะหากว่าม้าศึกไม่มีแรง พวกมันก็จะวิ่งได้ไม่เต็มฝีเท้า

เมื่อระยะห่างระหว่างสองทัพร่นเข้าใกล้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็พร้อมใจกันหยิบคันธนูออกมาขึ้นสาย

เหย่ลี่ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าทักษะการยิงธนูของทัพฮั่นนั้นร้ายกาจกว่าที่คิด เทียบกับทหารเซียนเป่ยแล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย แต่ที่ทำให้เขาต้องตื่นตระหนกจริงๆก็คือทักษะการขี่ม้าของทัพฮั่น แม้แต่ชาวเซียนเป่ยก็ยังไม่อาจเคลื่อนไหวบนหลังม้าได้อย่างอิสระเช่นนั้น การที่ฝ่ายศัตรูทำได้ แต่ฝ่ายเขาทำไม่ได้ นี่เป็นความรู้สึกที่ยากจะยอมรับได้จริงๆ

ทัพของเหย่ลี่อยู่ห่างจากทัพใหญ่เกินไป ต่อให้ปู้ตู้เกินส่งทัพหนุนมาตอนนี้ เมื่อทัพหนุนนั้นมาถึง เกรงว่าการต่อสู้คงสิ้นสุดลงไปแล้ว เวลานี้มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือ สู้ สู้เพื่อความอยู่รอด!

ฝนธนูที่พุ่งเข้ามาทำให้ทหารเซียนเป่ยตระหนักได้ว่าทักษะขี่ม้ายิงธนูของทัพฮั่นนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง

พอสองฝ่ายพุ่งเข้ารบประชิด ทหารม้าเซียนเป่ยก็ถูกสังหารร่วงจากหลังม้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทางฝั่งทหารเฟยฉีนั้นเกิดความสูญเสียเพียงเล็กน้อย ด้วยการประสานงานระหว่างกัน ทหารม้าเซียนเป่ยจึงยากจะต้านทาน ทัพเฟยฉีพุ่งเข้าไปในทัพเซียนเป่ยด้วยสภาวะดุจพยัคฆ์ลงเขา โดยเฉพาะที่แนวหน้าสุดมีแม่ทัพผู้แข็งแกร่งคอยเบิกทางด้วยแล้วก็ทำให้ทหารเซียนเป่ยต้องขวัญกระเจิง

ทหารม้าเฟยฉีใช้ฝีมือในการรบบอกต่อทหารม้าเซียนเป่ยว่าแบบใดจึงเรียกว่าทหารม้าชั้นยอดเป็นอย่างไร หลังจากปะทะกันได้เพียงชั่วครู่ อารมณ์ฮึกเหิมที่เหย่ลี่เคยมีก็ลดลงทุกขณะจิต ทหารม้าของทัพฮั่นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งจนทำให้เขารู้สึกไร้กำลังจะต่อกร ในการปะทะกันระลอกแรก ทหารม้าของอีกฝ่ายเพียงบาดเจ็บไปไม่กี่คนเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเขามีฝีมืออยู่พอตัวแล้วล่ะก็ เมื่อครู่คงถูกแทงร่วงหลังม้าไปแล้ว ความจริงข้อนี้ทำให้เหย่ลี่ยิ่งรู้สึกแย่

ที่ทำให้เขาตระหนกที่สุดก็คือการประสานงานกันระหว่างการพุ่งจู่โจม โดยปกติแล้วมีเพียงทหารราบเท่านั้นที่จะกระทำได้ ไม่ใช่ว่าทหารม้าเพียงถนัดในการรบพุ่งไม่ใช่หรือ? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ทหารม้าสามารถประสานงานกันได้เช่นนี้?

ศึกนี้เพียงบรรยายได้ว่าเป็นการสู้รบแต่เพียงฝ่ายเดียว ยิ่งเวลาผ่านไป ทหารม้าเซียนเป่ยก็ยิ่งเหลือน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาดูเหมือนทราบว่าฝ่ายตนเองจนตรอกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดหลบหนี หากแต่ต่อสู้จนตัวตาย

"ฆ่า!" เหย่ลี่กู่ร้องพลางควบม้าพุ่งเข้าหาลิโป้ด้วยตาแดงก่ำ ตัดสินจากลักษณะและฝีมือแล้ว เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ของทัพฮั่นอย่างแน่นอน ขอเพียงเด็ดหัวผู้นำของศัตรูได้ ก็ยังอาจจะพอมีหนทางกอบกู้สถานการณ์กลับมา

คิดนั้นง่าย หากแต่ลงมือจริงนั้นทำได้ยาก ความสามารถในการต่อสู้ของลิโป้เวลานี้สามารถบรรยายได้เพียงว่า ไร้คู่ต่อกร ดูเหมือนสมญานามแม่ทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้านั้นเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เวลานี้ ต่อให้ต้องสู้กับกวนอู เขาก็หาหวั่นเกรงไม่ นี่เป็นความเชื่อมั่นในฝีมือ เชื่อมั่นในย่ำอัคคีที่เขาขี่อยู่

เมื่อเห็นเหย่ลี่พุ่งตรงเข้ามา ลิโป้ก็บังคับม้าพุ่งเข้าปะทะ

เหย่ลี่มองดูลิโป้ที่รวดเร็วดั่งสายลมด้วยความตกใจ เขาใจหายวาบ สายตาจับจ้องอยู่ที่ลิโป้ขณะเหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เวลานี้ต่อให้มีศัตรูโผล่ออกมารอบกาย เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว ลิโป้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุด

ผู้คนทั่วไปเพียงใช้ม้าศึกเป็นพาหนะ หากแต่ลิโป้ใช้ความเร็วของม้าศึกในการเสริมพลังโจมตีของทวนที่อยู่ในมือ

ดาบใหญ่ในมือเหย่ลี่ลอยกระเด็นไปทันทีหลังจากปะทะเข้ากับทวนกรีดนภา เหย่ลี่ได้แต่มองดูทวนที่กำลังฟันใส่ทรวงอกของเขาด้วยความสิ้นหวัง ถัดจากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรง ร่างของของร่วงกระแทกพื้นก่อนจะไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีก

เหย่ลี่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเซียนเป่ยตะวันตก มาบัดนี้กลับถูกแม่ทัพชาวฮั่นฟันสังหารในทวนเดียว นี่เป็นความจริงที่น่าพรั่นพรึงยิ่ง ทหารเซียนเป่ยที่ได้เห็นฉากนี้ต่างก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะบินออกจากร่าง เพียงพริบตาเดียว แม่ทัพของพวกเขาก็ร่วงลงสู่พื้น กลายเป็นซากศพเย็นชืดไปเสียแล้ว

ทหารม้าเซียนเป่ยต่างมองดูเงาร่างสูงโปร่งบนหลังม้าศึกสีดำนั้นด้วยความกลัวราวกับพบเห็นเทพสังหาร

เพียงครึ่งชั่วโมงเศษ การต่อสู้ก็สิ้นสุดลง การปะทะระหว่างทหารม้ายุติลงแล้ว มีทหารม้าเซียนเป่ยร้อยกว่าที่หลบหนีไปได้ ส่วนที่เหลือล้วนต้องทิ้งร่างอยู่ที่นี่ สำหรับชาวเซียนเป่ยที่เติบโตขึ้นจากบนหลังม้าแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของพวกเขา

มีทหารม้าเฟยฉีเพียงห้าสิบคนที่เสียชีวิตในการรบ นี่เป็นชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ของทัพเฟยฉี แม้จะเสียเปรียบด้านจำนวน ทว่าพวกเขาก็สามารถทำลายทัพเซียนเป่ยที่มีกำลังมากกว่าได้โดยการสูญเสียเพียงเล็กน้อย เป็นชัยชนะอย่างท่วมท้น แม้แต่ทหารม้าขาวของกองซุนจ้านก็ยังทำไม่ได้ แม้การต่อสู้อย่างต่อเนื่องจะทำให้จำนวนของทหารม้าเฟยฉีลดลงไปมาก แต่ขอเพียงจิตวิญญาณของกองทัพยังอยู่ พวกเขาก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ จิตวิญญาณกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่ว่าทัพใดก็ล้วนเฝ้าใฝ่ฝัน เมื่อทัพใดมีจิตวิญญาณกองทัพ ทัพนั้นก็จะไร้เทียมทาน

"ชาวเซียนเป่ยช่างมีจิตใจห้าวหาญจริงๆ แม้จะเสียกำลังพลไปเกินกว่าครึ่ง พวกเขาก็ยังคงต่อสู้จนถึงที่สุด กองทัพเช่นนี้ ช่างหาได้ยากนัก" ลิโป้ลูบแผงคอย่ำอัคคีพลางทอดถอนใจ

"ใต้เท้า ชาวเซียนเป่ยจิตใจกล้าหาญ แต่ก็ขาดซึ่งความยับยั้งชั่งใจ พวกเขาเพียงพึ่งพาฝีมือส่วนตัว ไม่ว่าพวกเขาเก่งกาจเพียงใด ความสามารถที่แสดงออกมาได้ก็มีจำกัด" กุยแกกล่าว

หลี่เยี่ยนและแม่ทัพนายกองคนอื่นๆมีเพียงชิงชังต่อชาวเซียนเป่ย เป็นความชิงชังที่ได้แต่ต้องล้างด้วยเลือด หนี้เลือดของชาวฮั่น ก็ต้องใช้เลือดของชาวเซียนเป่ยมาล้าง ต่อให้พวกเขาจะสังหารชาวเซียนเป่ยไปมากมายเพียงใด ความชิงชังนี้ก็จะไม่เบาบางลง

เพียงคำ ตื่นตระหนก ยังไม่เพียงพอจะอธิบายความรู้สึกของปู้ตู้เกินในตอนนี้ บนใบหน้าของเขากระทั่งยังปรากฏร่องรอยความกลัวขึ้นมาลางๆ ทหารม้าจำนวนสองพันที่นำทัพโดยนักรบที่อันดับหนึ่งของเซียนเป่ยตะวันตกอย่างเหย่ลี่กลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับทั้งที่ฝ่ายเขามีจำนวนมากกว่าถึงสองเท่า จากปากคำของทหารม้าที่หลบหนีกลับมา เขาไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยว่าทางฝ่ายของทัพฮั่นจะเสียกำลังคนไปไม่ถึงหนึ่งในสิบ อีกทั้งเหย่ลี่ยังถูกแม่ทัพฮั่นฟันสังหารในทวนเดียว

"นี่เป็นทัพม้าแบบใดกัน? ธงรูปเหยี่ยวงั้นรึ ไฉนชาวฮั่นจึงปรากฏทัพม้าที่ร้ายกาจเช่นนี้ขึ้นมาได้กัน? เกรงว่าแม้แต่ทัพม้าที่ถานสือหวยเคยบัญชาการในครั้งนั้นก็ยังไม่ร้ายกาจถึงเพียงนี้" ปู้ตู้เกินพึมพำ "ทหารม้าหวังถิงเองก็ถูกทัพม้าพิสดารนี้ทำลายจนย่อยยับ"

ศึกของทหารม้ามักเป็นการปะทะกันด้วยการรบพุ่ง ปู้ตู้เกินยากจะจิตนาการได้ว่าทหารม้าของอีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใดถึงสามารถสร้างผลงานการรบเช่นนี้ออกมาได้

"ท่านประมุข หากสามารถล่อให้ทัพฮั่นเข้ามาติดกับและล้อมด้วยทัพใหญ่แล้วล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องกวาดล้างพวกมันได้แน่" นักรบเซียนเป่ยผู้หนึ่งพลันเสนอขึ้นมา