เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงก็ตกตะลึง เกรงว่านี่ก็คือวัตถุประสงค์ในการเรียกทุกคนมาประชุมวันนี้ เป็นการบอกต่อทั้งหมดว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ละเมิดกฏหมายจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
ความอวดดีของหม่าอวี้ในตอนที่อยู่ในเหลาซื่อฟางทำให้เขาต้องทนทุกข์อย่างสาหัสในเวลานี้
ที่ด้านนอกประตูเมืองตะวันตก มีผู้คนจำนวนนับพันมารวมตัวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นภายในเหลาซื่อฟางได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว หากแต่ทางด้านจวนเจ้าเมืองเองก็ตอบสนองได้รวดเร็วเช่นกัน วันต่อมาก็มีประกาศมาติดเพื่อแจ้งให้ชาวเมืองทราบถึงการตัดสินโทษของทูตจากเองจิ๋ว
ชาวเมืองทั่วไปต่างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของทูตตัวแทนจากเองจิ๋วผู้สูงส่ง ขณะเดียวกันก็เกิดความคาดหวังให้จวนเจ้าเมืองปิ้งโจวจัดการกับคณะทูตที่วางอำนาจบาตรใหญ่นี้ พวกเขาไม่ได้คิดกังวลมากนักว่าหลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างปิ้งโจวและเองจิ๋วจะเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา พวกเขาอาศัยอยู่ในจิ้นหยาง ดังนั้นจึงต้องการให้สถานที่นี้สงบสุขและยุติธรรม
หลังจากพวกทหารคุ้มกันถูกตัดศีรษะทั้งหมดแล้ว ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเริ่ม ไม่นานก็เกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ยามนี้ ภาพลักษณ์ของจวนเจ้าเมืองปิ้งโจวในใจของผู้คนได้ยกระดับสูงขึ้นอีกครั้ง
นับตั้งแต่เก๊งอวดเห็นประกาศที่ติดอยู่ในเมือง ในใจเขาก็ยากจะสงบลงได้ ปิ้งโจวลงดาบต่อทูตเองจิ๋วเพียงเพราะหัวหมู่คนหนึ่งจริงๆ นี่ต้องมีความกล้าเพียงใดถึงจะกระทำเช่นนี้ได้? ในการรับมือกับเจ้าเมืองด้วยกันย่อมไม่อาจกระทำการโดยประมาท ทว่าลิโป้กลับตัดสินอย่างเด็ดขาด กระทำการอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา กระทั่งประกาศต่อทุกคนภายในเมือง
เสียงโห่ร้องของเหล่าชาวเมืองทำให้เก๊งอวดคล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็หน้าแปรเปลี่ยนเมื่อนึกได้ถึงการบรรยายเกี่ยวกับราษฏรในหนังสือพิมพ์ต้าฮั่น
"ประชาชนเหมือนน้ำ ผู้นำเหมือนเรือ น้ำทำให้เรือลอยได้ ก็ทำให้จมได้เช่นกัน" เก๊งอวดพึมพำ
หม่าอวี้ ทูตตัวแทนจากเองจิ๋ว เขาถูกเจ้าหน้าที่ลงไม้ฟาดโบยไปยี่สิบไม้ต่อหน้าธารกำนัล สภาพอันน่าสังเวชของเขาทำให้ทูตจากแคว้นอื่นไม่อาจมองดูโดยตรง ในใจเกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
สำหรับอ้วนสุดที่อยู่ในเองจิ๋ว ลิโป้ไม่ได้กังวลสนใจอะไร แม้ว่ากระแสแห่งประวัติศาตร์จะการเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะการมาของเขา กระนั้นความทะเยอทะยานที่ต้องการจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ของอ้วนสุดก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน เมื่อมีตราหยกแผ่นดิน ครอบครองเองจิ๋วและอิจิ๋ว เขาก็มั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว หางจิ้งจอกของอ้วนสุดจะต้องโผล่ออกมาแน่ แต่ก่อนหน้านั้น เขายังมีบางสิ่งที่ต้องจัดการ นั่นก็คือขุมทรัพย์ที่ซ่อนเอาไว้ของเตียวเหยียง
ปิ้งโจวค่อยๆมั่งคั่งรุ่งเรืองขึ้นภายใต้การปรับเปลี่ยนอย่างขยันขันแข็งของลิโป้ กระนั้นเมื่อเทียบกับเจ้าเมืองอื่นๆแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินเดือนสำหรับกองทัพ นั่นเป็นค่าใช้จ่ายอันมหาศาล ลิโป้ทราบว่าเจ้าเมืองคนอื่นๆอาจจะคิดว่าเขาโง่เขลา แต่ก็เป็นพฤติกรรมนี้ของเขาเองที่เอาชนะใจทหารในกองทัพ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเห็นได้ชัด
ตามความคิดของลิโป้แล้ว ปิ้งโจวควรพึ่งพาเศรษฐกิจในการค่อยๆเติบโตขึ้น ใช้เศรษฐกิจในการขับเคลื่อนปิ้งโจว ไม่ใช่การเก็บภาษีจากราษฏร เมื่อเศรษฐกิจของปิ้งโจวพัฒนขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง เขาก็จะลดหย่อนหรือกระทั่งงดเว้นภาษีให้ราษฏรทั้งหมด แต่ในขณะนี้ เรื่องนั้นยังคงเป็นเพียงความคิดในอุดมคติ เพราะภาษีของประชาชนในตอนนี้ก็มีส่วนช่วยในด้านรายรับให้จวนเจ้าเมืองนำไปพัฒนาด้านอื่นๆต่อไป
ปิ้งโจวยามนี้ไม่ได้ดูสงบมั่นคงและปอลดภัยดังที่เห็น ลิโป้รู้สึกได้ว่าอีกไม่ช้าจะต้องมีสงครามเกิดขึ้น สิ่งที่เขาต้องทำก็คือกักตุนอาหารและเสบียงไว้ให้มากที่สุดสำหรับใช้ในยามสงคราม
"นายท่าน ทูตตัวแทนจากชีจิ๋ว ซุนเขียน ขอเข้าพบขอรับ"
ลิโป้วางตำราพิชัยสงครามในมือลง จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย "ผ่านมาเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว ทูตจากชีจิ๋วยังไม่กลับไปอีกหรือ? ให้เข้ามาได้"
หลังจากซุนเขียนทำความเคารพแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองเห็นหนังสือจำนวนมากภายในห้อง หัวใจรู้สึกคันอย่างยากที่จะเกา บัณฑิตล้วนรักในการอ่าน เขาเกิดความอยากรู้ว่าในห้องหนังสือของลิโป้นั้นเป็นหนังสือประเภทใด ซัวหยงเองก็อยู่ภายในจิ้นหยาง ซึ่งหนังสือเหล่านี้ก็อาจจะเป็นของสะสมของซัวหยง
"ใต้เท้าซุนมาหาข้าเช่นนี้ ไม่ทราบมีเรื่องใด?" ลิโป้เอ่ยถาม เขารู้สึกพึงพอใจกับท่าทางการตอบสนองของซุนเขียนหลังจากได้เห็นหนังสือเหล่านี้ เกรงว่าขอเพียงเป็นผู้รักในการอ่าน หากได้มาเห็นหนังสือเหล่านี้คงจะมีท่าทางตกตะลึงดุจเดียวกัน
เมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่ใคร่ต้อนรับสักเท่าใดของลิโป้ ซุนเขียนก็ยิ้มบางก่อนจะกุมมือกล่าวว่า "ในอดีต ยามกองทัพโจโฉบุกโจมตีชีจิ๋ว จิ้นโหวได้เดินทางไปช่วยเหลือชีจิ๋วโดยไม่เกรงกลัวความยากลำบาก ชาวชีจิ๋วไม่เคยลืมเลือนเรื่องนี้"
ลิโป้แค่นเสียง "หรือว่าใต้เท้าซุนลืมเลือนไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองเพงเสีย?"
ซุนเขียนกล่าวว่า "จิ้นโหว เรื่องราวในครั้งนั้นไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าเล่า แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดเพราะคำพูดของผู้อื่น"
"เข้าใจผิดเพราะคำพูดของผู้อื่นงั้นรึ? ฮึ่ม นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ว่ามา ท่านมาพบข้า มีเรื่องอะไร?" ลิโป้กล่าวอย่างเย็นชา
"จิ้นโหว ที่ชีจิ๋วนั้นมีม้าศึกอยู่ไม่มาก ขณะที่ปิ้งโจวมีม้าศึกอยู่เป็นอันมาก ใต้เท้าเล่าต้องการจะซื้อม้าศึกจำนวนสามพันตัวไว้เพื่อป้องกันชีจิ๋วจากกองทัพของโจโฉ ในอดีต จิ้นโหวเคยเดินทางไปยังชีจิ๋วด้วยตนเอง ทำให้ราษฏรทั้งหลายสำนึกขอบคุณ เดาว่าจิ้นโหวย่อมไม่ต้องการเห็นชีจิ๋วถูกทำลายลงเพราะกองทัพของโจโฉในอนาคตเช่นกัน กองทัพของโจโฉแข็งแกร่งยากต่อกร ดังนั้นใต้เท้าเล่าจึงส่งข้าน้อยมาเพื่อขอซื้อม้าศึกจากปิ้งโจว หวังว่าจิ้นโหวจะสามารถตอบตกลง" ซุนเขียนกุมมือกล่าว ในช่วงเกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้เดินสำรวจเมืองและพบเจอกับอุปสรรคอยู่หลายครั้ง หลังจากทราบเหตุการณ์ที่ลิโป้ประสบพบเจอในชีจิ๋ว เขาก็ได้รับสายตาเย็นชาจากผู้คน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่า หากต้องการซื้อหาม้าศึก เขาก็ต้องซื้อผ่านทางตระกูลบิ
เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลบิในชีจิ๋วครั้งนั้น หากว่าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คงจะไม่ขายม้าศึกให้กับชีจิ๋วอย่างแน่นอน ปิ้งโจวไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะขายม้าศึกไม่ได้ เพราะเจ้าเมืองต่างๆล้วนต้องการม้าศึกจากปิ้งโจว ต่อให้ตัดช่องทางค้าขายกับเล่าปี่ไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย แม้ว่าเล่าปี่จะต้องการซื้อม้าศึกจากที่อื่น ทว่าดินแดนที่ส่งออกม้าศึกหลักๆก็คือ ปิ้งโจว เหลียงโจว และอิวจิ๋ว หลังจากเกิดเรื่องของตั๋งโต๊ะขึ้น ภายในเหลียงโจวก็เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นไม่จบสิ้น ฉางอันตกอยู่ในกำมือกุยกี ลิฉุยและคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อซื้อม้าศึกจากเหลียงโจว ขณะที่สี่เมืองใหญ่ของอิวจิ๋วก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของลิโป้ ดังนั้นจึงมีเพียงต้องติดต่อขอซื้อมาศึกจากทางปิ้งโจวเท่านั้น
กล่าวได้ว่าการเดินทางมายังปิ้งโจวของซุนเขียนในครั้งนี้ได้แบกรับภาระสำคัญเอาไว้ด้วย หลังจากผ่านสงครามในชีจิ๋ว เล่าปี่ก็มองเห็นความสำคัญของทหารม้า ต่อให้ต้องการจะใช้ทหารราบสู้กับทหารม้า ก็จำเป็นต้องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งดุจเดียวกับทหารเซียนเติง และแน่นอนว่าอ้วนเสี้ยวย่อมไม่โง่เขลาพอจะแพร่งพรายวิธีการฝึกฝนทหารเซียนเติงให้ผู้ใดทราบ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้องการจะพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งขึ้น ปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็คือทัพม้า
บทบาทของทหารม้าในสนามรบนั้นไม่มีผู้ใดกังขา จะด้วยเพื่อสอดแนมศัตรู ลอบบุกค่ายศัตรู ตลบหลังทัพศัตรู หรือว่าพิชิตชัยซึ่งหน้าในสนามรบก็ล้วนต้องพึ่งทหารม้าเป็นสำคัญ ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างราชสำนักและกบฏโจรโพกผ้าเหลือง โจรโพกผ้าเหลืองส่วนใหญ่เป็นพลเดินเท้า ทั้งยังไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน ดังนั้นทัพหลวงจึงมีคววามได้เปรียบกว่าในหลายๆด้าน เมื่อเจ้าเมืองต่างเริ่มก่อตั้งทัพม้าของตัวเอง หากต้องการจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในแผ่นดินที่ลุกโชนไปด้วยไฟสงครามนี้ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องมีทหารม้ามากเพียงพอ มิเช่นนั้นท่านก็จะทำได้เพียงตามเต้นไปตามแผนการของศัตรู
เล่าปี่ต้องการปกป้องชีจิ๋ว และทำให้ชีจิ๋วเป็นรากฐานในการตั้งตัว จากนั้นจึงค่อยๆคิดอ่านต่อไป ทว่าชีจิ๋วนั้นมีอาณาเขตติดกับมณฑลอื่นถึงสี่มณฑล เมื่อครั้งที่โจโฉบุกโจมตีชีจิ๋ว อ้วนสุดก็ฉวยโอกาสยึดเมืองกองเหลงไป ขณะที่จงป้าซึ่งอยู่ที่ลงเสียก็ไม่รับคำสั่งจากจวนเจ้าเมืองชีจิ๋ว กล่าวได้ว่าชีจิ๋วในยามนี้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่ง หากว่าเล่าปี่ต้องการจะยืนหยัดอยู่ในชีจิ๋วได้อย่างมั่นคง เขาก็จำเป็นต้องมีทัพแกร่งอยู่ในมือ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved