ตอนที่ 220 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

สำหรับเรื่องการจัดสรรที่ดินนั้น ความคิดของตันเทียนคือค่อยๆดำเนินการ โดยค่อยๆลดอิทธิพลของตระกูลใหญ่ลงทีละน้อย มิเช่นนั้น ด้วยอิทธิพลที่มีอยู่ เหล่าตระกูลใหญ่ก็จะแอบยักยอกที่ดิน ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั่วไปกลับไปเป็นเหมือนเดิม หากว่าต้องการจะยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านจริงๆ ก็จะต้องไม่ใช้ยาแรง จะดีกว่าหรือไม่หากค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆโดยที่ไม่ทำให้เหล่าตระกูลใหญ่รู้สึกขุ่นเคือง

กุยแกรู้สึกโชคดีที่ปิ้งโจวได้รับความภักดีจากตันเทียน ผู้มีความสามารถเช่นนี้ หลังจากที่ได้แสดงความสามารถในปิ้งโจวแล้ว เขาจะสามารถสร้างผลกระทบต่อทั้งดินแดนได้เลยทีเดียว

"เจ้าเมืองตันช่างมีวิสัยทัศน์นัก หลังจากนายท่านได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ท่านจะต้องได้ระบการใช้สอยอย่างแน่นอน" หลังจากได้สนทนากัน กุยแกก็อดกล่าวออกมาไม่ได้

สีหน้าของตันเทียนเต็มไปด้วยความยินดี ที่เขากล่าววาจาเหล่านี้ก้เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจจากกุยแกเพื่อให้เขาช่วยแนะนำตนต่อลิโป้

"ใต้เท้ากุย เชิญ ภายในจวนไม่มีสุราเลิศรส ข้าเคยได้ยินอยู่บ่อยๆว่าจิ้นหยางนั้นสมีสุราชั้นเลิศอยู่ หลังจากที่ไปถึงจิ้นหยาง ข้าน้อยจะขอเชิญใต้เท้ากุยสักครา" ตันเทียนกล่าว

...........................

หลังจากอ้วนเสี้ยวทราบว่ากองซุนจ้านนำทัพมาด้วยตัวเอง ขาก็ทำการรวบรวมไพร่พล หากว่ากองซุนจ้านตั้งมั่นว่าจะตีฝ่าให้ได้ อาศัยทหารเพียงสองหมื่นห้าพันคนอาจจะยังไม่พอ ดังนั้นไม่สู้เปิดประตูปล่อยเมืองว่างแล้วยกทัพออกไปสู้ด้านนอกจะดีเสียกว่า

กองทัพกิจิ๋วถอยร่น แต่กองซุนจ้านไม่มีความคิดจะเข้ายึดเมือง เขาออกคำสั่งให้กวนจิ้งนำทหารห้าพันคนออกจากเมือง เตรียมจะทำศึกกับอ้วนเสี้ยว เขาต้องการเอาชนะทัพกิจิ๋วโดยเร็วที่สุด ความร้ายกาจของเหยียนโร่วนั้นนับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของกองซุนจ้านไปบ้าง

หลังจากเถี่ยนยู่ได้ทราบความคิดของกองซุนจ้าน เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ จากการศึกในอดีตจะเห็นได้ว่าอ้วนเสี้ยวไม่ใช่คนไร้ความสามารถ คนที่สามารถยึดครองกิจิ๋วและเฉงจิ๋วได้เกือบทั้งหมดย่อมไม่ใช่คนธรรมดา อ้วนเสี้ยวไม่มีทางที่จะไม่ทราบถึงความร้ายกาจของกองทหารม้าขาว แม้กระนั้นเขากลับยังเคลื่อนทัพออกมาตั้งทัพรอที่นอกเมือง ดังนั้นคงต้องมีที่ถือดีบางอย่างอยู่เป็นแน่ เพียงแต่ไม่ทราบว่าที่เขาคิดพึ่งพิงนั้นเป็นสิ่งใด

หลังจากรวบรวมแม่ทัพนายกองใต้บัญชามาแล้ว กองซุนจ้านก็เตรียมจะปะทะกับทัพกิจิ๋วโดยตรง เขาและจูล่งจะนำทหารม้าขาวบุกโจมตีทัพกิจิ๋วก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้ทหารราบไล่ตามตี นี่เป็นกลุยุทธ์ที่กองซุนจ้านชอบใช้ ในสนามรบนั้นทหารม้าขาวไร้ผู้ต้านทานติด ขณะที่ทหารของทัพกิจิ๋วส่วนใหญ่เป็นทหารราบ อาศัยความเก่งกาจของทหารม้าขาวก็เพียงพอจะฉีกกระบวนทัพของอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆแล้ว

"นายท่าน การเคลื่อนไหวของทัพกิจิ๋วนั้นดูแปลกประหลาด ดังนั้นจึงควรกระทำการด้วยความรอบคอบขอรับ" เถียนยู่กระตุ้นเตือน

กองซุนจ้านกระเหี้ยนกระหือที่จะปราบพิชิตทัพกิจิ๋ว แม้ว่าทางด้านทัพเหยียนโร่วนั้นจะมีลูกพี่ลูกน้องของเขา กองซุนหองและเต๊งไก๋คอยรับมืออยู่ กระนั้นเหยียนโร่วก็มีศักดิ์ศรีบารมีอยู่ในหมู่ชาวอูหวนไม่น้อย ทั้งยังมีความคุ้นชินกับยุทธวิธีของทัพอิวจิ๋วเป็นอย่างดี กองซุนจ้านจึงไม่อาจวางใจได้

"กั๋วลั่ง[1] แม้ว่าทัพกิจิ๋วจะร้ายกาจ แต่หทารม้าขาวของข้าเองก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน เคยปราบสะกดชาวอูหวน และต่อให้ปะทะกับพวกเซียนเป่ยก็ไม่เพลี่ยงพล้ำ อีกอย่างทหารม้าของทัพกิจิ๋วก็เคยพ่ายแพ้ในมือแม่ทัพเตียวมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีที่ใดให้ต้องกังวล" กองซุนจ้านกล่าวอย่างถือดี เขาไม่ได้ให้ค่าทัพกิจิ๋วที่เบื้องหน้ามากนัก ในอดีตเขาเคยทำศึกกับอ้วนเสี้ยวมาก่อน แม้ว่าจะชนะเพียงไม่กี่ครั้ง และพ่ายแพ้อยู่หลายครั้ง หากแต่ในเวลานี้เขามีความมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถเอาชนะทัพกิจิ๋วได้

[1 ชื่อรองของเถียนยู่]

เถียนยู่นิ่งเงียบ คำพูดของกองวุนจ้านเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เวลานี้อิวจิ๋วต้องรับทั้งศึกนอกและศึกใน มีเพียงการเร่งเอาชนะทัพกิจิ๋วได้เท่านั้นจึงจะสามารถหันไปจัดการกับเหยียนโร่วได้อย่างวางใจ เขาติดตามกองซุนจ้านมานาน และเมื่อกองซุนจ้านตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจกลางคันอีก

"ทหารม้าขาวรับคำสั่ง ติดตามแม่ทัพผู้นี้ไปทำลายทัพข้าศึก!" กองซุนจ้านตะโกนเสียงดัง เขาโบกหอกในมือ ทหารม้าขาวจำนวนสามพันก็ติดตามเขา เข่นฆ่าเข้าใส่ทัพกิจิ๋ว

อ้วนเสี้ยวเมื่อเห็นสถานการณ์ดำเนินไปดั่งที่เหล่าที่ปรึกษาคาดการณ์เอาไว้ก็รรู้สึกลิงโลด มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะศึกนี้มากยิ่งขึ้น ขอเพียงเอาชนะทหารม้าขาวได้ ทัพอิวจิ๋วก็จะพ่ายแพ้โดยไม่ทันได้ต่อสู้

งันเหลียงนำทหารม้าหนึ่งพันคนออกไปต้านทานเอาไว้ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ กระนั้นทหารม้าทั้งหนึ่งพันนี้ก็คัดสรรจากทัพม้ามาเป็นอย่่างดี นี่เป็นทหารม้าที่เขาตรากตรำฝึกฝนขึ้นมา สำหรับแม่ทัพผู้หนึ่งแล้ว ทหารม้านั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากว่าตนเองขี่ม้าคอยบัญชาการ ขณะที่ทหารติดตามล้วนแต่เป็นทหารราบ นั่นก็จะสร้างความรู้สึกไม่ดีแก่ผู้คน อีกทั้งการเคลื่อนทัพที่เชื่องช้าของทหารราบก็ไม่สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง

"ทหารม้าขาว ฆ่า!" เมื่อเข้าใกล้ทัพม้าที่นำโดยงันเหลียงถึงระดับแล้ว ทหารม้าขาวก็เปลี่ยนเป็นถือคันธนู ทหารม้าขาวทุกนายล้วนช่ำชองวิชาขี่ม้ายิงธนู เมื่อเผชิญกับทหารม้าของศัตรู วิชายิงธนูนับว่ามีความสำคัญยิ่ง ทัพม้าที่มีทักษะยิงธนูเหนือกว่าก็จะสามารถสังหารข้าศึกได้มากมายก่อนที่จะเข้าปะทะ

ทักาะการขี่ม้ายิงธนูของทหารม้าขาวนั้นได้รับการขัดเกลาผ่านสนามรบจริง ความเคลื่อนไหวในท่าขึ้นสายธนูนั้นแทบจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ตรงกันข้ามกัลทหารม้าของงันเหลียงที่ดูเหมือนจะมือไม้ปั่นป่วนอยู่บ้าง ขณะที่พวกเขากำลังรีบเปลี่ยนไปใช้คันธนู ฝนธนูห่าแรกก็บินพุ่งมาจากกองทหารม้าขาวแล้ว

แม้ว่าทหารม้าของทัพกิจิ๋วจะได้รับการคัดเลือกจากงันเหลียงมาอย่างดีหากแต่ในแง่ของประสบการณ์ในการสู้ของทหารม้านั้น พวกเขายังคงตามหลังทหารม้าขาวอีกไกล

งันเหลียงเหวี่ยงง้าวปีดป้องลูกธนูที่ยิงเข้ามา ในปากรู้สึกขมปร่าเล็กน้อย ครั้งก่อนตอนที่ต่อสู้กับทหารม้าขาว ทัพม้าของเขาก็เกิดการสูญเสียอย่างหนักเพราะฝีมือยิงธนูเช่นนี้ ยามนี้เมื่อฉากในอดีตหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ อีกฝ่ายมีกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิมสามเท่า และฝนธนูก็หนาแน่นยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน ก่อนที่จะทันได้รบพุ่งกับทหารม้าขาว ทางฝั่งของเขาก็เสียทหารม้าไปแล้วสามร้อยกว่าคน

อ้วนเสี้ยวที่ชมดูอยู่จากระยะไกล เมื่อได้เห็นฉากนี้ หางตาของเขาก็กระตุกขึ้นเบาๆ ฝีมือการยิงธนูของทหารม้าขาวสร้างความตกตะลึงแก่เขา หากปล่อยให้ทหารม้าเช่นนี้บุกเข้ามาในทัพกิจิ๋วได้ เกรงว่านั่นคงจะเป็นฝันร้ายของกองทัพเขาแล้ว

"ให้โกลำนำทหารห้าพันไปปิดทางถอยของทหารม้าขาว อย่าให้พวกมันหนีไปได้เด็ดขาด" อ้วนเสี้ยวสั่งการ

เมื่อกองซุนจ้านได้เห็นฉากนี้ ในใจก็นิ่งตะลึง ความอ่อนแอของทหารม้าทัพกิจิ๋วทำให้ความกังวลเสี้ยวหนึ่งที่เคยติดอยู่ในใจสลายหายไป เมื่อไม่มีทหารม้าเหล่านี้แล้ว ทัพกิจิ๋วยังจะต้านทานทหารม้าขาวของเขาได้อย่างไร?

จูล่งสะบัดหอกแทงสังหารทหารม้ากิจิ๋วคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ความเคลื่อนไหวของเขาทั้งรวดเร็วและแม่นยำ ยามเมื่อหันไปมองดูทัพกิจิ๋วที่เบื้องหน้าแล้ว ในใจของเขาก็เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ทัพม้ากิจิ๋วก็พ่ายแพ้ต่อทหารม้าขาว ขณะที่ทางด้านของทหารม้าขาวสูญเสียกำลังไปเพียงร้อยกว่าคน ความเสียหายเพียงนี้ย่อมเป็นชัยชนะครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

งันเหลียงควบม้าหนีกลับไปรวมกับทัพใหญ่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง บัดนี้เขากลายเป็นแม่ทัพพ่ายศึกไปแล้ว เขาได้แต่ฝากความหวังในการล้างแค้นไว้กับจ๊กยี่ เขาเองก็ตระหนักถึงพลังรบของทหารเซียนเติงดี

หลังจากส่งทหารม้าออกมาพ่ายแพ้ ที่ส่งตามออกมาก็คือทหารราบ เห็นเช่นนั้น กองซุนจ้านก็คล้ายกับจะมองเห็นทัพกลางของอ้วนเสี้ยวแล้ว ในใจยิ่งมายิ่งรู้สึกดูถูกอ้วนเสี้ยว รู้ทั้งรู้ว่าทหารม้าขาวร้ายกาจเพียงใด แต่เขาก็ยังกล้าส่งทหารชั้นเลวออกมาสู้กับตน ที่น่าหัวร่อยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากทหารม้าแล้ว ที่ส่งออกมากลับเป็นมือธนู เขาไม่ทราบจริงๆหรือว่า ยามทหารธนูเผชิญกับทหารม้านั้นจะมีจุดจบเป็นอย่างไร?

ทหารม้าขาวต่างกำลังฮึกเหิมกันสุดขีด การหลบลูกธนูนั้นถือเป็นการฝึกฝนประจำวันสำหรับพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับฝนธนู พวกเขาก็จะรับมือด้วยความเยือกเย็น ขอเพียงหลบรอดธนูระลอกแรกไปได้ ชะตากรรมที่รอคอยมือธนูอยู่ก็คือความตาย เป็นการฆ่าล้างแต่เพียงฝ่ายเดียว ทหารธนูนั้นจะอ่อนแอที่สุดในการสู้รบระยะประชิด