ตอนที่ 122 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"แม่ทัพโจ ด่านเยี่ยนเหมินอาจจะต้านทานไว้ไม่ไหวแล้ว ท่านไปเถอะ เก็บร่างที่มีประโยชน์เอาไว้ล้างแค้นให้ข้าในภายหน้า" ดวงตาของเซียวเหยียนฉายแววเศร้า นับตั้งแต่ชนเผ่าเซียนเป่ยรวมกำลังบุกตีด่านแห่งนี้ เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าเป้าหมายของชาวเซียนเป่ยคงไม่ธรรมดา

"แม่ทัพเซียว...." โจเส็งเลื่อมใสเซียวเหยียนมากหลังจากได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาสักพัก

"ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอก แม่ทัพผู้นี้เฝ้าด่านเยี่ยนเหมินมาสิบกว่าปีแล้ว หากด่านแห่งนี้ถูกตีแตก ผู้คนภายในด่านคงไม่รอด"

โจเส็งรู้สึกได้ถึงความรันทดในวาจาของเซียวเหยียน ชวนให้ผู้คนนึกถึงบทกลอนของจิงเคอ[1] ครั้งนี้ชนเผ่าเซียนเป่ยโจมตีดุดันยิ่งกว่าทุกครา ทหารเซียนเป่ยปีนบันไดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ด่านเยี่ยนเหมินที่ขาดซึ่งเครื่องมือป้องกันก้เปรียบเสมือนเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ

[1 "วายุเอ๋ย วายุเอ๋ย โบกเย็นชา

สายธารา น้ำอี้ อันหนาวสั่น

ถึงกาลคราว ผู้กล้า จากไปพลัน

ดวงชีวัน คงลาลับ ไม่กลับเอย"]

โจเส็งถอนหายใจ "ดูเหมือนด่านเยี่ยนเหมินจะต้านไม่อยู่แล้วจริงๆ หากโลกหลังความตายมีจริง ข้าก็อยากจะขอเป็นสหายกับแม่ทัพเซียว"

เซียวเหยียนตอบ "ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น"

สงครามอันดุเดือดทำให้แม่ทัพทั้งสองสะท้อนใจ สงครามครั้งนี้ทำให้พวกเขาละทิ้งอคติที่มี ทำให้เซียวเหยียนลดความรู้สึกต่อต้านที่มีต่อจวนเจ้าเมือง ด่านเยี่ยนเหมินอยู่ในอาณาเขตของปิ้งโจว หากไม่มีการสนับสนุนจากจวนเจ้าเมือง เกรงว่าด่านแห่งนี้คงถูกตีแตกไปนานแล้ว

"พวกเราจะปกป้องด่านแห่งนี้ด้วยกัน พวกเราจะไม่ยอมแพ้ตราบจนวินาทีสุดท้าย!" โจเส็งกล่าว

มุมปากของเซียวเหยียนกระตุกเบาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวเกลี้ยกล่อมออกไป เขาเองก็ชื่นชมต่อโจเส็ง โดยเฉพาะฝีมือยิงธนูของเขาที่กล่าวได้ว่าสุดยอด นายกองและนายกองพันของเซียนเป่ยหลายคนก็ตายด้วยน้ำมือของเขา

ทหารเซียนเป่ยสู้รบอย่างห้าวหาญ พวกเขาให้ความสำคัญกับความกล้าและต่อสู้จนตัวตายโดยไม่ถอยหลัง บ่อยครั้งต้องใช้ทหารมากถึงสองคนเพื่อรับมือกับทหารเซียนเป่ย

ทางฝ่ายทหารรักษาด่านเองก็สู้ไม่ถอย พวกเขาจะต้องยืนหยัดเอาไว้จนกว่าทัพหนุนจะมาถึงให้ได้ เพื่อให้ทหารที่บาดเจ็บได้รับการรักษา เพื่อปกป้องชาวเมืองจากภัยสงคราม และพวกเขาก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ

ทหารเซียนเป่ยคนหนึ่งใช้ดาบแทงทะลุหน้าอกของทหารฮั่น ทหารฮั่นนายนั้นตาแดงฉาน จากนั้นจึงเค้นเอาพลังเฮือกสุดท้ายผลักทหารเซียนเป่ยตกกำแพงไป ทำให้ทหารเซียนเป่ยที่ปีนบันไดตามมาพลัดตกไปตามกัน

ต่อหน้าความเป็นความตายแล้ว ทหารรักษาด่านก็ระเบิดพลังต่อสู้ออกมามากกว่ายามปกติ ตราบที่พวกเขายังมีลมหายใจ พวกเขาก็จะไม่ปลอ่ยให้ชาวเซียนเป่ยผ่านเข้าด่านไปได้

ด้วยจำนวนที่แตกต่างกันเกินไป ไม่นานชาวเซียนเป่ยก็สามารถรุกคืบขึ้นมาบนกำแพงด่านได้

"ฝากบอกต่อใต้เท้าลิ ชาวเซียนเป่ยมีใจทะเยอทะยานดั่งหมาป่า สมควรกำจัดให้สิ้น!" เซียวเหยียนคล้ายกล่าวสั่งเสียต่อโจเส็ง

"แม่ทัพเซียว ให้พี่น้องทั้งหลายอดทนอีกสักหน่อยเถอะ ทัพหนุนใกล้มาถึงแล้ว" โจเส็งกล่าวเกลี้ยกล่อม

"ทัพหนุน?" เซียวเหยียนเผยยิ้มเศร้าสร้อย เขาส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินมุงหน้าไปยังแนวหน้า ภายใต้ดวงตะวันที่ใกล้ลาลับ เงาร่างของเขาค่อยๆดูห่างไกลออกไป ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง

.....................

ตอนที่โกซุ่นนำทหารหน่วยทะลวงค่ายแปดร้อยนายเร่งรุดมาล่วงหน้า ชาวเซียนเป่ยก็ยึดครองกำแพงได้อย่างมั่นคงแล้ว พวกเขายึดครองพื้นที่พลางต่อสู้กับทหารรักษาด่านที่พยายามช่วงชิงพื้นที่กลับ คอยปกป้องบันไดทางด้านหลังเพื่อให้ทหารเซียนเป่ยขึ้นมาเสริมกำลัง

"ฆ่า!" โกซุ่นคำราม เขาแบ่งหน่วยทะลวงค่ายออกเป็นสองกลุ่มแยกย้ายกันไปสนับสนุนทหารรักษาด่าน

"แม่ทัพเซียว ทัพหนุนมาแล้ว ทัพหนุนมาแล้ว!" โจเส็งยิงธนูสังหารทหารเซียนเป่ยที่กำลังจะแทงเซียวเหยียนจากทางด้านหลัง

เซียวเหยียนตาเป็นประกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการมาถึงของทัหนุนก็คือข่าวที่ดีที่สุดสำหรับทหารรักษาด่าน หลังจากรอคอยมาหลายวัน พวกเขาก็เริ่มจะถอดใจเรื่องทัพหนุนไปบ้างแล้ว การบาดเจ็บล้มตายของเหล่าสหายทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง ร่างกายของพวกเขาเหนื่อยล้าขึ้นทุกคราที่กวัดแกว่งดาบในมือ

เสียงตะโกนของโจเส็งดังก้องเข้าไปในใจของเหล่าทหารรักษาด่าน จากนั้นพวกเขาจึงระเบิดพลังตะโกนต่อกันไปเป็นทอดๆด้วยความตื่นเต้น ขวัญกำลังเพิ่มพูนขึ้นดุจทำนบแตก เมื่อทัพหนุนมาถึง พวกเขาก็ยังมีหวัง

เมื่อยังมีหวังก็ไม่มีผู้ใดอยากจะตาย

ทหารหน่วยทะลวงค่ายคล้ายกวาดเป็นเครื่องบดเนื้อในสนามรบ ทุกคราที่พวกเขาเคลื่อนไปที่ใด ข้าศึกที่ตำแหน่งนั้นก็จะทอดร่างกายเป็นศพเกลื่อนกล่น ชาวเซียนเป่ยให้ความสำคัญฝีมือการต่อสู้ส่วนตัว ขณะที่ทหารหน่วยทะลวงค่ายมุ่งเน้นไปที่การประสานงาน หลังจากผ่านการปรับปรุงมาแล้ว อานุภาพที่พวกเขาสำแดงออกมาก็บรรลุถึงขีดขั้นใหม่

ไม่นานทหารเซียนเป่ยก็ค้นพบเรื่องน่าเศร้าว่าความกล้าหาญของพวกเขากลายเป็นไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารหน่วยทะลวงค่าย ทหารเหล่านี้ต่อสู้ด้วยวิธีที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ทันทีที่ทหารหน่วยทะลวงค่ายเข้าปะทะ ทหารเซียนเป่ยหลายคนก็นอนจมกองเลือด อาวุธของชาวเซียนเป่ยที่ตอบโต้กลับทำได้เพียงฟันถูกโล่ของพวกเขา เมื่อมีโล่คอยคุ้มกาย ชาวเซียนเป่ยก็ยากจะทำอะไรพวกเขาได้ อีกทั้งการโจมตีจากพลหอกที่อยู่ด้านหลังพลโล่ก็ยากจะระวังป้องกัน

แม้จะแบ่งกำลังเป็นสองกอง แต่ทหารหน่วยทะลวงค่ายก็แสดงอานุภาพอันร้ายกาจออกมา

การมาถึงของทหารหน่วยทะลวงค่ายทำให้ทหารที่เหลือรู้สึกฮึกเหิม การลงมือของทหารหน่วยทะลวงค่ายนั้นทั้งรื่นไหลและเป็นระเบียบ สร้างความกล้าหาญให้กับพวกเขาอย่างลึกล้ำ

เมื่อกวาดมองดูสนามรบเที่ยวหนึ่ง โกซุ่นก็สามารถจินตนาการถึงความโหดร้ายของการศึกที่เกิดขึ้นได้ ซากศพกองสุมซ้อนที่หน้าประตู กำแพงด่านทั้งแถบแทบจะถูกย้อมไปด้วยคราบโลหิต ซากศพที่ตายส่วนใหญ่เป็นชาวเซียนเป่ย โกซุ่นที่อยู่กลางขบวนทัพยงคงถ่ายทอดคำสั่งด้วยความสุขุมเยือกเย็น เมื่อเข้าสู่สนามรบ โกซุ่นก็มักจะประเมินสถานการณ์ในสนามรบอย่างเยือกเย็น

ในแง่ของฝีมือส่วนตัว โกซุ่นไม่ได้โดดเด่นมากนักในกองทัพปิ้งโจว แต่เมื่อกล่าวถึงด้านการนำทัพต่อสู้ ต่อให้ใช้ทหารราบปิ้งโจวสามพันนายก็ยังเอาชนะหน่วยทะลวงค่ายของเขาไม่ได้ นี่เป็นทัพของคนคลั่ง พวกเขามีจิตใจแน่วแน่ ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่รีรอ ต่อให้ดาบของศัตรูกำลังฟันลงมา พวกเขาก็จะเลือกปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล

เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืด อีกทั้งทัพหนุนของศัตรูก็มาถึงด่านแล้ว ต่อให้บุกโจมตีต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เคอปี่เหนิงได้แต่สั่งถอยทัพด้วยความจำใจ ทัพหนุนมาได้ถูกจังหวะยิ่ง มิเช่นนั้นคืนนี้พวกเขาคงได้เข้าไปเฉลิมฉลองภายในด่านกันแล้ว

เมื่อชาวเซียนเป่ยค่อยๆถอยทัพ เหล่าทหารรักษาด่านก็พากันโห่ร้องพลางโบกอาวุธด้วยความดีใจ หางตาของพวกเขาพลันมีหยาดน้ำตาไหลออกมาผสมกับคราบเลือดบนใบหน้า

การถอนกำลังของชาวเซียนเป่ยก็คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทหารรักษาด่าน พวกเขาต่อสู้มาหลายวันติด หลายคนพลันนั่งลงพักผ่อนลงตรงนั้นทันที

เกิดฝนโปรยปรายลงมาราวกับพยายามจะชะล้างสถานที่อันเปื้อนเลือดแห่งนี้

"ซุ่นจื่อ หากว่าเจ้ามาไม่ทัน แม่ทัพเซียวและข้าคงถูกกลบฝังอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมินไปตลอดกาลแล้ว" เซียวเหยียนตั้งใจสู้ตาย ดังนั้นแล้วเขาโจเส็งจะถอยหนีไปคนเดียวได้อย่างไร?

เซียวเหยียนกวาดมองเหล่าทหารที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย จากนั้นความตึงเครียดในใจจึงค่อยคลายลง ตราบใดที่ยังรักษาด่านเยี่ยนเหมินเอาไว้ได้ เขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก ขอเพียงที่นี่ยังคงอยู่ ชาวเซียนเป่ยก็จะไม่อาจเข้าไปก่อกรรมทำเข็ญในแผ่นดินฮั่น

"แม่ทัพเซียว แม่ทัพโจ" บุคลิกของโกซุ่นนั้นค่อนข้างสุขุมจนคล้ายเย็นชาไปบ้าง เขาไม่ได้ใจร้อนเหมือนกับโจเส็ง ดังนั้นจึงกำหมัดคารวะทั้งสองตามธรรมเนียม