หลังส่งขบวนลิโป้จากไปแล้ว โจโฉก็พลันเรียกประชุมเหล่าแม่ทัพที่ปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีชีจิ๋วทันที
สีหน้าของเคาทูยังคงไม่สู้ดีสักเท่าใด ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ทหารม้าเสือดาวก็ยังคงพ่ายแพ้ แม้จะไม่มีผู้ใดเอ่ยตำหนิถึงเรื่องนี้ แต่เคาทูก็รู้สึกไม่สบายใจ หากสามารถใช้อาวุธจริง เขาก็จะสามารถกำจัดทหารม้าเฟยฉีได้มากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน ทหารม้าเสือดาวก็อาจจะไม่สามารถยืนหยัดได้นานเท่านี้เช่นกัน การประลองกับทหารม้าเฟยฉีครั้งนี้ทำให้เขาทราบว่าทหารม้าควรจะต่อสู้อย่างไร ซึ่งนี่นับว่าเปิดหูเปิดตาให้กับเขาไม่น้อยเลย
"นายท่าน ทหารม้าเสือดาวได้รับประโยชน์จากกาประลองเมื่อวานไม่น้อยเลย ข้าน้อยพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทหารม้าเฟยฉีมี แต่พวกเราไม่มี" เคาทูเอ่ยปากเล่าสิ่งที่เขาพบเห็น
ดวงตาโจโฉทอแววประกายวูบ การค้นพบนี้นับว่าสำคัญยิ่ง เทียบกับการสูญเสียกระบี่เพียงเล่มเดียวแล้วไม่นับเป็นอย่างไร โจโฉให้ความสำคัญกับการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กองทัพมากกว่า
"อ้อ สิ่งนั้นคือ?"
"ของสิ่งนั้นดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทหารเฟยฉีจะสอดเท้าเข้าไป ดูเหมือนจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวบนหลังม้าได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้นขอรับ" เคาทูกล่าวตอบ แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพสายบู๊ แต่เขาก็ให้ความสนใจต่อสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับการทำสงคราม เมื่อเผชิญกับทหารม้าศัตรู สิ่งที่เขาชมชอบยกระทำก็คือการเฝ้าสังเกตอยู่ด้านข้าง ดูอาวุธ ดูชุดเกราะ ดูม้าศึกของศัตรู
"จดจำรูปร่างของมันไว้ จากนั้นให้ช่างตีเหล็กจัดทำขึ้นมา และจงหาเร่งวิธีการใช้งานโดยเร็ว" โจโฉกล่าวกำชับ
........................................
ลิโป้ย่อมไม่ทราบว่าเคาทูสังเกตพบการคงอยู่ของบังโกลนบ้างแล้ว แต่ถึงจะพบเขาก็ไม่ใส่ใจ ทหารม้าไม่ได้พึ่งพาแต่เพียงอุปกรณ์เสริม แต่ยังพึ่งพาความสามารถส่วนบุคคล ทหารม้าเฟยฉีแน่นอนว่าเป็นยอดทัพม้าแห่งแผ่นดิน ขอเพียงสามารถรักษาความสามารถระดับนี้เอาไว้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวทหารม้าของเจ้าเมืองคนอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ปิ้งโจวยังมีม้าศึกที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี สุดที่เจ้าเมืองดินแดนอื่นจะเทียบเทียมได้
เมื่อเห็นขบวนทหารม้าปิ้งโจวกลับมาแล้ว เล่าปี่ก็เปิดประตูเมืองออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน
ทันทีที่เข้าไปภายในเมือง เล่าปี่ก็อดจะถามออกมาอย่างเสียมิได้ "เฟิ่งเซียน โจโฉว่าอย่างไรบ้าง?"
ลิโป้ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า "โจโฉต้องการจะก่อสงครามตั้งแต่แรก แต่เมิ่งเต๋อก็ได้ให้คำมั่นแล้วว่าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าทำได้เพียงเท่านี้"
เล่าปี่เผยสีหน้าที่ผิดหวังออกมา แม้จะคาดการณ์ผลลัพธ์เอาไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินลิโป้กล่าวยืนยัน ในใจของเขาก็รู้สึกหดหู่ เขามีพื้นเพต่ำต้อย หลังจากรับตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋ว ศึกแรกที่ต้องเผชิญกลับเป็นศึกหนักถึงเพียงนี้ และการต้องมารับมือกับสงครามอันหนักหน่วงเช่นนี้ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของชีจิ๋วในอนาคตไม่มากก็น้อย
"ครั้งนี้นับว่าลำบากท่านแล้ว" เล่าปี่กล่าวขอบคุณ
"เสวียนเต๋อ ภายในเมืองมีไพร่พลอยู่ราวสามหมื่น อีกทั้งเต๊งไก๋และจูล่งก็วางกำลังอยู่ที่เมืองแห้ฝือ คาดว่าคงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อาศัยไพร่พลทั้งสามหมื่นนายนี้ สามารถต้านทานกองทัพโจโฉได้แน่" ลิโป้กล่าวปลอบโยน
แม้ว่าเล่าปี่จะพยักหน้ารับ หากแต่ในใจยังไม่คลายความกังวล อันที่จริง เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจกับคำปลอบโยนของลิโป้แม้แต่น้อย แรกเริ่มเดิมที กองทัพของโจโฉอาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่การล้างแค้น แต่พิจารณาจากสถานการณ์ของสงครามในปัจจุบันแล้ว เห็นได้ชัดว่าโจโฉหมายมั่นจะยึดเอาชีจิ๋วไปให้จงได้ การครอบครองชีจิ๋วจะทำให้กองทัพของโจโฉแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก และโจโฉย่อมมองออกถึงจุดนี้
กองทัพโจโฉตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเพื่อเตรียมเข้าตีชีจิ๋ว ทำให้บรรยากาศภายในเมืองดูหนักอึ้งไปทุกหนแห่ง ชาวเมืองที่เดินอยู่ต่างมท้องถนนมีท่าทางเร่งรีบกว่าปกติ หลายคนสำนึกเสียใจที่ก่อนหนา้นี้ตนเองไม่ได้หนีออกจากชีจิ๋วไป ข่าวที่กองทัพโจโฉเข่นฆ่าล้างบางผุ้คนมาตลอดทางนั้นเป็นที่ล่วงรู้กันทั่วทั้งเมืองแล้ว ดังนั้นจึงข่าวลือแปลกๆปรากฏขึ้นไม่หยุด เช่นว่า หลังจากยึดเมืองชีจิ๋วได้แล้ว โจโฉจะจับตัวชาวเมืองไปกินเป็นอาหาร
ตระกูลบิถูกกีดกันออกจากศูนย์กลางอำนาจอย่างเห็นได้ชัด ทัศนคติของบิต๊กทำให้เล่าปี่เกิดความระแวง แม้แต่อำนาจทางทหารในมือของบิฮองก็ยังถูกริบกลับไป แม้จะยังคงมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ แต่บิฮองก็กลายเป็นแม่ทัพที่ไม่มีกำลังอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงโน้มเอียงไปทางลิโป้อย่างเผยเปิด ไม่ใส่เรื่องราวภายในชีจิ๋วอีก ตอนนี้ สิ่งที่เขาคาดหวังคือขอให้สงครามจบลงโดยเร็ว เขาจะได้ติดตามลิโป้กลับไปที่จิ้นหยาง ส่วนเมืองชีจิ๋วนั้น เขามองไม่เห็นอนาคตแม้แต่น้อย
เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรอง ลิโป้ก็อดนำกระบี่ชิงกังออกมาตรวจดู เขาแทบจะอดใจรอชมความร้ายกาจของอาวุธวิเศษในตำนานเล่มนี้ไม่ไหวแล้ว
มองดูเตียนอุยที่กุมกระบี่ธรรมดายู่ในมือ ลิโป้ก็ชักกระบี่ออกมาฟาดฟันใส่ ผลเพียงเห็นกระบี่ที่อยู่ในมือของเตียนอุยถูกตัดเป็นสองส่วน รอยตัดเรียบเนียนเสมอกันอย่างงดงาม ตัวกระบี่ชิงกังไม่มีส่วนใดบุบสลาย สามารถฟันเหล็กดั่งฟันหยวกสมคำเล่าลือ
"กระบี่ดี!" สีหน้าของลิโป้เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
ตามประวัติศาสตร์นั้น กระบี่เล่มนี้สมควรตกไปอยู่ในมือของจูล่ง มิคาด เขากลับได้มาครอบครอง
ตอนนี้เอง จู่ๆลิโป้ก็พลันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง หลังจากแกะออกอ่านแล้ว อารมณ์ของลิโป้ก็เกิดความปั่นป่วนจนไม่อาจสงบใจได้เวลาเป็นเวลานาน ชื่อที่ลงไว้ในจดหมายคือ ตันก๋ง ตันก๋งที่ตามประวัติศาสตร์แล้วเป็นยอดกุนซือข้างกายลิโป้
ขณะที่ยื่นส่งจดหมายให้กุยแกอ่านดู ในใจก็พยายามคาดเดาเจตนาของตันก๋ง ตัวเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตันก๋งมาก่อน แล้วไฉนจู่ๆอีกฝ่ายถึงติดต่อมาหาเขา? อีกทั้งคำพูดที่ใช้ในจดหมายยังส่อแววดูแคลนโจโฉอย่างหนัก
หลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ กุยแกก็กล่าวขึ้นว่า "นายท่าน ตามความคิดเห็นของข้าน้อย เรื่องนี้นับว่าไม่ซับซ้อนแต่อย่างใด กล่าวได้ว่าหลังจากที่ตันก๋งเกลี้ยกล่อมไม่ให้โจโฉบุกโจมตีชีจิ๋วไม่สำเร็จ เขาก็ถอนตัวไปเข้าร่วมกับเตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว ซึ่งพวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่พอใจต่อการกระทำของโจโฉเหมือนกัน
"
"เพียงแต่ปิ้งโจวและกุนจิ๋วนั้นอยู่ห่างไกลกันยิ่ง ไฉนตันก๋งจึงเลือกติดต่อกับนายท่าน?" กุยแกกล่าวพลางขบคิด
"ไม่ต้องคิดให้มากไป ท่านเขียนตอบจดหมายของเขา ถามเขาว่าต้องการเข้าร่วมกับปิ้งโจวหรือไม่" ลิโป้กล่าวตอบ ในตอนนี้เขายังไม่ต้องการฉีกหน้าต่อโจโฉ พวกเขาทั้งสองปกครองกันอยู่คนละส่วน ต่อให้เคลื่อนทัพบุกยึดกุนจิ๋วได้ แต่การรับศึกรอบด้านนั้นไม่ง่ายเลย การทำเช่นนี้รังแต่เป็นการตัดเย็บชุดวิวาห์ให้กับผู้อื่นเสียเปล่าๆ
"นายท่าน ในเมื่อคนผู้นี้มีใจคิดเข้าร่วมกับปิ้งโจว ใยจึงไม่ให้เขารั้งอยู่ที่กุนจิ๋วก่อน เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้า" กุยแกเสนอแนะ
ดวงตาของลิโป้ทอประกายวูบ นี่นับเป็นความคิดที่ดีทีเดียว มีคนเช่นนี้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของกุนจิ๋วอยู่ในเงามืด นับว่ามีส่วนช่วยอีกหลายเรื่อง "ตกลง เรื่องติดต่อกับตันก๋งขอยกให้ท่านก็แล้วกัน"
........................................
ฮัวหยงหลบหนีออกจากฉางอันด้วยความโกรธแค้น ในที่สุดเขาก็สามารถสังหารตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะอ้องอุ้นเพียงคนเดียว ลิฉุย กุยกี และคนอื่นๆจึงยกทัพกลับมาตีฉางอัน ทำให้เขาต้องหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนราวกับสุนัขสูญเสียเจ้าของ
อ้วนสุดพลันตื่นเต้นยินดีเมื่อได้ยินว่าฮัวหยงนำกำลังมาสวามิภักดิ์ต่อเขา ฮัวหยงนับเป็นยอดขุนพลอันดับหนึ่งใต้ร่มธงของตั๋งโต๊ะ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งอยู่นอกด่านกิสุยก๋วน แม่ทัพของอ้วนสุดต้องถูกสังหารไปสองคนติดต่อกัน ดังนั้นอ้วนสุดจึงกำลังขาดแคลนแม่ทัพบู๊ เขาออกมาต้อนรับฮัวหยงด้วยความยินดี ถึงกระนั้นก็ยังมีการเฝ้าระวังอยู่บ้าง
ฮัวหยงค่อนข้างพึงพอใจกับการเข้าร่วมกับอ้วนสุด ถึงอย่างไร ทั้งสองก็เคยเป็นศัตรูกันในอดีต อีกฝ่ายสามารถรับตัวเขาเข้าร่วมเช่นนี้ นับว่าอ้วนสุดมีความใจกว้างอย่างยิ่ง ขอเพียงฝากผลงานเอาไว้ในอดีต เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับการใช้สอย ยิ่งไปกว่านั้น อ้วนสุดยังเป็นคนตระกูลอ้วน ตระกูลขุนนางสี่สมัย และด้วยฐานะทายาทสายหลักของเขา ดังนั้นจึงมีแม่ทัพที่ปรึกษาไม่น้อยที่เดินทางมาเข้าร่วมกับอ้วนสุด สามารถเข้าร่วมกับผู้ที่กุมอำนาจระดับอ้วนสุด ดูเหมือนว่าอนาคตของซัวหยงจะสว่างสดใสแล้ว
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved