"ฮึ่ม เป็นแค่คนจากกองทัพพ่ายศึก กลับกล้าวางท่าต่อหน้าท่านแม่ทัพ" เตียวเลี้ยวถลึงมองทูตชาวเซียนเป่ยด้วยความเกลียดชัง
อาเหยียนตัวจ้องเตียวเลี้ยวกลับอย่างไม่เกรงกลัวก่อนจะกล่าวเน้นย้ำ "ข้าเป็นทูตของเซียนเป่ย"
หากเป็นขุนนางฮั่นคนอื่นๆ เขาก็อาจจะต้อนรับขับสู้คณะทูตต่างแดนเป็นอย่างดี หากแต่ลิโป้นั้นจะไม่สุภาพกับชาวเซียนเป่ยที่เปรียบได้กับหมาในเป็นอันขาด
"ทูตของเซียนเป่ยงั้นรึ? ใช่เป็นทูตจากราชสำนักที่ภูเขาต้านหานหรือไม่? ใช่เป็นทูตที่ได้รับการแต่งตั้งหรือไม่?" เตียวเลี้ยวแค่นเสียงถาม
อาเหยียนตัวหน้าดำคร่ำเครียด นี่นับเป็นความเจ็บปวดของชาวเซียนเป่ยทั้งหมด ราชสำนักที่ภูเขาต้านหานถูกทัพฮั่นบุกทำลาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าราชสำนักชของพวกเขาถูกอีกฝ่ายถล่มจนราบ แต่เพราะการเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เขาจึงกล่าวว่า "ข้าเป็นทูตจากเซียนเป่ยตะวันตก"
"เซียนเป่ยตะวันตก?" ลิโป้ทวน "อ้อ เช่นนั้นแปลว่าเซียนเป่ยตะวันตกและเซียนเป่ยภาคกลางไม่ได้มาจากรากเหง้าเดียวกันเพราะอยู่คนละพื้นที่ ข้าเคยได้ยินมาว่าชาวเซียนเป่ยมีธรรมเนียมการแบ่งปันภรรยาแก่กัน พี่ชายมอบให้น้องชาย บิดามอบให้บุตร ไม่รู้ว่าภรรยาของปู้ตู้เกินนั้นเคยเป็นภรรยาของพี่ชายหรือว่าบิดา?"
แม่ทัพนายกองจากทัพเฟยฉีและกองพลหมาป่าต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งหมดต่างมองดูทูตจากเซียนเป่ยผู้นี้ด้วยความขบขัน
อาเหยียนตัวรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวยืดยื้อเช่นนี้ การกล่าวอะไรตอบกลับไปก็รังแต่จะเป็นการล่วงเกินอีกฝ่ายเสียเปล่าๆ ดังนั้นเขาจึงค้อมตัวคำนับก่อนจะกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพ ท่านปู้ตู้เกินเป็นผู้มีปัญญา ที่นายท่านของข้าส่งข้ามาที่นี่ก็เพื่อหวังจะสงบศึกกับทัพฮั่น ใต้การปกครองของนายท่านมีชาวเซียนเป่ยจำนวนหลายสิบหมื่น นายท่านของข้าไม่อาจทนผู้คนล้มตายในสนามรบได้อีก ดังนั้นจึง...."
หลังจากกล่าวหยิบยกเหตุผลต่างๆนานาออกมากล่าว วาจาของเขานั้นฟังดูมีเหตุผลยิ่ง แต่พอฟังไปฟังมาแล้วก็คล้ายกับทัพฮั่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม ทันใดนั้นลิโป้ก็ค้นพบว่าในหมู่ชาวเซียนเป่ยยังมีผู้มีพรสวรรค์อยู่บ้าง ใช้เพียงวาจาไม่กี่คำก็สามารถกลับถูกเป็นผิด กลับขาวเป็นดำได้แล้ว
"สงบศึกงั้นรึ? ใยจึงต้องสงบศึกด้วย? ชาวปิ้งโจวเราเพียงต้องการไปชมดูเซียนเป่ยตะวันตกเพื่อเปรียบเทียบว่าระหว่างเซียนเป่ยตะวันและเซียนเป่ยภาคกลาง ที่ใดแข็งแกร่งกว่ากัน" ลิโป้หัวเราะ
อาเหยียนตัวมองลิโป้ด้วยความเหลือเชื่อ ชาวเซียนเป่ยเป็นฝ่ายขอเจรจาเพื่อสงบศึก นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายปี แม้ว่าครั้งนี้ชาวเซียนเป่ยจะพ่ายแพ้ แต่พวกเขาก็ยังมีกำลังทหารเหลืออยู่ แม้ว่าลิโป้มุ่งมั่นที่จะไล่ตามตีกองทัพของปู้ตู้เกินไปจนถึงเซียนเป่ยตะวันตก แต่นั่นก็เป็นการกระทำที่แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ในฐานะที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตมาเจรจาแล้ว อาเหยียนตัวย่อมรู้สึกว่าได้รับเกียรติอย่างสูง ทว่าการเจรจาที่เขาเคยคิดว่าจะราบรื่นกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ หากว่าชาวฮั่นไม่ถอยทัพกลับไปล่ะก็ เมื่อกลับไปแล้วเขาก็จะไม่มีคำอธิบายต่อปู้ตู้เกินเนื่องเพราะปู้ตู้เกินนั้นเกรงกลัวทัพฮั่นทัพนี้ไม่น้อย ดังนั้นทหารใต้บัญชาของเขาจึงพลอยหมดความคิดจะต่อสู้ไปด้วย
กุยแกชำเลืองมองลิโป้คราหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวออกมากล่าวว่า "ทูตจากเซียนเป่ย ที่จริงแล้ว การขอสงบศึกนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในสงครามครั้งนี้ กองทัพปิ้งโจวต้องสูญเสียเงินทองและเสบียงอาหารไปมากมายมหาศาล ชาวเซียนเป่ยนั้นมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ทราบว่าพอจะช่วยเหลือในด้านเหล่านี้ได้หรือไม่?"
ทันทีที่กุยแกก้าวออกมา เขาก็พลันใช้ท่าสังหารทันที แม้เปลือกนอกดูเหมือนอยากจะตอบตกลง หากแต่ความหมายนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
อาเหยียนตัวคิดไม่ถึงว่าชาวฮั่นผู้นี้จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เพียงเอ่ยถึงเรื่องการสงบศึกก็พอแล้ว ทว่าก่อนจะพูดถึงการสงบศึก อีกฝ่ายกลับผลักภาระในการรับผิดชอบให้ชนเผ่าเซียนเป่ย การบอกว่าชาวเซียนเป่ยมั่งคั่งร่ำรวยนั้นก็ยิ่งไร้ยางอาย หากว่าชาวเซียนเป่ยมั่งคั่งจริงล่ะก็ พวกเขายังจะต้องมาปล้นชิงตามชายแดนฮั่นทุกปีด้วยหรือ? ในช่วงฤดูหนาว หลายคนต้องอดตาย หรือไม่ก็หนาวจนตาย ความมั่งคั่งนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากชาวเซียนเป่ยอย่างสุดกู่
"ใต้เท้ากุยกล่าวถูกแล้ว กลับไปบอกปู้ตู้เกินเสีย หากว่าพวกเจ้ามีความจริงใจที่จะขอสงบศึกจริง เช่นนั้นก็ให้จัดส่งสัตว์เลี้ยงมาหนึ่งแสนตัว ม้าศึกชั้นยอดห้าพันตัว และหนังสัตว์จำนวนหนึ่งหมื่นผืน นี่เป็นเงื่อนไขพื้นต่ำสุดที่พวกเราจะยอมรับ ก่อนหน้านี้ แม่ทัพผู้นี้มีความคิดจะไปรับสิ่งเหล่านี้มาเอง แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะสงบศึก เช่นนั้นก็ช่วยประหยัดเวลาให้แม่ทัพผู้นี้หน่อยเป็นอย่างไร?" ลิโป้กล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย
อาเหยียนตัวออกจากค่ายของกองทัพปิ้งโจวด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็กลับไปบอกเล่ารายละเอียดให้ปู้ตู้เกินฟัง
ปู้ตู้เกินกำหมัดแน่นด้วยความเดือดดาล สัตว์เลี้ยงหนึ่งแสนตัว ม้าศึกชั้นยอดห้าพัน และหนังสัตว์หนึ่งหมื่นผืนงั้นรึ นี่เป็นปล้นชิงกลางวันแสกๆชัดๆ เดาได้เลยว่าเมื่อมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับทัพฮั่นแล้ว หลังจากนี้เขาก็ยากที่จะสู้หน้าชาวเซียนเป่ยทั้งหมดได้อีก เขาเดินวนเวียนไปมาพลางสบถด่าไปด้วย "พวกชาวฮั่นสารเลว"
"ท่านประมุข มีเพียงชาวเซียนเป่ยที่ตายในสนามรบ ไม่มีชาวเซียนเป่ยที่คิดเจรจาสงบศึก ทัพฮั่นรังแกผู้คนเกินไปแล้ว ในเซียนเป่ยตะวันตกยังมีนักรบอีกหลายสิบหมื่น หากต่อสู้กับชาวฮั่น ก็ยังยากจะบอกว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะ" เหล่าแม่ทัพนายกองต่างก็คิดว่าเงื่อนไขของอีกฝ่ายนั้นรังแกกันเกินไป พวกเขาไม่ต้องการจะเจรจาอีก เพราะหากว่าพวกเขายอมรับเงื่อนไขเหล่านี้จริง พวกเขาจะต้องถูกชาวเซียนเป่ยที่เหลือก่นด่าประณามเป็นแน่
มองดูผู้คนในกระโจมที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ปู้ตู้เกินก็ก้มหน้าลงครุ่นคิดก่อนจะกล่าวขึ้นช้าๆ "เจ้าไปที่ทัพฮั่นอีกครั้ง บอกว่าเงื่อนไขเหล่านี้ยากจะรับได้ อย่างมากที่สุด พวกเราเพียงให้ได้แค่สัตว์เลี้ยงสามหมื่นตัว ม้าศึกพันตัว และหนังสัตว์สองพันผืน"
เหล่าหัวหน้าเผ่าต่างมองปู้ตู้เกินด้วยความประหลาดใจ จำนวนเท่าใดนั้นไม่สำคัญ ต่อให้ต้องส่งมอบสัตว์เลี้ยงออกไปหนึ่งแสนตัว พวกเขาก็ยังสามารถแบกรับได้ ประเด็นก็คือ หลังจากที่ส่งมอบสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ปู้ตู้เกินส่ายหน้าพลางถอนหายใจ "ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะทำเช่นนี้ แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากกองทัพฮั่นกลุ่มนี้เข้าสู่เซียนเป่ยตะวันตก พวกมันจะมีหายนะแบบใดเกิดขึ้นบ้าง? เผชิญหน้ากับทัพฮั่นเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่าจะต้องใช้ชีวิตนักรบเซียนเป่ยกี่ชีวิตกว่าจะขับไล่พวกมันกลับไปได้? พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมเคอปี่เหนิงถึงต้องถอนกำลัง? นั่นก็เพราะเขาเกิดความหวาดกลัวต่อทัพฮั่น"
คำกล่าวของปู้ตู้เกินทำให้สุ้มเสียงภายในกระโจมพลันเงียบลง เมื่อพิจารณาดูแล้ว ในใจก็อดบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าไม่อาจฉีกหน้าทัพฮั่นที่ร้ายกาจนี้ มิเช่นนั้นจะไม่ได้มีเพียงเผ่าเดียวที่จะถูกทัพฮั่นทำลาย แต่ชาวเซียนเป่ยทั้งหมดอาจจะถูกขุดรากถอนโคนเลยก็เป็นได้ ชนเผ่าต่างๆนั้นเป็นรากฐานของชาวเซียนเป่ย อย่าเพิ่งมองว่าครั้งนี้ชาวเซียนเป่ยสูญเสียคนไปมากมาย ซึ่งอันที่จริง หากมองในภาพรวมของชนเผ่าทั้งหมดแล้วก็กล่าวได้ว่าเป็นการสูญเสียเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียกำลังทหารในเซียนเป่ยภาคกลางและชนเผ่าต่างๆที่ถูกทัพฮั่นทำลายไปนั้นก็นับเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ในฐานะประมุขแห่งเซียนเป่ยตะวันตกแล้ว ปู้ตู้เกินย่อมมีบารมีในหมู่หัวหน้าเผ่าต่างๆ แม้แต่ในยามปกติก็ไม่เคยมีผู้ใดยืนกรานต่อต้าน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยามวิกฤตเช่นนี้
"ท่านประมุข ทหารม้าทัพฮั่นโผล่มาอีกแล้วขอรับ" หัวหน้าทหารหน่วยข่าวกรองรีบวิ่งเข้ามารายงาน
"มาอีกแล้ว?" ปู้ตู้เกินแทบจะร่ำไห้ ทหารของเขาถูกอีกฝ่ายไล่ตามตีจนสะบักสะบอมไปหมดแล้ว โอกาสที่จะใมช้ทหารราบเอาชนะทหารม้านั้นมีน้อยยิ่ง ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าทัพฮั่นกลุ่มนี้ยังร้ายกาจเป็นพิเศษ
"เพียงคุมเชิงเอาไว้ หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามมิให้ผู้ใดออกไปต่อสู้" ปู้ตู้เกินออกคำสั่ง
อาเหยียนตัวถูกส่งมาเจรจาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนดังครั้งแรกที่มาอีก ประมุขของเขาตัดสินใจจะไม่สู้แล้ว หากสองฝ่ายเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้งเพราะตัวเขา นั่นก็คงจะเป็นความผิดบาปอย่างมหันต์
การเจรเงื่อนไขก็เปรียบดั่งการต่อสู้ด้วยวาจา หากแต่ผู้ที่รับผิดชอบในการเจรจาจากทางฝั่งปิ้งโจวยังคงยืนกรานไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ทำให้ทูตจากเซียนเป่ยรู้สึกอับจนปัญญาอย่างที่สุด สุดท้ายเขาก็ได้แต่กลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อปู้ตู้เกิน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved