ตอนที่ 65 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็อย่าให้ใครเข้ามา" บุรุษแปลกหน้านั้นกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์

หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ออกไปแล้ว เขาประสานมือค้อมคำนับ "ข้าน้อยนามว่า บิต๊ก ชื่อรอง จื่อจ้ง น้อมพบใต้เท้าลิ"

เตียนอุยลุกขึ้นก่อนจะชักกระบี่ออกมา สายตาจ้องเขม็งไปที่บิต๊ก

"โอ้ ท่านทราบได้อย่างไร?" ลิโป้ถามอย่างสงสัย ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ว่าไม่ได้มีความมุ่งร้ายใดๆ

"ไม่กี่วันก่อนมีพวกทหารของท่านเจ้าเมืองโตเกี๋ยมซึ่งเคยทำศึกกับตั๋งโต๊ะมาดื่มกินกันที่นี่แล้วบังเอิญจดจำใต้เท้าได้ และข้าน้อยต้องขออภัยที่เข้ามาอย่างอุกอาจด้วยขอรับ" ท่าทีของบิต๊กทั้งไม่ได้ถ่อมตัวหรือวางท่าจนเกินไป เขายังกล่าวตอบโดยไม่ได้กังวลว่าเตียนอุยจะลงมือกับเขาเลย

"บิต๊กจากชีจิ๋ว?" ลิโป้ถามขึ้น

"ใช่ขอรับ" ในใจบิต๊กเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขาทั้งๆที่เขาไม่ใช่ขุนนางแต่เป็นเพียงคหบดีคนหนึ่ง

"เลื่อมใสมานาน" ลิโป้กุมมือกล่าว

"ใต้เท้าให้เกียรติข้าน้อยไปแล้ว ข้าน้อยเพิ่งมาถึงฉางอัน คิดไม่ถึงว่าจะได้ทราบโดยบังเอิญว่ามีคนพบเห็นใต้เท้า เมื่อใต้เท้ามาที่ฉางอัน คงต้องมีธุระสำคัญเป็นแน่ ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่สะดวกที่จะติดต่อไป แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต วันนี้ใต้เท้ามาที่ร้านของเราพอดี" บิต๊กมีประสบการณ์ค้าขายมาหลายปี พบเจอผู้คนมามากมาย ย่อมทราบได้ว่าสิ่งใดควรกล่าว สิ่งใดไม่ควรกล่าว

"พี่จื่อจ้งเชิญนั่ง" ฉับพลันนั้นลิโป้ก็นึกถึงหนังสือตำราจำนวนมากในห้องหนังสือของซัวหยง ด้วยนิสัยของซัวหยงแล้วจะต้องไม่ทิ้งบรรดาหนังสือตำราเหล่านั้นแน่ และบิต๊กที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็อาจจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่นึกจะหาก็หาได้ หลายคนกระทั่งยึดถือเป็นสมบัติล้ำค่า ยากจะให้ผู้อื่นหยิบยืมโดยง่าย และหากว่าต้องการจัดพิมพ์หนังสือเหล่านี้ เขาก็จำเป็นต้องมีต้นฉบับ หากสามารถขนย้ายหนังสือทั้งหมดในห้องซัวหยงไปด้วยได้ก็จะช่วยลดปัญหาไปได้หลายอย่าง

"ขอบคุณใต้เท้า" บิต๊กกล่าวขอบคุณก่อนนั่งลง

"พี่จื่อจ้งไม่ต้องมากพิธี ข้านั้นมีเรื่องอยากจะให้ท่านช่วย ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่?" ลิโป้ยิ้มถาม

"แม้ใต้เท้าจะบอกกล่าวกระทันหันไปสักหน่อย แต่ข้าน้อยจะพยายามสุดความสามารถ"

"อาจารย์ของข้าต้องการจะเดินทางไปยังปิ้งโจว แต่ที่บ้านมีหนังสือตำราจำนวนมากไม่สะดวกจะขนย้าย ไม่ทราบว่าพี่จื่อจ้งพอจะช่วยส่งหนังสือเหล่านั้นไปที่จิ้นหยางได้หรือไม่?"

บิต๊กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า "ได้ขอรับ"

"ดี พี่จื่อจ้งช่างยอดเยี่ยม ไม่ต้องกังวลเรื่องรางวัลตอบแทน แม้ปิ้งโจวจะแร้นแค้น แต่ก็ยังพอมีเงินอยู่" เมื่อปัญหาของซัวหยงได้รับการแก้ไข ลิโป้ก็เบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง

"ใต้เท้า ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งคิดขอร้องใต้เท้า" บิต๊กลุกขึ้นก่อนจะกุมมือกล่าว

"พี่จื่อจ้งเชิญบอกกล่าว" ลิโป้ผายมือก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด

"ภาคกลางมีม้าศึกอยู่ไม่มาก แต่ที่ปิ้งโจวมีม้าศึกอยู่เกลื่อนกล่น ไม่ทราบมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่ขอรับ?" บิต๊กถามหยั่งเชิง ถึงอย่างไรลิโป้ก็เป็นถึงเจ้าเมืองใหญ่ กุมความเป็นตายของผู้คนจำนวนหลายแสนเอาไว้ ขณะที่เขาเป็นเพียงพ่อค้าต่ำต้อย แม้พอจะมีอิทธิพลในชีจิ๋วอยู่บ้าง แต่ในสายตาของเหล่าเจ้าเมืองแล้วเขาก็ไม่นับเป็นอย่างไร ดังนั้นยามเจรจาบุคคลระดับนี้จึงต้องเพิ่มความระวังให้มาก

"ข้าเข้าใจความหมายของพี่จื่อจ้งแล้ว" ลิโป้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "จากฉางอันไปจิ้นหยางเป็นเส้นทางอันยาวไกล ข้าจะมอบม้าศึกให้พี่จื่อจ้งห้าร้อยตัวก็แล้วกัน"

เห็นบิต๊กกระตือรือร้น ลิโป้ก็ยินดี อีกฝ่ายนับเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับเล่าปี่ หากเขาสามารถดึงตัวมาได้ก็จะมีส่วนช่วยต่อปิ้งโจวอย่างมาก

ม้าศึกห้าร้อยตัว สำหรับบรรดาเจ้าเมืองภาคกลาง นี่อาจจะเป็นม้าศึกจำนวนมาก ทว่าม้าศึกที่ปิ้งโจวคัดออกยังมีจำนวนมากยิ่งกว่านี้

"ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยคิดขอซื้อม้าศึกเหล่านั้น" บิต๊กยิ้มบาง

"ซื้อ?" ลิโป้ครุ่นคิดก่อนจะเข้าใจเจตนาของบิต๊ก ดังนั้นจึงยิ้มตอบ "ได้"

สีหน้าของบิต๊กเผยแววยินดี การมาพบลิโป้ในวันนี้ เหตุผลหลักก็เพื่อเจรจาซื้อม้าศึกซึ่งสามารถสร้างกำไรมหาศาล พ่อค้าไม่น้อยตาก็จ้องมองเนื้อชิ้นนี้ตาเป็นมัน เวลานี้กองซุนจ้านไม่ได้มีอำนาจสูงสุดในอิ๋วจิ๋วอีกต่อไปแล้ว และม้าเท้งก็ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเหลียงจิ๋ว แต่ลิโป้นั้นกล่าวได้ว่าควบคุมปิ้งโจวได้เกือบสมบูรณ์ ขอเพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีม้าศึก แล้วจากนั้นตระกูลบิก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน

"ขอบคุณใต้เท้า ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่าใต้เท้าขายม้าศึกให้ท่านเจ้าเมืองซุนราคาตัวละสี่พันเฉียน" บิต๊กเริ่มต่อรองราคา

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลิโป้ก็นึกโมโห หลังซุนเกี๋ยนผู้นั้นขโมยตราหยกแผ่นดินกลับกังตั๋งไปแล้วก็ไม่ได้ส่งเงินค่าม้าศึกมาให้อีก "ตัวละห้าพันเฉียน แต่ขอแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงอาหาร"

บิต๊กย่อมทราบราคาทั้งยังรู้รายละเอียดการเจรจาระหว่างลิโป้กับซุนเกี๋ยน ในฐานะพ่อค้าแล้วเขาย่อมมีช่องทางข่าวสารของตนเอง "ยึดตามราคาที่ใต้เท้ากล่าว"

แต่เมื่อบิต๊กได้ทราบว่าอาจารย์ของลิโป้กลับเป็นซัวหยงซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องตกใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมลิโป้จึงดูอารมณ์ดีนัก การเชิญตัวซัวหยงไปยังปิ้งโจวจะต้องเป็นข่าวใหญ่ในฉางอันอย่างแน่นอน

เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว บิต๊กก็ไม่อาจละเลย เขาพอจะมีเส้นสายภายในฉางอันอยู่บ้าง ขอเพียงไปติดต่อคนเหล่านั้นไว้ การขนย้ายสิ่งของออกจากเมืองย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

แผ่นดินจงหยวนนั้นขาดแคลนม้าศึกชั้นดี และม้าศึกจากปิ้งโจวก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ขอเพียงจัดการได้อย่างเหมาะสม ผลตอบแทนที่ได้จะต้องคุ้มค่าแน่นอน

หลังจากบิต๊กจากไปได้ไม่นาน กวนอวี่ก็พานายกองคุมประตูเมืองมาพบลิโป้ ชายหนุ่มผู้นี้ตื่นเต้นยินดีจนหน้าแดง เขาตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ติดตามทำงานให้ลิโป้

นายกองคุมประตูเมืองไม่นับเป็นตัวตนระดับสูงในเมืองฉางอัน แต่เขามีอำนาจแท้จริงอยู่ในมือ ยามพบคนจากจวนตระกูลซัวเขาก็ไม่ได้โค้งคำนับแต่อย่างใด และน้ำเสียงที่กล่าวก็ค่อนข้างที่จะชืดชาอยู่บ้าง "ข้าน้อยคือนายกองคุมประตูเมืองหวังฟ่าง ไม่ทราบผู้สูงส่งคือ?"

"นายกองหวัง ข้ามีนามว่าเฉียว เป็นญาติห่างๆของใต้เท้าซัวหยง ในช่วงสองสามวันนี้ใต้เท้าซัวอาจจะออกจากเมืองไปเยี่ยมเยียนมิตรสหาย ตอนที่ผ่านประตูเมืองไปย่อมต้องมีการตรวจค้น ใต้เท้าซัวนั้นอายุก็มากแล้ว จึงไม่สะดวกอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะมาขอความช่วยเหลือจากนายกองหวัง....."

นายกองหวังยกมือขึ้นขัดพลางกล่าวว่า "ท่านวางใจได้ ใต้เท้าซัวเปี่ยมด้วยบารมี ข้าย่อมไม่สร้างความลำบากให้ใต้เท้า เพียงแต่ในฉางอันนั้นมีหูตาอยู่มากเกินไป ท่านอุปราชได้ออกคำสั่งเอาไว้ว่าให้ตรวจสอบผู้ผ่านเข้าออกประตูเมืองอย่างเข้มงวด"

ลิโป้ย่อมเข้าใจความหมายของหวังฟ่าน จึงพยักหน้าให้เตียนอุย เตียนอุยก็ก้าวออกมาวางถุงเงินลงบนโต๊ะ

"เงินเล็กน้อยเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจไว้ให้นายกองหวังซื้อสุราเลี้ยงพี่น้องเหล่านั้น" ลิโป้หัวเราะเบาๆ

"นี่จะรับไว้ได้อย่างไร?" แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่หวังฟ่านก็ยังซุกเก็บเงินไว้ด้วยแววตาเป็นประกาย

"ผู้สูงส่งยังเป็นกังวลแทนใต้เท้าซัว แล้วข้าในฐานะนายกองคุมประตูเมืองจะไม่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ใต้เท้าซัวได้อย่างไร" หวังฟ่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว ลิโป้ก็โล่งใจ ด้วยการติดสินบนนายกองเฝ้าประตูเมือง เขาก็มีความมั่นใจว่าจะออกจากเมืองได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

นายกองหวังนับเป็นนายทหารที่เจนประสบการณ์ ย่อมทราบราคาสุราชั้นดีของเหลาอาหารแห่งนี้ ดังนั้นจึงรินเทดื่มจอกแล้วจอกเล่า

"ใต้เท้าเฉียว ดูเหมือนข้าน้อยจะสร้างผลงานชิ้นหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่าจะได้รับการใช้สอยแล้วหรือไม่ขอรับ?" กวนอวี่ยิ้มถามอย่างหน้าด้าน

"กวนอวี่ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าทำอะไรได้บ้าง?" ลิโป้หันมามองกวนอวี่

"โอ้ว ข้าน้อยทำได้หลายอย่างเลยขอรับ ยามขึ้นม้าเป็นแม่ทัพ ยามลงม้าก็เป็นขุนนาง"

มองดูสีหน้าที่หลงตัวเองอย่างสุดโต่งของกวนอวี่แล้วลิโป้ก็เหงื่อตก มีคนกล้าคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ? นี่ไม่หลงตัวเองไปหน่อยเหรอ? แม้แต่ชื่อของเขาก็ใช้ตามกวนอูที่มีชื่อเสียงขึ้นมา "เล่าเรื่องของเจ้ามา"