หลังจากโกซุ่นจากไปแล้ว ลิโป้ก็ยังคงนั่งครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในค่าย ทหารม้าในยุคนี้นับว่าเป็นเจ้าแห่งสนามรบอย่างแท้จริง ไม่ทหารราบจะเก่งกาจปานใด เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าก็ทำได้เพียงแค่ปกป้องตัวเอง ไม่มีอำนาจจะตอบโต้กลับไป ทหารม้าสามารถอาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่เพื่อลากถ่วงทหารราบจนตาย ดังนั้นการมีทหารราบที่สามารถปะทะกับทหารม้าโดยตรงได้จึงมีความสำคัญต่อกองทัพยิ่ง ลองจินตนาการดูว่า หากกระทั่งทหารม้าก็ยังสามารถต่อกรได้ ทหารราบทัพนั้นจะแข็งแกร่งปานใดในสนามรบ
...............................
หลังจากพักอยู่ภายในเมืองมาสองสามวัน จูล่งก็ได้เดินเที่ยวชมเมืองไปแล้วหลายส่วน ความมีชีวิตชีวาของจิ้นหยางทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไร้กังวล รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผู้นั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ได้เห็นเช่นนี้ตัวเขาก็พลอยรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย นอกจากพูยคุยกันเรื่องการเกษตรแล้ว ชาวเมืองยังพูดคุยกันเรื่องกองทัพด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบ้านไหนมีลูกหลานเป็นทหารประจำการอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็จะได้รับคำยกย่องมากมาย เพราะถึงอย่างไรการจะผ่านการคัดเลือกและเข้าเป็นทหารของกองทัพปิ้งโจวได้นั้นไม่ง่ายเลย
หากว่ามีคนในครอบครัวสามารถเป็นทหารระดับหัวหน้าหมู่ขึ้นไปได้ นั่นก็จะยิ่งมีเกียรติยิ่งขึ้น ในทุกปี กองทัพปิ้งโจวจะมีการผลัดกำลังเพื่อให้พวกทหารกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว หลังจากตำแหน่งนายหมู่แล้ว หากเลื่อนขั้นขึ้นไปได้ก็จะเปรียบเสมือนการได้ข้ามผ่านธรณีประตู เป็นการเปิดโอกาสไต่เต้าถึงขึ้นไปเป็นนายทหารระดับนายกอง
ภายในกองทัพปิ้งโจวนั้น จูล่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากกองทัพอื่นๆ บรรยากาศของทหารทั่วไปนั้นก็มีบรรยากาศอย่างหนึ่งคล้ายกับที่ทหารม้าเฟยฉีมี นั่นก็คือ ทหารของปิ้งโจวมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนัก และหลังจากฝึกเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องราวในสนามรบ และเมื่อกลับไปฝึกอีกครั้ง พวกเขาก็จะฝึกฝนอย่างมีวินัย
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวจะสามารถเพิ่มโอกาสรอดของพวกทหารในสนามรบได้ไม่มากก็น้อย
เรื่องที่จูล่งรู้สึกประทับใจที่สุดก็คือการฝึกทหาร ทหารของกองทัพอิวจิ๋วจะฝึกฝนภายใต้การออกคำสั่งของแม่ทัพเท่านั้น เหมือนหยางที่ติดตามหยิน แต่จูล่งพบว่ามีทหารของกองทัพปิ้งโจวจำนวนไม่น้อยที่หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกแล้วก็ยังเลือกที่จะฝึกฝนต่อไป แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งอย่างแรงกล้า
สำหรับอุปกรณ์การฝึกฝนนั้น จูล่งไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ทั้งบาร์โหน บาร์คู่ และเครื่อฝ่าอุปรรคต่างๆที่จูล่งไม่เห็นได้ยินมาก่อน
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงที่สุดก็คือหน่วยทะลวงค่าย ทหารจำนวนแปดร้อยคนอาจจะดูน้อยนิดเมื่อจับใส่ลงไปในสนามรบที่มีทหารรบพุ่งกันหลักหมื่น แต่แม่ทัพของหน่วย โกซุ่น ก็สามารถถ่ายทอดคำสั่งแก่ทหารทุกนายได้อย่างลื่นไหลเสมือนใช้งานแขนขาตัวเอง นี่ต้องใช้ทักษะการสังเกตมากเพียงใดกัน?
จูล่งยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีกเมื่อได้ยินทหารเล่าว่า ครั้งหนึ่งทหารหน่วยทะลวงค่ายเคยต้านทานการโจมตีจากทหารม้าเสเหลียงได้ ทหารราบที่สามารถต่อกรกับทหารม้าได้ เพียงนี้ก็สามารถนับได้ว่าเป็นยอดทัพได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าทหารม้าที่ว่านั้นคือทหารม้าเสเหลียงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
เมื่อเห็นจูล่งยืนเหม่อลอยอยู่ที่ด้านหน้าอุปกรณ์การฝึก ลิโป้ที่เตรียมจะออกจากค่ายก็เดินเข้าไปหา "จูล่ง การฝึกของทหารปิ้งโจวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ใต้เท้า ปิ้งโจวสมกับที่เป็นยอดทัพแห่งแผ่นดิน ทัพอิวจิ๋วเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย" จูล่งถอนหายใจ เขาเองเคยได้ยินระบบภายในกองทัพปิ้งโจวมาก่อน ทหารทั่วไปจะได้รับเบี้ยทหาร และพวกเขาสามารถสร้างผลงานผ่านการฝึกฝน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็คือสิ่งที่กระตุ้นให้พวกทหารกระตือรือร้นในการฝึกฝน เป็นการใช้ประโยชน์จากความต้องการที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของพวกทหาร กองทัพเช่นนี้จะไม่สูญเสียกำลังใจแม้จะเผชิญกับกองทัพที่มีจำนวนมากกว่าก็ตาม
"อาเหวย แสดงวิธีการใช้อุปกรณ์ให้จูล่งดู" ลิโป้กล่าว
เตียนอุยบิดคอก่อนจะยืดเส้นยืดสาย แม้จะสวมชุดเกราะอยู่แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังกล้ามเนื้อที่แทบจะปริแตกออกมาของเขาได้
"จูล่ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยฝึกฝนความยืดหยุ่นให้เหล่าทหาร เจ้าจะลองดูก็ได้" ลิโป้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จูล่งเองก็อยากจะทดลองอุปกรณ์เหล่านี้ตั้งนานแล้ว ได้ยินดังนั้น เขาก็เดินตามเตียนอุยไปดูการสาธิตวิธีใช้งาน แม้จะเป็นระดับจูล่ง แต่หลังจากทดลองใช้งานดูแล้วก็ยังหอบหายใจไม่ได้ หลักๆแล้วก็เป็นเพราะเครื่องกีดขวางต่างๆที่ต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง
"ความเร็วไม่เลว" ลิโป้ยิ้มกล่าว เป็นครั้งแรกที่จูล่งได้ทดลองใช้งาน กระนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็สามารถกล่าวได้ว่าจัดอยู่ระดับแถวหน้าของทัพปิ้งโจว
ในเวลาเดียวกัน การฝึกของพวกทหารก็เสร็จสิ้นลง งุยซกเดินเข้ามาก่อนจะกุมหมัดคารวะ "นายท่าน อยากจะอวดความสามารถให้เหล่าพี่น้องทหารได้รับทราบสักหน่อยไหมขอรับ?"
ลิโป้มักจะเข้ามาในค่ายทหารเพื่อใช้งานอุปกรณ์การฝึกเหล่านี้ และเขายังสามารถผ่านเครื่องกีดขวางต่างๆได้ในเวลาที่น้อยคนในกองทัพจะกระทำได้
"ตกลง!" ลิโป้หัวเราะ "จูล่งและอาเหวยมาด้วยกันไหม?"
พวกทหารที่อยู่โดยรอบต่างส่งเสียงเฮ เมื่อทราบว่าลิโป้กำลังจะฝ่าเครื่องกีดขวาง ทหารจำนวนมากก็มามุงดู แม้แต่พวกทหารใหม่เองก็คิดมาชมดูความสนุกเช่นกัน พวกทหารใหม่นั้นเพิ่งเข้าร่วมกองทัพได้ไม่นาน ตอนนี้พวกเขาจึงได้ฝึกเพียงการจัดแถว และท่าทางพื้นฐาน เมื่อได้เห็นพวกทหารรุ่นพี่ใช้อุปกรณ์การฝึก พวกเขาต่างก็รู้สึกคันไม้คันมือ
"การได้แข่งขันกับนายท่านนับว่าสนุกที่สุดแล้ว ฮ่าๆ" เตียนอุยหัวเราะ
เมื่องุยซกให้สัญญาณ ทั้งสามก็พุ่งตัวออกไป
เครื่องกีดขวางเหล่านี้ ลิโป้คุ้นเคยดีอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นอุปกรณ์การฝึกรุ่นที่ปรับลดระดับความยากลงจากกองทัพสมัยใหม่ แม้แต่พวกทหารที่ชมดูอยู่โดยรอบก็ต้องรู้สึกทึ่งกับความเร็วในการผ่านเครื่องกีดขวางต่างๆของลิโป้ ทั้งหมดต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างครึกครื้น แต่ผู้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือจูล่ง เขาเพิ่งได้ใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ไปแค่ครั้งเดียว กระนั้นก็ยังสามารถผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
ลิโป้ย่อมได้อันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่จูล่งได้อันดับที่สาม ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งใช้งานได้ไม่นาน แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้วเขาก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อการแข่งขันจบลง งุยซกก็ตะโกนขึ้นว่า "พวกเข้าเห็นหรือไม่? เมื่อมีความเร็วได้ถึงขั้นนี้ ตอนที่อยู่ในสนามรบ ลูกธนูของศัตรูก็ยากจะยิงถูกตัวพวกเจ้าได้"
ได้ยินดังนั้น พวกทหารก็ส่งเสียงขานรับ การแข่งขันเช่นนี้ทำให้ทหารบางคนที่มีผลงานฝึกยอดเยี่ยมได้สลัดละทิ้งความรู้สึกหยิ่งผยองไป
"ใต้เท้า ข้าน้อยก็มาที่ปิ้งโจวได้ระยหนึ่งแล้ว ข้ารู้สึกกังวลเกี่ยวสถานการณ์ในอิวจิ๋ว ดังนั้นจึงเตรียมจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้" จูล่งกล่าวขึ้น
"จูล่ง ข้าจะนำทัพไปที่ไต้จิ๋วและซ่างกู่ด้วยตัวเอง" ลิโป้กล่าว
หลังจากหารือกับกาเซี่ยงและกุยแกแล้ว ทั้งสองต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านี่เป็นโอกาสที่ยากจะพบพาน บัดนี้อิวจิ๋วกำลังวุ่นวาย นอกจากนั้น กองซุนจ้านยังเต็มใจจะยกเมืองไต้จิ๋วและเมืองซ่างกู่ให้ถึงสองเมือง ดังนั้นจึงไม่อาจพลาดโอกาสนี้ และสำหรับการจะนำทัพออกรบด้วยตัวเองนั้น ยอดกุนซือทั้งสองย่อมคัดค้านเสียงแข็ง แต่พวกเขาก็ล่วงรู้นิสัยใจคอของลิโป้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเกิดสงครามครั้งใด ลิโป้ก็มักจะกระโจนเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเองเสมอ
"ข้าน้อยจะรอคอยใต้เท้าอยู่ที่อิวจิ๋ว!" จูล่งตาเป็นประกาย เขารีบกุมหมัดกล่าว
"ได้!" ลิโป้หัวเราะ
ก่อนที่สามทัพจะเคลื่อนพล หน่วยเฟยอิงจะเป็นหน่วยแรกที่ออกเคลื่อนไหว ในตอนที่จูล่งมาถึงปิ้งโจวนั้น ลิโป้ก็ได้ทำการส่งหน่วยเฟยอิงออกไปสืบทราบสถานการณ์ในอิวจิ๋วแล้ว
เนื่องเพราะเมืองไต้จิ๋วและเมืองซ่างกู่มักจะถูกพวกเซียนเป่ยรุกราน ดังนั้นทั้งสองเมืองจึงมีกำลังทหารประจำการอยู่มากมาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นทหารชั้นยอดทั้งหมด สองเมืองนี้มีไพร่พลประจำการรวมกันกว่าสามหมื่นคน ขุนนางของทั้งสองเมืองนี้ล้วนแต่สนับสนุนเล่าหงี และนี่จึงเป็นเหตุผลที่กองซุนจ้านสัญญาว่าจะยกสองเมืองนี้ให้
หากว่ากองทัพของทั้งสองเมืองเลือกที่จะเข้าร่วมกับเหยียนโร่ว แรงกดดันที่กองซุนจ้านได้รับก็ยิ่งมากขึ้น แต่แทนที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ไม่สู้เขายกสองเมืองนี้ให้ปิ้งโจวเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจะดีกว่า
งันเหลียงเพิ่งพ่ายแพ้ต่อทัพอิวจิ๋ว หลังจากกลับมารวมกับทัพใหญ่ อ้วนเสี้ยวก็ไม่ได้กล่าวตำหนิเขาแต่อย่างใด เพราะอ้วนเสี้ยวเองก็ทราบดีว่าทหารม้าขาวนั้นร้ายกาจเพียงใด ครั้งนี้ เมื่อเคลื่อนทัพเข้าสู่อิวจิ๋ว เขาก็ต้องการจะทิ้งบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนแก่พวกทหารม้าขาว เพื่อที่จะรับมือกับกองซุนจ้าน อ้วนเสี้ยวได้สั่งให้แม่ทัพของเขา จูอี้ ฝึกฝนทหารหน่วยหนึ่งที่เรียกว่า ทหารเซียนเติง ในหน่วยมีทหารแปดร้อยคน ทุกคนล้วนผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved