ตอนที่ได้เข้ามาในโรงงานช่างฝีมือเป็นครั้งแรกนั้น ปู้หยวนตกตะลึงอย่างหนัก โรงงานอันใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าคงพบเห็นได้แค่ในเมืองลั่วหยางเท่านั้น ระบบการมอบรางวัลและการลงโทษที่ชัดเจนทำให้ปู้หยวนอยากจะทำงานอยู่ที่นี่อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะตอนที่เขาได้ยินมาว่าเฒ่าเฉิงได้รับการปฏิบัติเทียบเท่านายอำเภอจากผลงานที่ได้สร้างเอาไว้ เขารู้สึกอิจฉากับสวัสดิการเช่นนี้ยิ่ง เดิมนั้น ช่างฝีมือมีฐานะไม่สูงอะไร แต่การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง แม้จะเป็นเพียงแค่ในนาม แต่ก็นับว่าสามารถเชิดชูเกียรติให้วงศ์ตระกูลได้แล้ว
"เฒ่าเฉิง ให้ปู้หยวนควบคุมการผลิตอาวุธไปแล้ว แล้วเฉิงตี่เล่า?" ลิโป้ยิ้มถาม
เฒ่าเฉิงหน้าแดง "ใต้เท้า เจ้าลูกสุนัขนี่ไม่เอาอ่าว ยังขาดประสบการณ์ในการสร้างอาวุธอีกมาก ดังนั้นให้เขาเรียนรู้การเป็นช่างฝีมือไปกก่อนขอรับ"
ลิโป้กล่าวว่า "เฒ่าเฉิงต้องให้เขาฝึกเรียนรู้เทคนิคการตีเหล็กให้ดี อย่าได้ละทิ้งมรดกชิ้นสำคัญนี้"
"ใต้เท้าไม่ต้องกังวลขอรับ หากว่าเจ้าลูกสุนัขนี่ล้มเหลวกระทั่งเรื่องนี้ ข้าน้อยจะทุบตีมันให้ตาย!" เฒ่าเฉิงกล่าวขึงขัง
เฉิงตี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบหดคอทันทีเมื่อได้ยิน แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ปู้หยวนยังอายุน้อยยิ่งกว่าเขา ทว่ากลับช่ำชองในการผลิตอาวุธยิ่งกว่าเขา เฉิงตี่ไม่ได้ใฝ่รู้เรื่องการตีเหล็กมาระยะหนึ่งแล้ว ทักาะฝีมือในปัจจุบันก็ล้วนได้รับการสอนจากบิดา แต่เมื่อเทียบกับปู้หยวนแล้ว เขาพบว่าตนเองยังมีส่วนที่บกพร่องอยู่อีกหลายส่วน
"ถ้ามีสปิงก็ดีน่ะสิ" ลิโป้พึมพำขณะที่เดินตรวจดูโรงงาน
"ใต้เท้า สปิงคือสิ่งใดหรือขอรับ?" เฒ่าเฉิงตาเป็นประกาย เขาทราบว่าลิโป้นั้นจะมีความคิดแปลกใหม่กว่าใครเสมอ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องยิงหิน หากว่าสามารถจัดสร้างได้สำเร็จ มันก็จะกลายเป็นสุดยอดอาวุธตีเมืองแห่งยุคเลยทีเดียว
ลิโป้มีความคิดอยากทดลองดู ดังนั้นเขาจึงอธิบายหลักการทำงานของสปิง ปู้หยวนที่คอยติดตามอยู่ที่ด้านข้างเองกเงี่ยหูตั้งใจฟัง
เฒ่าเฉิงตาเป็นประกาย หากว่าเป็นจริงดังที่ลิโป้บอก เช่นนั้นเจ้าสิ่งนี้ก็จะช่วยให้เครื่องยิงหินสามารถยิงได้ไกลกว่าเดิมอย่างแน่นอน ในการใช้งานนั้น เกรงว่าใช้คนแค่สี่คนก็คงเพียงพอแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่เคยพบเห็นเหล็กที่สามารถดัดงอหรือว่ายืดได้
"ใต้เท้า ในโรงงานช่างฝีมือนี้เหลือเหล็กอยู่ไม่มากแล้วขอรับ" เฒ่าเฉิงบ่นอย่างขมขื่น
"เป็นไปได้อย่างไร?" ลิโป้เลิกคิ้ว
"เรียนใต้เท้า บิต๊กและหลี่ฟ่านเคยรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดกาเหล้กให้กับโรงงานมาก่อน แต่เพราะเกิดสงครามขึ้นในชีจิ๋ว ตระกูลบิจึงต้องหันไปกังวลสนใจเรื่องของตัวเองก่อน ดังนั้นการจัดหาจึงเกิดการล่าช้า"
"อืม ข้าจะบอกกับบิต๊กให้แล้วกัน ในเมื่อปิ้งโจวกำลังจะมีทหารมากขึ้น อาวุธและชุดเกราะก็ต้องมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ยุทธภัณฑ์เหล่านี้ไม่อาจจัดสร้างขึ้นส่งๆ ข้าไม่ต้องการให้พวกทหารเสียชีวิตเพราะปัญหาที่เกิดจากคุณภาพของอาวุธและชุดเกราะ" ลิโป้กล่าวอย่างจริงจัง
"ใต้เท้าไม่ต้องกังวลขอรับ ข้าน้อยจะตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด" เฒ่าเฉิงกุมมือตอบ
"เฒ่าเฉิง ยิ่งเครื่องยิงหินสามารถยิงได้ไกลเพียงใด หินที่ใช้ก็ยิ่งต้องหนักถึงจะดี ให้ทหารหกคนคอยควบคุมใช้งานดูจะยังน้อยไป เจ้าสามารถลองคิดถึง การเพิ่มขนาดของเครื่องยิงหินดู" ลิโป้กล่าวขึ้นก่อนจะเดินออกจากโรงงานไป
เมื่อเฒ่าเฉิงได้ยินดังนั้น เขาก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ เขามุ่งเน้นไปที่การทำให้เครื่องยิงหินสะดวกต่อการใช้งาน หากแต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าคำพูดของลิโป้ทำให้เขาได้คิด
หลังออกมาจากโรงงานช่างฝีมือ ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว ในเมืองจิ้นหยาง ยามเมื่อท้องฟ้ามืด ก็จะมีคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้คนเดินเตร็ดเตร่ยามวิกาล ดังนั้นบนท้องถนนในเวลานี้จึงเงียบงันเป็นพิเศษ ลิโป้เองก็อยากจะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในยามกลางคืนให้ดีขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องชนเผ่าเซียนเป่ยและชีจิ๋ว มีเวรยามคอยลาดตระเวนตรวจสอบในยามค่ำคืนอย่างเข้มงวด ดังนั้นปกติแล้วจึงไม่มีชาวบ้านออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก
วันรุ่งขึ้น ลิโป้ก็เดินทางไปค่ายทหารแต่เช้าตรู่ มองดูพวกทหารใหม่ที่มารวมตัวกันอย่างหย่อนหยานแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากทหารใหม่เหล่านี้ เขาคล้ายกับมองเห็นตัวเองตอนที่เพิ่งเข้าร่วมกองทัพใหม่ๆ ตอนนั้นเขาก็ดูไร้ระเบียบเช่นนี้ แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ความเกียจคร้านในร่างก็ค่อยๆสลายหายไป
พวกทหารหน่วยทะลวงค่ายกำลังฝึกฝนกันอยู่ตามคำสั่งของโกซุ่น ทหารที่ด้านล่างเริ่มปฏิบัติท่าทางต่างๆ แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่พวกทหารก็ยังหลั่งเหงื่อโทรมกาย
โกซุ่นฝึกทหารอย่างเข้มงวด น้อยครั้งจะเห็นเขายิ้ม หากแต่พวกทหารหน่วยทะลวงค่ายนั้นเคารพเขามาก โกซุ่นกระทั่งสามารถจำชื่อและความพิเศษของทารแต่ละนายได้ แม้แต่ฐานะครอบครัวก็ยังทราบ สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ มีอยู่เพียงคนเดียวในกองทัพปิ้งโจว นั่นก็คือ แม่ทัพโกซุ่น
หลังจากสังเกตการณ์โดยละเอียด ลิโป้ก็เกิดความคิดขึ้นในหัว ทหารหน่วยทะลวงค่ายนั้นเป็นทหารราบที่แข็งแกร่งที่สุดของทัพปิ้งโจว ความมีวินัยเองก็นับว่ามากที่สุดเช่นกัน พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ทัพโดยไม่อิดออด แม้ว่าคำสั่งที่ได้รับจะยากเย็นเพียงใด ก็ไม่มีใครปริปากบ่น อีกทั้งโกซุ่นยังสามารถควบคุมทหารได้อย่างแม่นยำ สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ของศัตรู สำหรับการควบคุมหน่วยทะลวงค่ายนั้น การให้โกวซุ่นเป็นผู้ควบคุมนับว่าเหมาะที่สุดจริงๆ
หลังจากช่วงเวลาฝึก ก็เป็นช่วงเวลาพักทานอาหารเช้า ทหารในกองทัพปิ้งโจวนั้นจะได้ทานอาหารจำนวนสามมื้อต่อวัน นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ ในระหว่างมื้ออาหาร เหล่าพลทหารและแม่ทัพนายกองก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งยังเป็นอาหารแบบเดียวกัน การกินอาหารแบบเดียวกันจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพลทหารและแม่ทัพ และสะดวกสำหรับให้แม่ทัพเข้าใจลักษณะนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดียิ่งขึ้น
หลังจากทานมื้อเช้าแล้ว ลิโป้ก็เรียกโกซุ่นมาพบ
"นายท่าน" โกซุ่นกุมหมัดค้อมคำนับ เขาเคยชินกับการเรียกลิโป้ว่าท่านขุนพล แต่หลังจากกุยแกกระตุ้นเตือนเขาแล้ว เขาจึงเปลี่ยนคำเรียกหา
"ที่นี่ไม่มีคนนอก ซุ่นจื่อไม่ต้องมากพิธี นั่งตามสบายเถอะ" ลิโป้หัวเราะ
ได้ยินเช่นนั้น โกซุ่นก็นั่งลงเงียบๆ เขาเป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่เก่ง ดังนั้นจึงมักจะกระทำสิ่งต่างๆอย่างเงียบๆ ไม่ว่าปิ้งโจวจะเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด เขาก็จะยืนหยัดข้างกายลิโป้ไม่ถอยหนี
"ซุ่นจื่อ เจ้าคิดเห็นอย่างไรหากว่าให้ทหารหน่วยทะลวงค่ายเปลี่ยนเป็นเกราะที่หนักขึ้น?" ลิโป้เอ่ยถาม
"เกราะหนักขึ้นหรือขอรับ?" โกซุ่นถามอย่างสงสัย
"ข้าต้องการให้ทหารหน่วยทะลวงค่ายสวมเกราะหนักทั้งตัว" ลิโป้เอ่ยขึ้นตรงๆ
โกซุ่นตาเป็นประกาย แม้ว่ายามนี้ทหารหน่วยทะลวงค่ายจะแข็งแกร่งจนยากจะต้านทานแล้ว กระนั้นก็ยังหลีกเลี่ยงความสูญเสียเล็กน้อยในการศึกแต่ละครั้งไม่ได้ การเสียทหารไปจะต้องใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อฝึกฝนคนใหม่ขึ้นมาทดแทน อย่างไรเสีย หน่วยทะบวงค่ายก็มุ่งเน้นไปที่การประสานงานระหว่างทหาร หากว่าได้สวมเกราะเต็มตัวดังที่ลิโป้กล่าว ความสามารถในการรบและอัตราการรอดชีวิตของทหารจะเพิ่มสูงขึ้นมาก
ในเวลานี้นั้น เกราะของทหารหน่วยทะลวงค่ายก็นับว่าเป็นเกราะที่ดีและหนักที่สุดในกองทัพปิ้งโจว หรืออาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นทหารราบเกราะหนักที่สุดในยุคนี้แล้ว
"พวกเราจะลองพยายามดูขอรับ" โกซุ่นกุมหมัดกล่าว เขาพลันนึกถึงหน่วยทหารอันเลื่องชื่ออย่าง ทหารเว่ยอู่ หากว่าเขามีปัจจัยต่างๆเพียงพอ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถสร้างกองทัพเกราะหนักเช่นนั้นขึ้นมาได้
ทหารเว่ยอู่เป็นกองทหารราบชั้นยอดที่ฝึกฝนขึ้นโดยยอดขุนพลอู๋ฉี่ อู๋ฉี่นำทหารเว่ยอู่ออกทำศึกเหนือจรดใต้ มีความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ "ออกรบเจ็ดสิบหกศึก ได้รับชัยชนะหกสิบสี่ศึก ที่เหลือไม่แพ้ไม่ชนะ"
ครั้งหนึ่งอู๋ฉี่เคยนำทหารหน่วยเว่ยอู่บุกยึดด่านหานกู่กวนได้สำเร็จ หลังจากชนะศึกน้อยใหญ่หกสิบสี่ครั้ง เขาก็สามารถยึดครองพื้นที่กว่าห้าร้อยลี้ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำฮวงโหในแคว้นฉิน และสามารถทำให้แคว้นถูกบีบเข้าไปในช่องแคบทางตะวันออกของภูเขาหัวซาน
การคัดเลือกทหารของหน่วยเว่ยอู่นั้นเข้มงวดยิ่ง ทหารแต่ละนายจะต้องสามารถสวมเกราะสามชั้น ทหารนายหนึ่งจะถือจี๋(อาวุธประเภททวน) ที่เอวสะพายดาบ มือซ้ายถือโล่ใหญ่ ที่หลังสะพายหน้าไม้และลูกศรจำนวนห้าสิบดอก แต่ละครั้งจะพกพาเสบียงสำหรับสามวัน ทหารที่สามารถเดินทัพได้ร้อยลี้ในครึ่งวันได้ถึงจะมีคุณสมบัติเป็นทหารเว่ยอู่
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved