ตอนที่ 133 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

เทพอาชาตัวนี้ทำให้จูล่งต้องตกอยู่ในสภาพที่อับจน มองดูม้าศึกในกองทัพทั้งหมดแล้ว การจะไล่กวดตามเทพอาชาตัวนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย หลังจากขบคิดหาทางอย่างหนัก จูล่งก็นึกได้วิธีหนึ่ง นั่นคือ ใช้ทหารที่มีขี่ม้าสูงเยี่ยมในการจับ ใช้การค่อยๆโอบล้อมเข้ามาจากทุกทิศทางเพื่อไม่ให้เทพอาชาตัวนี้หนีรอดไปได้

เมื่อได้ยินว่าจูล่งพบตัวเทพอาชาที่เล่าลือกันแล้ว ลิโป้ก็ตื่นเต้นยินดี

ทหารม้าเฟยฉีต่างทุ่มเทสุดความสามารถ ในด้านทักษะการขี่ม้านั้น พวกเขาไม่รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้ใด ส่วนการประชันระหว่างแม่ทัพนั้นยังดุเดือดยิ่งกว่า เทพอาชาตัวนี้ล้ำค่ายิ่ง หากพวกเขาบังเอิญจับได้ขึ้นมา ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงความสำเร็จนี้ก็สามารถคุยโตโอ้อวดไปได้อีกนาน

วันถัดมา อาชาสีดำสนิทก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของทั้งหมด มันก้มลงเล็มกินฟางด้วยท่าทางผ่อนคลาย

ลิโป้จ้องมองมันด้วยดวงตาเป็นประกาย ในใจรู้สั่นไหวอย่างหนัก จากคำกล่าวของจูล่งนั้น เขาก็ตัดสินได้ว่าอาชาตัวนี้คือสุดยอดอาชา เพียงความสูงก็สูงกว่าม้าศึกทั่วไปแล้ว

จูล่งที่ทำหน้าที่บัญชาการการล้อมจับครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าเทพอาชาปรากฏตัวออกมา เขาก็ออกคำสั่ง เหล่าทหารที่คอยท่าอยู่แล้วก็พลันค่อยๆย่องเข้าหาเทพอาชาจากทุกทาง

เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย เทพอาชาก็พลันเงยหน้าขึ้น มันมองไปรอบๆด้วยความตื่นตัว ใบหูของมันสั่นเบาๆ ทันใดนั้นมันก็พลันตะกุยกีบเท้าออกวิ่งอย่างรวดเร็ว

"ฮึ่ม ดูซิว่าครั้งนี้ยังจะหนีไปไหนได้อีก" จูล่งแค่นเสียง

เผชิญกับการล้อมจับจากทหารม้าเฟยฉีและทหารม้าขาวที่เชี่ยวชาญด้านการขี่ม้า เทพอาชาก็เคลื่อนตัวหลบหลีกด้วยความคล่องแคล่ว เชือกที่ถูกโยนออกมาจึงจับได้เพียงอากาศธาตุ กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้สงบเหมือนกับตอนแรก

แม่ทัพทหารม้าเฟยฉีนายหนึ่งพลันฉวยโอกาสตอนที่เทพอาชากำลังหลบเชือกเส้นอื่นๆ เขาพลันซัดเชือกไปคล้องคอเทพอาชาไว้ได้สำเร็จ

"มานี่เลย" แม่ทัพนายนั้นคำราม

คิดไม่ถึงว่าเทพอาชาจะมีกำลังวังชาสูงเยี่ยมเช่นกัน มันออกแรงกระชากกลับจนดึงแม่ทัพนายนั้นร่วงลงจากหลังม้า โชคดีที่แม่ทัพนายนั้นมีฝีมือขี่ม้าไม่ต่ำทราม ดังนั้นจึงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร

หลังจากผงะกับฉากที่เกิดขึ้น ทหารม้าที่อยู่โดยรอบก็ตีวงล้อมเข้ามา เชือกหลายเส้นถูกโยนไปคล้องคอเทพอาชาเอาไว้

แม้เทพอาชาจะพยายามดิ้นรนเพียงใดก็ยังไม่อาจสลัดหลุด

เมื่อเห็นว่าม้าสีดำสนิทถูกจับไว้ได้แล้ว ลิโป้ก็มีความสุข เขารีบก้าวเดินออกไป

หลังจากพินิจดูอย่างละเอียด ลิโป้ก็ลอบถอนใจชมเชย ทั่วร่างที่ดำสนิทราวกับน้ำหมึก และร่างกายที่สูงใหญ่ของมันนั้นดูงดงามยิ่ง มีก็แต่บริเวณแผงคอและกีบเท้าเท่านั้นที่เป็นสีแดงเพลิง มองประเมินโดยรวมแล้วอาชาตัวนี้ดูบึกบึนกว่าอาชาทั่วไปมาก หากนำไปวางไว้ท่ามกลางม้าศึกทั่วไปก็จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

"ม้าดี ม้าดี ม้าดี!" ลิโป้เอ่ยปากชมไม่หยุด

"ใยนายท่านไม่ลองขึ้นไปขี่ดูล่ะขอรับ?" เตียนอุยกล่าวแนะนำ

หลังจากสั่งให้คนไปนำอานม้าและอุปกรณ์อื่นๆมาแล้ว ลิโป้ก็รับสายบังเหียนจากทหาร

ม้าวิเศษเช่นนี้ย่อมปราบพยศได้ยาก แต่เมื่อมันได้จดจำผู้ใดเป็นเจ้านายแล้ว มันก็จะผูกพันและปกป้องเจ้าของได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่าแม่ทัพถึงชื่นชอบยอดอาชา

ก่อหน้านี้มันยังดูเหมือน แต่พอผ่านไปสักพักมันก็เริ่มพยศอีกครั้ง ลิโป้ไม่รอให้มันได้ทำสิ่งใดก็พลิกตัวขึ้นไปนั่ง

อาชาสีดำสนิทเริ่มดิ้นรนขัดขืน มันคือเทพอาชาที่สามารถวิ่งตะบึงไปทั่วได้อย่างอิสระ แล้วมันจะยอมรับการผูกมัดเช่นนี้ได้อย่างไร มันกระโดดขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง พยามจะสลัดผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของมันให้ตกลงมา

ลิโป้รั้งสายบังเหียนไว้แน่นพลางใช้ขาหนีบอาชาใต้ร่างเอาไว้

อาชาดำคล้ายมีเรี่ยวแรงไม่หมดสิ้น หลังจากออกอาการพยศผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่หยุด ลิโป้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ดังนั้นจึงใช้เท้ากระตุ้นท้องม้าอย่างแรง เทพอาชาตกใจ มันจึงยกขาหน้าขึ้นพลางส่งเสียงร้อง

ลิโป้หัวใจกระตุกวูบ เขารีบรั้งสายบังเหียนให้ตึงพลางประคองร่างเอาไว้ไม่ให้ร่วงตกลงไป

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เทพอาชาก็คล้ายรู้จักเหน็ดเหนื่อยในที่สุด ดังนั้นมันจึงค่อยๆสงบลง ลิโป้ใช้มือลูบแผงคอม้า เทพอาชาก็พ่นลมออกมาทางจมูกเป็นครั้งคราว หากแต่ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนอีก

การนั่งอยู่บนหลังอาชาตัวนี้ทำให้ลิโป้ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม แม้ม้าศึกที่เขาเคยใช้จะเป็นม้าศึกตัวที่ดีที่สุดในกองทัพ ทว่าเมื่อเทียบกับอาชาตัวนี้แล้ว ม้าศึกตัวนั้นก็เตี้ยกว่าถึงสองฉื่อ

"เด็กดี เด็กดี พวกเราไปวิ่งเล่นกันสักเที่ยว" กล่าวจบลิโป้ก็กระตุ้นท้องม้าเบาๆ

อาชาดำใต้ร่างคล้ายฟังเข้าใจ มันส่งเสียงร้องก่อนจะออกวิ่ง

ลิโป้เข้าใจแล้วว่าคำว่ารวดเร็วดุจสายลมเป็นอย่างไร หากเขารวดเร็วได้เหมือนดั่งเวลานี้ ผู้ใดยังจะสามารถหยุดอาวุธในมือของเขาได้อีก ลิโป้รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองนั้นไร้เทียมทาน

"ขอแสดงความยินดีต่อนายท่านที่ได้รับม้าวิเศษ!"

"ขอแสดงความยินดีต่อนายท่านที่ได้รับเทพอาชา!"

หลังควบตะบึงกลับมา ลิโป้ก็พลิกตัวลงจากหลังม้า เขายื่นมือลูบหลังม้าอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหล่าแม่ทัพและทหารโดยรอบต่างส่งเสียงแสดงความยินดี

"อืม เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแม่ทัพจูล่ง" ลิโป้หัวเราะ

"ใต้เท้าลิกล่าวหนักไปแล้วขอรับ" จูล่งกุมหมัดตอบ

"เฟิ่งเซี่ยว ให้ท่านตั้งชื่อม้าตัวนี้เป็นอย่างไร?" ลิโป้หันมาถามกุยแก

กุยแกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "อาชาตัวนี้มีสีดำสนิทประดุจหมึก ฝีเท้ารวดเร็วดั่งสายลม กับเท้าทั้งสี่มีสีแดงเพลิง ยามออกวิ่งคล้ายกับกำลังวิ่งอยู่บนเปลวเพลิง เช่นนั้นสมควรเรียกว่า ย่ำอัคคี"

"ดี เช่นนั้น นับจากนี้ไป ข้าจะเรียกเจ้าว่าย่ำอัคคี" ลิโป้ลูบแผงคอม้าพลางหัวเราะ

ย่ำอัคคีพ่นลมหายใจคล้ายกับพึงพอใจต่อชื่อเรียกนี้

...................................

มีเผ่าเซียนเป่ยสิบกว่าเผ่าที่ถูกกองทัพชาวฮั่นกวาดล้างไป เมื่อข่าวเรื่องความพ่ายแพ้ของทัพม้าหวังถิงล่วงรู้ไปถึงหูของเคอปี่เหนิง เขาก็ไม่อาจสงบใจไว้ได้อีก ภูเขาต้านหานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจปล่อยให้ผู้คนล่วงล้ำ บัดนี้ไม่เพียงแต่ทัพฮั่นจะสังหารทัพหวังถิงจนสิ้น แต่ยังกวาดเอาสมบัติในราชสำนักไปด้วย เคอปี่เหนิงไม่ได้สนใจทัพหวังถิงมากนัก ที่เขาสนใจจริงๆก็คือผลกระทบหลังจากที่ราชสำนักถูกเหยียบย่ำ

ยังไม่กล่าวถึงเรื่องที่สูญเสียชนเผ่าในเซียนเป่ยภาคกลางไปหลายเผ่า เพียงเรื่องที่ราชสำนักถูกศัตรูถล่มจนราบคาบก็เพียงพอให้เคอปี่เหนิงถูกชาวเซียนเป่ยทั้งหมดก่นด่าสาปแช่งแล้ว

"ทัพหวังถิงพวกนั้นล้วนแต่เป็นสัดใส่ข้าว!" เคอปี่เหนิงสบถขณะกำหมัดแน่น ตามแขนปรากฏเส้นเลือดขึ้นอย่างเด่นชัด

หลังจากนั้นเขาจึงค่อยๆสงบใจลง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโยนความผิดให้ทัพหวังถิง หากแต่เป็นเรื่องที่ทำอย่างไรจึงจะกำจัดทัพฮั่นกลุ่มนั้นออกไปได้ การปล่อยให้ชาวฮั่นเที่ยวอาละวาดอยู่ในทุ่งหญ้านับเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดสำหรับชาวเซียนเป่ย

บัดนี้ไม่ใช่เรื่องของเซียนเป่ยภาคกลางฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเรื่องของชาวเซียนเป่ยทุกคน เคอปี่เหนิงส่งคนไปเชิญปู้ตู้เกินและซูลี่มา

หลังจากฟังรายละเอียดจากเคอปี่เหนิง ในแววตาของปู้ตู้เกินก็ฉายแววตื่นเต้น เขาคิดจะจัดการเคอปี่เหนิงมาโดยตลอด และเวลานี้ก็เกิดเรื่องขึ้นกับราชสำนักแล้ว ด้วยเพราะราชสำนักแห่งนี้ เคอปี่เหนิงจึงขยายอิทธิพลได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีมานี้ ดังนั้นในใจของเขาจึงมองหาโอกาสที่จะครบครองราชสำนักแห่งนี้มานานแล้ว

อันที่จริงนั้น แม้ราชสำนักเซียนเป่ยจะตั้งอยู่ในอาณาเขตของเซียนเป่ยภาคกลาง กระนั้น เคอปี่เหนิง ปู้ตู้เกินและซูลี่ต่างก็ให้ความเคารพต่อราชสำนัก พวกเขาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแตะต้องราชสำนักแห่งนี้แม้แต่น้อย

"เคอปี่เหนิง การโจมตีด่านเยี่ยนเหมินก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว บัดนี้ด่านเยี่ยนเหมินใกล้จะถูกตีแตกอยู่รอมร่อ พวกเราอยู่ๆจะลามือได้อย่างไร? เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือที่เสนอให้โจมตีด่านเยี่ยนเหมิน?" ปู้ตู้เกินกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ