ตอนที่ 107 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

หลังจากได้เห็นสิ่งที่ลิโป้ยื่นให้ เฒ่าเฉิงก็งุนงงเล็กน้อย สิ่งนี้ไม่ใช่อาวุธมาตราฐานที่ใช้กันในกองทัพฮั่น รูปร่างของมันคล้ายกับดาบ

ลิโป้ไม่ได้อธิบายอะไร เขาหันไปพูดคุยกับช่างฝีมือคนอื่นๆอยู่สักพักก็ออกจากที่นี่ไป

ทหารของราชวงศ์ฮั่นส่วนใหญ่จะใช้หอก ง้าว และดาบเป็นอาวุธ อาวุธจำพวกง้าวและกระบองนั้นส่วนใหญ่จะถูกใช้โดยแม่ทัพ แต่ดาบที่อยู่ในพิมพ์เขียวนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

อาวุธนี้เป็นดาบที่มีหน้ากว้างและมีใบดาบบาง ตัวใบดาบค่อนข้างหนักซึ่งจะมีประโยชน์ในการเพิ่มแรงฟัน ด้ามจับงอไปทางใบดาบเล็กน้อย ดังนั้นด้ามจับจึงสะดวกต่อนักรบบนหลังม้า เทียบกับอาวุธชนิดอื่นแล้วยังมีน้ำหนักเบากว่า สิ่งนี้เป็นอาวุธที่เน้นหลักด้านการมีแรงส่งจากความเร็วของม้าเพื่อเพิ่มแรงฟัน นอกจากการฟันแล้ว มันยังสามารถใช้แทงเพื่อทำให้ศัตรูสูญเสียประสทิธิภาพในการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากใบดาบเจาะเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้วก็จะทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทำให้ยากจะถอนออก แต่การเพิ่มร่องเลือดเข้าไปทำให้ตัวอาวุธมีช่องว่างให้อากาศถ่ายเท ทำให้ง่ายที่จะถอนดาบกลับมาสังหารศัตรูรายถัดไปอย่างรวดเร็ว

ยิ่งเมื่อถูกสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยในคุณภาพ หากทหารม้าปิ้งโจวได้ฝึกฝนการใช้อาวุธชนิดนี้แล้วล่ะก็ การพิชิตทุ่งหญ้าก็จะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

เมื่อลิโป้มาโถงรับสมัคร เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลการลงทะเบียนก็รีบกุลีกุจอเข้ามาส่งมอบทะเบียนรายชื่อ ท่าทางที่อ่านรายชื่อด้วยความสนใจของลิโป้ทำให้เหล่าเจ้าที่ตื่นเต้นกันมาก ขอเพียงทำงานหนักก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

หลังจากพลิกอ่านรายชื่อสักพัก ร่างกายของลิโป้ก็พลันแข็งค้าง จ้าวหมิงที่เฝ้าสังเกตอยู่ด้านข้างพลันหน้าขาวซีด เขานึกว่าทะเบียนรายชื่อเล่มนี้คงเกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้น

"คนที่ชื่อกุยแก จากอิ่งชวน ชื่อรองว่าเฟิ่งเสี้ยว เจ้าแน่ใจนะว่าเขามาลงทะเบียนจริงๆ?" น้ำเสียงของลิโป้แฝงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายมีชื่อเสียงเกินไป ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น เขาจัดเป็นกุนซืออันดับต้นๆแห่งแผ่นดิน คงไม่ใช่เป็นเพียงคนชื่อเหมือนหรอกนะ?

"ขอรับ เร็วๆนี้เขายังพักอยู่ในโรงเตี๊ยมภายในเมือง ใต้เท้า มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?" จ้าวหมิงถามเสียงสั่น

"เร็วเข้า รีบไปเชิญคนผู้นี้ ไม่สิ ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง" ลิโป้รีบร้อนจากไปพร้อมกลุ่มเจ้าหน้าที่โถงรับสมัคร

จ้าวหมิงงุนงง คนที่ชื่อกุยแกผู้นี้เป็นเทพเจ้าองค์ใดกันถึงทำให้ท่านเจ้าเมืองต้องรีบร้อนไปพบด้วยตัวเอง

จู่ๆก็มีทหารกลุ่มหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาโรงเตี๊ยม แขกเหรื่อที่มาดื่มกินต่างพากันตกใจ ชาวบ้านธรรมดามักจะกริ่งเกรงทหารอยู่แล้ว แม้ลิโป้จะพยายามปรับภาพลักษณ์ของทหารให้เป็นมิตรต่อประชาชน กระนั้นในช่วงเวลาสั้นๆก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

"ท่านทหาร ร้านข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ? หากมีที่ใดที่ผิดพลาดไปขอท่านทหารโปรดให้อภัย" เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเดินเข้ามารับหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาทราบว่านับตั้งแต่เปลี่ยนตัวเจ้าเมืองเป็นต้นมา เรื่องทหารรังแกชาวบ้านก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ดังนั้นจึงไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด

"ขออภัยด้วย วันนี้มีธุระสำคัญต้องจัดการ ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว" ลิโป้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การบุกเข้าร้านค้าโดยไม่มีคำสั่งย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของทหารรักษษการณ์เสียหายไม่น้อย

เมื่อเห็นลักษณะที่ไม่ธรรมดาของลิโป้ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็รีบกล่าวขึ้นว่า "ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ทราบโรงเตี๊ยมของข้าทำผิดเรื่องใดหรือขอรับ?"

"อ้อใช่แล้ว มีคนที่ชื่อว่ากุยแกมาพักแรมที่นี่หรือไม่?" จ้าวหมิงรีบก้าวออกมาถาม

"กุยแก...ดูเหมือนจะมีคนผู้นี้อยู่ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยขอไปสอบถามผู้ดูแลสักครู่ เชิญใต้เท้าทั้งหลายนั่งพักก่อนขอรับ"

ณ มุมหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสงบแตกต่างจากแขกคนอื่นๆ ราวกับว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อครู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด แต่เมื่อได้ยินจ้าวหมิงเอ่ยนามกุยแกออกมา ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ต้องชำเลืองมองไปทางด้านนั้นคราหนึ่ง พอเห็นจ้าวหมิงเขาก็จำได้ว่าเคยพบคนผู้นี้ที่โถงรับสมัคร

ลิโป้ที่สูงราวเก้าฉื่อสร้างความกดดันต่อผู้คนโดยรอบอย่างมาก กลิ่นอายฆ่าฟันที่ติดอยู่บนร่างจางๆก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนจากกองทัพ

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ลิโป้ก็หันมองตามไปและพบเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้สูงราวเจ็ดฉื่อ รูปร่างค่อนข้างผอมบาง ชุดยาวที่สวมใส่ดูหลวมโคร่งเล็กน้อย สีหน้าท่าทางดูอ่อนแออมโรคแตกต่างจากผู้คนโดยรอบอย่างชัดเจน สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่ง เมื่อชาวบ้านทั่วไปพบเห็นพวกทหารต้องไม่มีสีหน้าสุขุมได้ถึงเพียงนี้

ลิโป้เดินไปยังฝั่งตรงข้ามของชายหนุ่มก่อนจะนั่งลง จากนั้นจึงยิ้มถามว่า "เซียนเซิง ขอข้านั่งด้วยได้ไหม?"

"เหอเหอ ในเมื่อท่านแม่ทัพนั่งลงแล้ว ใยต้องถามอีก?" ชายหนุ่มนั้นกล่าวจบก็จิบชาต่อ สีหน้าท่าทางดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง

จ้าวหมิงที่หันมาเห็นเข้าพลันปรี่เข้ามาตะคอก "สามหาว! กล่าววาจาเช่นนี้กับใต้เท้าได้อย่างไร?"

ลิโป้ปรายตามองพลางกล่าวเสียงเย็น "เจ้าออกไปก่อน หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ไม่ต้องเข้ามา"

จ้าวหมิงเก็บสำรวมท่าที เขาค้อมคำนับคราหนึ่งก่อนถอยหลังออกไป

"ขอบังอาจเรียนถามเซียนเซิง ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าเป็นแม่ทัพ ทั้งๆที่เขาเรียกข้าว่าใต้เท้า?" ลิโป้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"ท่านแม่ทัพมีสง่าราศี มือที่ด้านนั่นก็บ่งบอกจับสัมผัสอาวุธอยู่ตลอด ขอตอบท่านแม่ทัพ ข้าก็เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น"

ความมั่นใจ นี่ก็คือสิ่งที่ลิโป้สัมผัสได้จากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เป็นความรู้เดียวกับที่เขาสัมผัสได้จากกาเซี่ยง นี่เป็นกลิ่นอายที่มีเพียงผู้ที่มั่นใจในขีดความสามารถของตนเองเท่านั้นที่จะมีได้

"ข้ารู้สึกถูกชะตากับเซียนเซิงยิ่ง หลังจากดื่มจอกนี้แล้ว พวกเราคบหาเป็นสหายกันดีหรือไม่?" ลิโป้หยิบถ้วยเปล่าขึ้นมา

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ "เกรงว่าข้าจะไม่กล้ายกตัวเป็นสหายของท่านแม่ทัพ เมื่อมีผู้ใต้บังคับบัญชาคอยติดตามเช่นนี้ แสดงว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน หากข้าเดาไม่ผิด คนเมื่อครู่นี้เป็นขุนนางที่อยู่ในโถงรับสมัคร จากข้อนี้แล้ว ฐานะของท่านแม่ทัพภายในปิ้งโจวคงไม่ต่ำทราม"

"โอ้ เช่นนั้นเซียนเซิงลองคาดเดาดูว่าข้าเป็นใครดีหรือไม่?" ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้ลิโป้เกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว

ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นรินสุราให้ตัวเอง เขาเพ่งพิจมองดูลิโป้ก่อนที่รอยยิ้มลี้ลับจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก "หากข้าน้อยเดาไม่ผิด ท่านแม่ทัพคงเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองแล้ว"

ลิโป้ตกตะลึง ทราบว่าตนเองได้พบกับผู้รอบรู้แล้ว "ไม่ทราบขอเรียนถามนามผู้สูงส่ง?"

"ท่านลองเดาดู" ชายหนุ่มยิ้มกล่าว

ตอนนี้เอง เถ้าแก่โรงเต๊๊ยมก็เดินเข้ามา ลิโป้ปรายตามองก่อนจะโบกมือให้ถอยออกไป จากนั้นจึงหันกลับมายิ้มกล่าวกับชายหนุ่ม "ข้าพอจะเดาออกแล้ว"

"เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมฟางไฉคงมอบคำตอบให้ท่านแม่ทัพแล้ว ไฉนยังต้องคาดเดาอีก?" ชายหนุ่มยิ้ม

ลิโป้พลันลุกขึ้นกุมมือกล่าวว่า "ข้าคือเจ้าเมืองปิ้งโจวลิโป้ ชื่อรองเฟิ่งเซียน"

ชายหนุ่มเองก็ลุกขึ้นประสานมือโค้งคำนับก่อนจะกล่าวว่า "ข้าน้อยกุยแก ชื่อรองเฟิ่งเสี้ยว มีพื้นเพจากเมืองอิ่งชวน ได้รับการสั่งสอนจากท่านซินแสแว่นน้ำ[1]"

[1 สุ่ยจิ้งเซียนเซิง(ซินแสแว่นน้ำ) = อาจารย์สุมาเต๊กโช]

เมื่อแน่ใจว่าพบคนที่ตามหาแล้ว ในใจลิโป้ก็บังเกิดความปั่นป่วน ไม่อาจรักษาท่าทีสุขุมได้ดังก่อนหน้า