ตอนที่ 280 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ในฐานะแม่ทัพผู้หนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่พึงกระทำคือเข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อที่จะเข้าใจความพิเศษของเสี้ยวเว่ย ซือหม่า(นายกองพัน) หรือแม้แต่นายกองแต่ละคน การควบคุมคนหนึ่งร้อยและหนึ่งพันนั้นแตกต่างกันมาก สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในการควบคุมคนจำนวนหลายพันก็คือ เข้าใจแม่ทัพแต่ละคน ยามอยู่ในสนามรบจะต้องปรับตัวตามสถานการณ์ พวกเจ้าส่วนใหญ่เป็นแม่ทัพ ด้วยไพร่พลจำนวนนับพันใต้บัญชา พวกเจ้าจะต้องมีความระมัดระวังในการรบ และรับผิดชอบต่อชีวิตของไพร่พล" หลังจากกล่าวอีกเล็กน้อย ลิโป้ก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้เหล่าผู้ที่อยู่ภายในห้องย่อยความรู้เข้าไป

ข่าวเรื่องงานแต่งงานของลิโป้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินฮั่นผ่านหนังสือพิมพ์ต้าฮั่น บิเจินและเตียวเสี้ยนยังไม่เท่าไร แต่ซัวเอี๋ยมเล่า นางเป็นใคร? นางเป็นบุตรีของซัวหยง ขุนนางปราชญ์ของแผ่นดิน หลังจากมีการเชื่อมสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ว ซัวหยงก็จะมีความสัมพันธ์กับปิ้งโจวแนบชิดยิ่งขึ้น ที่แล้วมาซัวหยงคอยชูธงโห่ร้องผ่านหนังสือพิมพ์ต้าฮั่นให้ปิ้งโจวหลายครั้ง จนเขาคล้ายกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับปิ้งโจว ทำให้บรรดาเจ้าเมืองอื่นๆต้องขบคิดใคร่ครวญก่อนกระทำการใด

ด้วยข่าวเรื่องงานแต่งงานของลิโป้ เหล่าเจ้าเมืองคนอื่นๆย่อมต้องส่งคนเดินทางมา แม้ว่าอ้วนสุดและลิโป้จะไม่ถูกกัน กระนั้นภายใต้คำแนะนำของเหล่าที่ปรึกษา เขาก็ยังส่งตัวแทนมา ความทะเยอทะยานของอ้วนสุดนั้น มีหรือที่เหล่าที่ปรึกษาจะมองไม่เห็น? พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าการทัดทานเพียงมีผลชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ว อ้วนสุดจะต้องเผยความทะเยอทะยานออกมาโโยสมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น ดินแดนที่อ้วนสุดยึดครองยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหมด เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ด้วยอำนาจของอ้วนสุดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปได้ที่จะทะยานขึ้นยึดกุมอำนาจสูงสุด ถึงอย่างไรชะตากรรมของราชวงศ์ฮั่นในตอนนี้ก็ยังไม่แน่ชัด กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังสวรรคตไปแล้ว แผ่นดินยามนี้ไร้ประมุขปกครอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งลุกขึ้นมา และอ้วนสุดก็อาจจะเป็นคนผู้นั้น

ความเย้ายวนของบัลลังก์มังกรนั้นมีผลต่อเหล่าขุนนางยิ่ง ขุนนางในสังกัดของอ้วนสุดหลายคนยังลอบสนับสนุนความทะเยอทะยานของอ้วนสุด มีผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการฝากชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์เพื่อที่จะให้อนุชนรุ่นหลังให้ความชื่นชม เมื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับหากว่าสำเร็จมีมากกว่าความเสี่ยง มันก็ยิ่งใหญ่เพียงพอจะให้พวกเขาทดลองดูสักครา ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ การซื้อใจลิโป้เอาไว้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอ้วนสุดและลิโป้จะบาดหมางกันด้วยเรื่องใดมาก่อน บัดนี้ย่อมต้องไว้หน้ากันสักครา กองทัพของปิ้งโจวเข้มแข็งเกรียงไกร หากได้รับการสนับสนุนจากปิ้งโจว โอกาสที่อ้วนสุดจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็จะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นภายใต้การเกลี้ยกล่อมของเหล่าที่ปรึกษา อ้วนสุดยังได้ต้องสั่งให้ทูตที่เดินทางมาไปบอกกล่าวรับปากต่อลิโป้ว่าจะยกเขาขึ้นเป็นอ๋อง ซึ่งเป็นการทำลายกฏเหล็กของราชวงศ์ฮั่นที่มีมาเกือบสี่ร้อยปีลง

แน่นอน อ้วนสุดเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้ความเย้ายวนของตำแหน่งอ๋องแล้ว ลิโป้จะต้องไม่อาจต้านทานได้ การเฉือนแบ่งแผ่นดินส่วนหนึ่งให้ปกครองนั้นเป็นความเย้ายวนที่ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะต้านทาน นี่เป็นอำนาจที่แม้แต่ราชสำนักก็ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงกิจการในดินแดนของอ๋อง

ภายในเวลาหนึ่งเดือน เมืองจิ้นหยางก็เพิ่มความคึกคักขึ้นอีกหลายเท่าตัว เหล่าทูตตัวแทนย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง การจับจ่ายอย่างมือเติบของพวกเขากลายเป็นการอัดฉีดให้กับเศรษฐกิจเมืองจิ้นหยางในทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดขายของสุราจิ้นได้พุ่งทะลุเพดาน กิจการการค้าเฟื่องฟู เหล่าทูตตัวแทน เมื่อมาถึงจิ้นหยางแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการลิ้มลองมากที่สุดก็คือรสชาติของสุราจิ้น กิจการร้านอาหารภายในจิ้นหยางก็ร้อนแรงเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ปิ้งโจวจึงสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

การหว่านไถในฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงไปแล้ว และเรื่องที่เหล่าชาวบ้านพูดคุยกันหลังอาหารก็ไม่พ้นเรื่องการแต่งงานของใต้เท้าเจ้าเมือง เรื่องราวใดๆที่เกี่ยวพันกับลิโป้ล้วนเป็นหัวข้อสำคัญของเหล่าชาวบ้าน ในสายตาของเหล่าชาวบ้านแล้ว การแต่งงานครั้งนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าลิโป้ยังแต่งงานรวดเดียวกับเจ้าสาวสามคน

ฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส ลิโป้ที่กำลังจะแต่งงานกับเตียวเสี้ยน ซัวเอี๋ยม และบิเจินกำลังกระวนกระวายใจไม่น้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งงานครั้งแรกในชีวิตของเขา ทั้งยังตบแต่งสาวงามถึงสามคนในคราวเดียว หากวางเรื่องเหล่านี้ลงบนตัวผู้ใด เกรงว่าไม่ว่าใครก็ตื่นเต้นไม่ต่างกันทั้งนั้น

เมื่อเห็นลิโป้ดูกระวนกระวาย กุยแกก็กล่าวแนะนำขึ้นว่า "นายท่านไม่ต้องกังวล เพียงทำตามคำพูดของใต้เท้ากาก็พอขอรับ" การได้เห็นท่าทางของลิโป้เป็นเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่หายาก กุยแกเองก็รู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อย

ด้วยมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่เช่นซัวหยงเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปรับแก้ขั้นตอนต่างๆในพิธีแต่งงานให้กระชับลง นี่คือการแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อขุนนางใหญ่ เรื่องนี้ทำให้ลิโป้รู้สึกลนลาน ในใจมีเพียงความกังวลจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนคล้ายกลายเป็นหุ่นเชิดที่ผู้ใดบอกให้ทำอะไรก็ทำ

หลังจากสิ้นสุดพิธีการ ลิโป้ก็ได้พบกับเหล่าทูตตัวแทนจากเมืองต่างๆ แน่นอนว่าของขวัญแสดงความยินดีจากเหล่าเจ้าเมืองเองก็สูงค่ามาก ถึงอย่างไรของขวัญเหล่านี้ก็เป็นดั่งหน้าตาของเจ้าเมืองทั้งหลาย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากจะเสื่อมเสียหน้า แต่การที่อ้วนสุดส่งตัวทูตตัวแทนมานั้นทำให้ลิโป้ประหลาดใจไม่น้อย ไม่กี่วันก่อน กิเหลงซึ่งเคยอยู่ใต้บัญชาของอ้วนสุดถูกดึงตัวมาเข้าร่วมกับปิ้งโจว และในอีกไม่กี่วันต่อมา อ้วนสุดก็ส่งทูตตัวแทนมา

แม้ว่ากิเหลงจะเพิ่งเข้าร่วมกองทัพปิ้งโจว กระนั้นภายในงานเลี้ยงก็ยังมีที่นั่งให้กับเขา

ทูตตัวแทนของอ้วนสุดอย่างหม่าอวี้ย่อมรู้จักกิเหลง เมื่อเห็นกิเหลงนั่งอยู่กับกลุ่มแม่ทัพของปิ้งโจวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ภายใต้ฤทธิ์ของสุรา เขาย่อมต้องไปกล่าวเหน็บแนมสักหลายคำ ทำให้กิเหลงบันดาลโทสะขึ้นมา หลังจากเรื่องของภรรยาและบุตรชายได้รับการคลี่คลายแล้ว เขาก็ไม่มีความรู้สึกดีๆต่ออ้วนสุดอีก กระทั่งยังมองทูตตัวแทนของอ้วนสุดอย่างดูแคลน

เมื่อเผชิญกับวาจาเสียดสีของทูตตัวแทน มีหรือที่กิเหลงจะอดทนได้ เขาชักกระบี่ออกจ่อใส่หน้าหม่าอวี้กลางงานเลี้ยง เผชิญกับคมกระบี่อันเย็นเยียบ หม่าอวี้ก็ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก เขาได้ตัวหน้าขาวซีด นิสัยของกิเหลงเป็นอย่างไรเขาย่อมทราบดี

มีคนอยู่ภายในงานไม่น้อย และทั้งหมดล้วนเป็นตัวแทนของผู้ทรงอิทธิพลจากทั่วแผ่นดิน เมื่อเห็นว่าทูตตัวแทนที่อ้วนสุดส่งมาถูกทำให้อับอาย หลายคนก็ลอบหัวเราะอยู่ในใจ ในบรรดานี้ ทูตตัวแทนจากเกงจิ๋ว เก๊งอวด รู้สึกชื่นชมกิเหลงอย่างมากกับความกล้าหาญของเขา

ทัพเกงจิ๋วและอ้วนสุดนั้นมีความบาดหมางกันมาหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะการสอดมือเข้ามาของอ้วนสุด มีหรือที่ทัพเกงจิ๋วในกุนจิ๋วจะมีสภาพอเนจอนาถปานนั้น? ยิ่งกว่านั้นอ้วนสุดยังเก็บตราหยกแผ่นดินไว้กับตัว ไม่ว่าผู้ใดต่างก้มองความทะเยอทะยานของหมาป่าตัวนี้ออกกันทั้งนั้น

เห็นฉากที่เกิดขึ้น ลิโป้ก็ยิ้มกล่าวว่า "แม่ทัพกิต้องการจะรำกระบี่ให้ทุกท่านได้ชมดู แม่ทัพกิไฉนจึงไม่ออกมาตรงนี้เล่า แขกในงานเลี้ยงจะได้ชมดูท่วงท่าอันองอาจของท่านได้ถนัดตา"

เหล่าแขกเหรื่อคนอื่นๆต่างก็มองดูทูตตัวแทนของอ้วนสุดด้วยความสงสาร เปลือกนอกคล้ายเป็นการไกล่เกลี่ยระหว่างสองฝ่าย แต่ขอเพียงเป็นผู้มีนัยน์ตาก็จะเห็นว่าลิโป้มีเจตนาปกป้องกิเหลง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดไว้หน้าทูตของอ้วนสุดแต่อย่างใด

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ลิโป้ก็ถูกเหล่าแม่ทัพคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล่าทูตตัวแทนแต่ละคนล้วนวางตัวรักษาท่าที พวกเขามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของเจ้านาย ดังนั้นย่อมไม่ประชันขันแข่งในการดื่มสุรากับลิโป้

เมื่อถึงยามคำคืน ก็เป็นเวลาส่งตัวเข้าหอ เพียงแต่คืนนี้กลับมีเจ้าสาวถึงสามคน

หลังจากฟังคำพูดไม่ได้ศัพท์เพราะความเมามายของลิโป้ซึ่งพวกนางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ยอดหญิงงามทั้งสามที่ถูกทิ้งไว้ก็หันไปมองหน้ากัน นี่คืนนี้พวกนางต้องรออยู่ที่หน้าเตียงงั้นหรือ?

เมื่อถึงยามซื่อ(เก้าโมงถึงก่อนสิบเอ็ดโมง) ลิโป้ก็ตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน เมื่อเห็นฉากภายในห้องนอน เขาก็อดฉงนงงงวยไม่ได้ ในคืนวิวาห์อันมงคลกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสภาพห้องที่ยังรก แม้แต่โฉมสะคราญสามนางก็ยังต้องฟุบหลับอยู่กับขอบเตียง

เสียงการเคลื่อนไหวของลิโป้ทำให้สามสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมา ซัวเอี๋ยมที่มีประสบการณ์มากที่สุดรีบลุกขึ้นไปผลัดเปลี่ยนเสื้อให้กับลิโป้ เพียงแต่สายตาที่มองลิโป้นั้นเพิ่มความนุ่มนวลขึ้นมาหลายส่วน

เพียงแต่สายตาที่อ่อนโยนนี้ทำให้ลิโป้เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เขาจำได้อย่างเลือนลางว่าตอนที่พบกับซัวเอี๋ยมครั้งแรกนั้น นางวางตัวเฉยเมยราวกับอยู่ห่างจากผู้อื่นเป็นพันลี้ เมื่อเห็นสาวงามผู้นี้ก้มหน้าแต่งตัวให้ตนด้วยความเอียงอาย ลิโป้ก็รู้สึกว่าน้องชายของเขากำลังค่อยๆผงาดขึ้นมา ดังนั้นจึงอดคว้ามืออันนุ่มนิ่มของซัวเอี๋ยมเอาไว้ไม่ได้ "เจาจี ให้ข้าแต่งตัวเองเถอะ"