ตอนที่ 59 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ใบหน้าของซัวเอี๋ยมเผยแววประหลาดใจ วาจาของลิโป้นับว่าผิดแผกจากสามัญสำนึกยิ่ง เดิมทีฐานะของบุรุษและสตรีก็ไม่ได้เท่าเทียมกันอยู่แล้ว "ผู้กล้าช่างมีอารมณ์ขันนัก" นางเพียงคิดว่าลิโป้พูดแบบนี้ก็เพื่อเอาใจนางเท่านั้น

"หากสตรียอดเยี่ยมจริง ไฉนจึงไม่อาจรับราชการ? ไฉนจึงทำได้เพียงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน คอยอบรมสั่งสอนบุตร และไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เรียนหนังสือ?" ซัวเอี๋ยมระบายความคับแค้น

'เฮ้อ ยุคนี้นี่นะ' ลิโป้ลอบทอดถอนใจ ดูเมืองจิ้นหยางเป็นตัวอย่างก็ได้ แม้สำนักงานเมืองจะประกาศว่าการร่วมขยับขยายเมืองสามารถเข้าร่วมได้ทั้งชายหญิง กระนั้นสุดท้ายแล้วก็ไม่มีสตรีแสดงตัวมาเข้าร่วมแม้แต่คนเดียว

ลิโป้ปิดปากเงียบ ทราบดีว่าเวลาเช่นนี้ไม่โต้เถียงจะดีที่สุด สำหรับสายตาขุ่นเคืองของเว่ยหลินนั้น เขารู้สึกคุ้นชินแล้ว ตลอดสองวันที่ผ่านมา ทุกคราที่เฉียดเข้าใกล้กับตัวรถม้า เขาก็เห็นสายตาของเว่ยหลินที่จับจ้องตามมาราวกับพบเห็นศัตรู

ซัวเอี๋ยมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจใคร่รู้ในตัวลิโป้ เพราะอย่างไรเสียก็ใช่ว่าจะมีบุรุษที่มีมุมมองต่อสตรีเช่นนี้มากนัก

ด่านหานกู่เป็นปราการหน้าด่านของฉางอัน ดังนั้นการตรวจสอบจึงเข้มงวดกว่าปกติ แม้แต่ซัวเอี๋ยมที่ไม่เคยต้องลงจากรถม้าก็ยังต้องลงมา

เมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนของตระกูลเว่ยแห่งเหอตงและมาที่ฉางอันเพื่อพบกับจั่วจงหลางเจียง(ผู้บัญชาการองค์รักษ์ฝ่ายซ้าย) แม่ทัพซัวหยง สีหน้าของทหารเฝ้าด่านก็ทอแววประหลาดใจ หลังจากตรวจสอบอีกเล็กน้อยพอเป็นพิธีก็ปล่อยให้ผ่านไป

เมืองฉางอันตั้งตระหง่านงามสง่า แม้จะเป็นเมืองโบราณที่ทรุดโทรม กระนั้นก็ยังโอ่อ่าใหญ่โต เผชิญเหตุแปรเปลี่ยนมาหลายร้อยปี ลิโป้เหม่อมองดูตัวเมืองอยู่ครู่ใหญ่

"ฮูหยินเว่ย ข้านั้นเลื่อมใสบิดาของท่านมานานแล้ว ไม่ทราบพอจะแนะนำให้ข้าได้รู้จักกับท่านผู้เฒ่าได้หรือไม่?" ลิโป้เดินไปที่ข้างรถม้าก่อนจะเอ่ยปากร้องขอเสียดื้อๆ ลิโป้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับพ่อลูกคู่นี้มาก่อน ดังนั้นจึงทำได้เพียงเข้าหาซัวหยงผ่านทางบุตรี

เตียนอุยที่ติดตามอยู่ด้านหลังถึงกับเม้มปากและลอบคิดขึ้นในใจ 'แล้วยังบอกไม่ได้ชอบนางอีก'

เว่ยหลินเดินเข้ามาพลางแค่นเสียงกล่าวว่า "ฮึ่ม อย่าให้มันมากเกินไปนัก คิดว่าจวนตระกูลซัวใช่ที่ที่ใครจะมาใครจะไปก็ได้งั้นรึ"

ซัวเอี๋ยมที่อยู่ภายในรถม้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง

เว่ยหลินต้องการจะกล่าวคัดค้านแต่ก็ต้องปิดปากลง แม้ตระกูลซัวในฉางอันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลเว่ยแห่งเหอตง แต่พวกเขาก็มีหน้าที่เพียงคุ้มครองส่งตัวฮูหยินเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจอื่นๆก็ขึ้นอยู่กับตระกูลซัวแล้ว

ถนนของฉางอันกว้างขวางยิ่ง นี่ก็คือความประทับใจแรกหลังจากเข้าสู่เมืองฉางอันของลิโป้ ถนนของที่นี่ยังกว้างกว่าถนนเมืองจิ้นหยางอีก ถนนทั้งสายถูกปูด้วยหินแกรนิต แสดงความโอ่อ่าและความเจริญรุ่งเรืองของฉางอันได้เป็นอย่างดี เพียงแต่บ้านเรือนตามข้างทางค่อนข้างทรุดโทรม แม้ว่าจะได้รับการบูรณะมาเกือบสองร้อยปีแต่ก็ยังยากจะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับมา

ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่ตั๋งโต๊ะเข้าเมืองฉางอัน บุรุษแทบทั้งหมดก็ถูกเกณฑ์ไปสร้างท่าเรือ เมืองฉางอันที่เดิมทีอยู่กันอย่างสงบก็ถูกทำให้วุ่นวายอีกครั้ง ทหารของตั๋งโต๊ะเที่ยวกินฟรีดื่มฟรีตามร้านค้าต่างๆ ยิ่งไม่ต้องกว่าถึงพ่อค้าร้านเล็กๆและพวกพ่อค้าหาบเร่แผงลอย พวกทหารใคร่หยิบสิ่งใดก็หยิบฉวยไป หากหนักหน่อยก็จะถูกขู่กรรโชก บรรดาพ่อค้าที่เดิมทีมีอยู่ทั่วฉางอันก็ค่อยๆหายหน้าหายตาไป

ตั๋งโต๊ะให้ความสำคัญต่อซัวหยงมาก จวนของซัวหยงจึงโอ่อ่าและตั้งอยู่ในทำเลดี เมื่อทราบข่าวว่าลูกสาวมาถึงแล้วซัวหยงก็ดีใจมาก ในโลกนี้คนเดียวที่เขาห่วงใยจริงๆก็มีเพียงบุตรีผู้นี้

"ท่านพ่อ" ซัวเอี๋ยมทรุดตัวลงร่ำไห้ เมื่อได้พบหน้าซัวหยง นางก็ไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกคับข้องใจยามอยู่ที่ตระกูลเว่ยมาตลอดหลายปีได้อีก

"ลูกเอี๋ยมอย่าร้องๆ คนตระกูลเว่ยรังแกลูกอย่างนั้นรึ?" ซัวหยงแค่นเสียง ไม่ใยดีคนจากตระกูลเว่ยแต่อย่างใด

เว่ยหลินหน้าแปรเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็อดทนไว้

ซัวหยงร่างสูงราวเจ็ดฉื่อ ไว้เคราสีขาว ใบหน้าดูเป็นชายชราที่อบอุ่นใจดี ให้ความรู้สึกราวกับเป็นสายลมยามฤดูใบไม้ผลิอันอ่อนโยน หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงคิดว่าเขาเป็นเพียงคุณปู่ข้างบ้านที่อยู่อย่างสมถะผู้หนึ่ง

หลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ซัวเอี๋ยมก็ปาดเช็ดน้ำและลุกขึ้น "ลูกเพียงห่างบ้านไปนาน จึงคิดถึงท่านพ่อมากน่ะค่ะ"

ซัวหยงเป็นบุคคลเช่นใด เพียงดูจากสีหน้าของบุตรสาว เขาย่อมต้องมองออกอยู่แล้วว่านางมีเรื่องที่เก็บซ่อนอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียง "ในเมื่อคิดถึงบ้าน เช่นนั้นต่อไปก็อาศัยอยู่ที่นี่เถอะ"

"ขอบคุณท่านพ่อ" ซัวเอี๋ยมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ บุตรสาวที่แต่งออกก็เปรียบดังน้ำที่สาดทิ้งไป การทำเช่นนี้ บิดาของนางย่อมต้องแบกรับความอับอายไว้ในระดับหนึ่ง

"หืม พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ หรือระหว่างทางพบโจรผู้ร้าย?" ซัวหยงเอ่ยถาม

"เรียนใต้เท้า ในระหว่างทางพบเจอกากเดนของโจรโพกผ้าเหลือง สูญเสียผู้คุ้มกันไปยี่สิบกว่าคน โชคดีที่ฮูหยินไม่เป็นอะไร" เว่ยหลินตอบ

ลิโป้ที่อยู่ด้านหลังกลอกตาให้กับความหน้าไม่อายของเว่ยหลิน เพื่อกีดกันพวกเขาไว้นอกวง เว่ยหลินไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงเขาและเตียนอุยที่ยื่นมือช่วยเหลือแม่แต่น้อย

"อืม แผ่นดินวุ่นวาย ชาวบ้านไม่รู้ตั้งเท่าไรต่อเท่าไรที่ต้องผันตัวไปเป็นโจร" ซัวหยงทอดถอนใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอยู่ต่อหน้าคนของตระกูลเว่ย บอกกล่าวกับคนพวกนี้ไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง "ครอบครัวของผู้ตายควรได้รับการปลอบประโลม ผู้บาดเจ็บจะต้องได้รับการรักษา"

"ขอรับ" เว่ยหลินกุมมือรับคำ

"เอาล่ะ เข้าไปพักในบ้านกันก่อนเถอะ" หลังจากซัวหยงจูงมือซัวเอี๋ยมเข้าบ้านไปแล้ว พ่อบ้านจวนตระกูลซัวก็ออกมาต้อนรับพวกผู้คุ้มกันตระกูลเว่ยและพวกลิโป้

เดิมทีลิโป้ต้องการจะก้าวออกไปแนะนำตัว แต่เมื่อเห็นพ่อลูกกำลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน เขาก็ไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางช่วงเวลาแห่งครอบครัว ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าซัวเอี๋ยมจะเอ่ยแนะนำพวกเขาให้

เตียนอุยจ้องมองเว่ยหลินก่อนจะแค่นเสียงเย็น จากนั้นจึงเดินตามลิโป้ไป

จวนตระกูลซัวนั้นโอ่อ่าสง่างามมาก อย่างน้อยก็ในความคิดของลิโป้ ตัวเขาไม่ได้จู้จี้จุกจิกเรื่องที่พักอาศัย ดังนั้นจวนเจ้าเมืองของเตียนเอี๋ยงถูกประดับตกแต่งไว้อย่างไรก็ถูกประดับตกแต่งไว้อย่างนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่เมื่อเทียบกับจวนแห่งนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าอยู่หลายขั้น ยังไม่ต้องพูดถึงความโอ่อ่าของจวนตระกูลซัว เพียงความสะอาดสะอ้านและหรูหราก็ทิ้งห่างไปไกลแล้ว

หลังจากเดินชมจวนจนรู้สึกเบื่อ ลิโป้และเตียนอุยก็ออกจากจวนตระกูลซัว

ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่ถนนสายนี้ล้วนแต่เป็นขุนนางคนสำคญของราชสำนัก แม้จะย้ายเมืองหลวงมาที่ฉางอัน แต่ตั๋งโต๊ะก็ไม่ได้ข่มเหงรังแกหรือปฏิบัติต่อเหล่าขุนนางไม่ดีแต่อย่างใด ขอเพียงพวกเขาไม่ได้ก่อความวุ่นวาย พวกเขาก็จะสามารถเสพสุขโดยไร้กังวล

"จวนซือถู(อัครมหาเสนาบดี)?" ลิโป้หรี่ตาลง เมื่อมาถึงฉางอัน เขาก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำในจวนของอัครมหาเสนาบดี

เพื่อไม่ให้สะกิดความสนใจของผู้คนโดยรอบ ลิโป้จึงเพียงปรายตามองก่อนจะมุ่งตรงไปยังตลาด

จากสีหน้าของคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้ว ลิโป้ก็ทราบว่าผู้คนฉางอันคงไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีเท่าใด หลายคนเห็นที่เอวของพวกเขาสองคนแขวนกระบี่ไว้ก็เผยแววตาหวาดกลัว บางครั้งยังเห็นกลุ่มทหารบุกค้นตามร้านค้า ผู้คนที่พบเห็นต่างก็เดินเลี่ยงทางไป ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว พ่อค้าบางคนเห็นท่าไม่ดีก็เริ่มเก็บร้านหนี

"พวกเจ้าสองคนจะทำอะไร? ไม่รู้รึไงว่าภายในเมืองห้ามพกพากระบี่?" ทหารคนหนึ่งเดินมาขวางลิโป้ไว้พลางตะคอกใส่

"เรียนท่านแม่ทัพ พวกเราเป็นผู้คุ้มกันในจวนของใต้เท้าซัว" ลิโป้ปรายตาปรามเตียนอุยไว้พลางเอ่ยตอบ

"ใต้เท้าซัว? ใต้เท้าซัวไหน?"

"สมุหพระราชวังซัว" ลิโป้รีบยกอ้างชื่อซัวหยง

ทันใดนั้นพวกทหารลาดตระเวนก็รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มประจบ "อ้อ เป็นคนของจวนใต้เท้าซัวนี่เอง ล่วงเกินแล้วๆ"

"เช่นนั้นพวกเราไปได้แล้วใช่หรือไม่?" ลิโป้ชี้ตัวเองกับเตียน