ตอนที่ 70 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"คารวะใต้เท้าซัว" ฮัวหยงกุมหมัดคารวะจากบนหลังม้า แม้น้ำเสียงจะฟังดูนอบน้อม แต่ท่าทางของเขายังคงปล่อยตัวตามสบาย ฮัวหยงเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของตั๋งโต๊ะ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นหัวขุนนางคนอื่นๆสักเท่าใด

"แม่ทัพฮัวไล่ตามข้ามาเช่นนี้ ไม่ทราบมีเรื่องสำคัญใดหรือ?" ซัวหยงยิ้มถาม

"ใต้เท้าซัว ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านจะเดินทางไปเยี่ยมสหาย ข้าน้อยกังวลความปลอดภัยของใต้เท้า จึงเร่งรุดมา" ฮัวหยงหยุดครู่หนึ่งก็ถามขึ้น "ทว่าตอนออกจากเมืองมีรถม้าเพียงคันเดียวไม่ใช่หรือ? ไฉนตรงนี้จึงมีอยู่สอง?"

ฮัวหยงจ้องมองรถม้าทั้งสองคันราวกับต้องการจะมองทะลุเข้าไปด้านใน เขาอยากจะพุ่งเข้าไปตรวจสอบเสียเดี๋ยวนั้นว่าในรถม้าซุกซ่อนซิ่วเอ๋อร์เอาไว้หรือไม่ แต่ความมีเหตุผลในตัวของเขาก็ร้องห้ามเอาไว้ เพราะหากทำเช่นนั้นจริง ซัวหยงจะต้องนำเรื่องนี้ไปกล่าวโทษต่อท่านอุปราช ถึงตอนนั้นเขาเองก็ยากจะแบกรับไว้ได้เช่นกัน

"อ้อ เรื่องนี้เอง นังหนูบ้านข้าบังเอิญพบเจอสหายเก่าที่นอกเมืองแล้วคุยกันจนเพลิน ดังนั้นรถม้าสองคันจึงวิ่งมาด้วยกันตลอดทาง" จากนั้นซัวหยงจึงหันไปกล่าวกับผู้คุ้มกันคนหนึ่ง "ให้คุณหนูเลิกม่านขึ้น"

ซัวหยงเองก็เป็นคนที่เฉียบแหลม ทราบว่าผู้มาไม่ได้มาดี หลังได้รับการถ่ายทอดคำพูดจากผู้คุ้มกันแล้ว ซัวเอี๋ยมก็ยกม่านรถม้าขึ้นพลางกล่าวเสียงใส "ท่านแม่ทัพฮัว เชี่ยเซินไม่สะดวกออกไปคารวะ หวังว่าท่านแม่ทัพจะให้อภัย"

ฮัวหยงสมองขาวโพลน เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือซัวหยง ปราชญ์บัณฑิตผู้เลื่องชื่อ และเมื่อได้เห็นบุตรสาวของเขาโดยสารอยู่ในรถอีกคัน เขาก็เริ่มสงสัยกับข้อวินิจฉัยของตนเอง

"ใต้เท้าซัว โปรดให้อภัยกับการกระทำอันหยาบคายของข้าน้อยด้วย ข้าน้อยเพียงทำไปตามหน้าที่เท่านั้น" ฮัวหยงกุมหมัดกล่าวขออภัย

"แม่ทัพฮัวเกรงใจไปแล้ว ข้าย่อมเข้าใจว่าท่านเพียงทำตามหน้าที่ เมื่อไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นเฒ่าชราผู้นี้คงเดินทางต่อได้แล้วสินะ?" ซัวหยงยิ้มถาม

"ใต้เท้าซัวเดินทางดีๆ แต่นอกเมืองนั้นไม่สงบ ข้าน้อยส่งคนติดตามคุ้มครองใต้เท้าดีหรือไม่?" ฮัวหยงถาม

ซัวหยงกุมมือพลางกล่าวว่า "ขอบคุณความปรารถนาดีของท่านแม่ทัพ ข้าขอรับไว้ด้วยใจก็แล้วกัน เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน"

เตียนอุยจ้องมองฮัวหยงอย่างดุร้ายขณะถอยกลับไปข้างรถม้า จากนั้นจึงยกทวนชี้ไปยังทหารม้านายหนึ่งอย่างไม่สุภาพ

กับเตียนอุยนั้น ฮัวหยงรู้สึกชื่นชม ฝีมือของเตียนอุยไม่ด้อยไปกว่าเขา เขายังคิดอยู่เลยว่ากลับไปจะไปร้องขอท่านอุปราชให้ขอคนจากซัวหยง

ฮัวหยงมองดูรถม้าเคลื่อนห่างออกไปพลางถอนหายใจ จากนั้นจึงหันหัวม้าจากไป

เห็นอีกฝ่ายจากไปแล้ว ลิโป้ก็ถอนหายใจ จากนั้นจึงยกนิ้วโป้งให้กาเซี่ยง

"ท่าทางเมื่อครู่ของเฟิ่งเซียนหมายถึงอะไรหรือ?" ซัวหยงถามอย่างใคร่รู้

"อ้อ นี่เป็น...เป็นการชมว่ายอดเยี่ยมยิ่งขอรับ" ลิโป้อธิบาย

"นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้ที่ฮัวหยงถอนตัวจากไปก็เพราะใต้เท้าซัวหยง" กาเซี่ยงกุมมือกล่าว

"เพราะแผนการอันชาญฉลาดของเหวินเหอต่างหาก ไม่เช่นนั้นอาศัยเพียงป้ายชื่อของเฒ่าชราผู้นี้ เกรงว่าฮัวหยงจะไม่ยอมลามือโดยง่าย" ซัวหยงหัวเราะ

เห็นทั้งสองยกย่องชมเชยกันไปมา ลิโป้ก็หนีออกจากรถม้าอีกครั้ง

"ให้พวกผู้คุ้มกันไปสำรวจดูสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียด จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาด" ลิโป้สั่งการต่อเตียนอุย

"นายท่าน คนพวกนั้นล้วนแต่เป็นสัดใส่ข้าว ให้รังแกคนทั่วไปน่ะได้ แต่พอเจอของจริงก็ขาสั่นกันหมด" เตียนอุยบ่นอุบ หากเมื่อครู่พวกผู้คุ้มกันร่วมมือร่วมใจกันต้านทานไว้ มีหรือที่พวกทหารม้าจะฝ่าไปถึงรถม้าได้ง่ายดายถีงเพียงนั้น

"ใช้ไปเถอะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยผ่านการฝึกฝน" จากนั้นลิโป้จึงกล่าวเบาๆ "ทหารหน่วยเฟยอิงอยู่ใกล้ๆนี้ ถ้ามีความผิดปกติใดจะส่งข่าว"

เตียนอุยพยักหน้ารับอย่างจริงจัง เขาชื่นชมทหารหน่วยเฟยอิง คนในหน่วยล้วนผ่านการฝึกทรหด ทักษะของพวกเขายังได้รับการฝึกจากลิโป้โดยตรง อาศัยเพียงส่วนนี้ก็รับรองได้แล้วว่าวันข้างหน้าฐานะในกองทัพของพวกเขาจะต้องไม่ต่ำทราม

...........

เห็นสองวันแล้วคนยังไม่กลับมา ตั๋งโต๊ะก็ฉุกคิดว่าผิดท่า บ้านจวนตระกูลซัวไร้เงาผู้คน ภาพที่ได้เห็นนี้ทำให้ตั๋งโต๊ะโกรธจนตัวสั่น เขาให้ความสำคัญต่อซัวหยงไม่น้อย ยังเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้หลายต่อหลายครั้ง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจากไปโดยไม่ร่ำลา เรื่องนี้ทำให้ตั๋งโต๊ะเศร้าเสียใจมาก หรือเป็นเพราะเขาเพียงเป็นนักรบหยาบกระด้าง จึงไม่สามารถซื้อใจเหล่าบัณฑิตขุนนาง? หรือมีเพียงแค่การแสดงความป่าเถื่อนเท่านั้นถึงสามารถทำให้พวกขุนนางหวาดกลัวจนไม่มีใจคิดเป็นอื่น?

"ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ให้สืบสวนหาที่อยู่ของซัวหยงมาให้ได้! ไม่ว่าอย่างไรต้องจับตัวเขามาให้อุปราชผู้นี้ ฮึ่ม พวกบัณฑิตล้วนไม่ใช่ตัวดี" ตั้งโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา "ส่วนตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองพวกนั้นอย่าคิดว่าลอบกระทำเป็นการลับแล้วข้าไม่รู้ ช้าเร็วข้าต้องกวาดล้างพวกมันแน่"

ฮัวหยงกุมหมัดแล้วกล่าวว่า "สองวันก่อน ข้าพบใต้เท้าซัวและผู้คุ้มกันหลายสิบคนทางทิศตะวันออก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้"

"เจ้ารีบพาทหารม้าไล่ตามไป ต้องพาเขากลับมาให้ได้! หากมีคนขวางก็ฆ่าทิ้งซะ แต่อย่าได้ทำร้ายใต้เท้าซัว" ตั๋งโต๊ะรีบกล่าว ในใจยังมีหวังต่อซัวหยง

"ขอรับ" ฮัวหยงรับคำจากไป ตั้งแต่ซิ่วเอ๋อร์หายตัวไป เขาก็เหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง นางหายไปโดยไร้ข่าวคราวสองวันแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องเป็นฝีมือของซัวหยงแน่ หลังได้รับคำสั่ง เขาก็รีบรวบรวมทหารม้าหนึ่งร้อยมุ่งหน้าออกจากเมือง

ระหว่างการเดินทาง ลิโป้ได้สั่งให้รถม้าเปลีี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้ง ทำให้พวกผู้คุ้มกันพากันบ่นอุบ คนพวกนี้ยังคงไร้เดียงสา คิดว่านายท่านของพวกเขามาเยี่ยมเยียนมิตรสหายที่นอกเมืองจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปสองวัน พวกเขาก็ยังเดินทางไม่ถึงที่หมาย ต้องผ่านป่าเขาและลำน้ำหลายสาย พวกเขาเคยลำบากแบบนี้ที่ไหนกัน

"พี่ใหญ่ลิ ข้าได้ยินพี่สาวเอี๋ยมบอกว่าท่านเป็นเจ้าเมืองปิ้งโจวเหรอคะ?" ในที่สุดซิ่วเอ๋อร์ก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่

"ซิ่วเอ๋อร์ ตอนอยู่ในฉางอันมีคนรู้จักข้ามากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สะดวกจะเผยตัว" ลิโป้อธิบาย "ข้าเป็นเจ้าเมืองปิ้งโจว หลังจากไปถึงปิ้งโจวแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครบังคับฝืนใจเจ้าได้อีก"

"ค่ะ" ซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางเคยได้ยินชื่อเสียงของลิโป้ในหมู่เจ้าเมืองมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลิโป้ผู้นั้นจะเป็นพี่ใหญ่ลิของนาง

"ท่านเป็นถึงเจ้าเมืองใหญ่โต ใยจึงเสี่ยงอันตรายมาที่ฉางอันด้วยตนเองล่ะคะ? ภายหน้าท่านต้องไม่สี่ยงเช่นนี้อีกนะคะ" ซิ่วเอ๋อร์คล้ายรู้สึกได้ถึงบางเรื่อง ดังนั้นดวงตาจึงแดงขึ้นมา

"เจ้าเมืองแล้วอย่างไร หากปกป้องคนที่ข้ารักไว้ไม่ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?" ลิโป้ลูบหัวซิ่วเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนคล้ายกับที่เคยทำในวันวาน

ซิ่วเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ นางรีบวิ่งหนีกลับเข้ารถม้าไป

"อะไรนะขอรับ? แม่ทัพเตียน ท่านช่วยบอกข้าน้อยอีกทีเถอะขอรับ" กวนอี่สูดหายใจอย่างตกตะลึง

"เด็กน้อย แม่ทัพผู้นี้จำเป็นต้องโกหกเจ้าหรือไง? ข้าเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ของนายท่าน ท่าทางก่อนหน้านี้ของเด็กน้อยเจ้ายังใช้ไม่ได้ พอเห็นฮัวหยงนำทหารม้าบุกมาก็รีบหาที่ซ่อนก่อนใคร รูปร่างหยั่งกับหมีควาย แต่ขวัญอ่อนราวมุสิก เจ้ายังต้องการเข้าร่วมทัพปิ้งโจวอยู่ไหม? ยังต้องการเป็นแม่ทัพอยู่ไหม?" เตียนอุยมองกวนอวี่ด้วยสายตาเหยียดหยาม

"ไอ้หยา!" กวนอวี่ตบหัวตัวเองอย่างแรง "ปกติข้าชาญฉลาดแท้ๆ กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะเสียได้"

"ฮัวหยงนับเป็นตัวอะไร หากเขากล้าโผล่หน้ามาอีก ข้าจะตบให้หน้าบวมเหมือนหมูเลย!" กวนอวี่รู้สึกว่าเตียนอุยยามเรียกตัวเองว่า "แม่ทัพผู้นี้" แล้วดูองอาจมาก สงสัยเห็นทีเขาต้องเรียนรู้จากเตียนอุยให้มากๆแล้ว

"อย่างเจ้าน่ะรึจะเป็นแม่ทัพ ทหารใต้บัญชาสักคนยังไม่มี ยังกล้าเรียกตัวเองว่าแม่ทัพผู้นี้อีก ระวังจะมีคนหมั่นไส้แล้วทุบตีเจ้าจนตาย" เตียนอุยขู่