ตอนที่ 38 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ส่งคนไปเตือนลิซก บอกเขาว่าอย่าได้ทำเกินเลยไปนัก มิเช่นนั้นเมืองจิ้นหยางจะไม่ต้อนรับเขา" จ้าวเหยียนสะกดความคิดที่จะจัดการลิซกไว้ก่อน เขาพอจะเคยได้ยินวีรกรรมของลิโป้มาบ้าง คนเช่นนี้หากบ้าคลั่งขึ้นมาเมื่อไรก็ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ เขายังไม่กล้านำตระกูลของเขาเข้าไปเสี่ยง

เมื่อจ้าวเหยียนกล่าวเช่นนี้ อีกสองคนก็ไม่กล้าออกความเห็นอีก ได้แต่นิ่งเงียบเอาไว้

...........

อ้วนเสี้ยวทราบข่าวแล้วว่าปิงโจวส่งทหารกล้าจากด่านหูกวนมาที่กิจิ๋ว ในช่วงนี้ กองทัพของเขาปะทะกับกองทัพของกองซุนจ้านหลายต่อหลายครั้ง สองฝ่ายล้วนแต่สูญเสียอย่างหนัก

แต่การเดินทัพมาของกองทัพปิงโจวทำให้อ้วนเสี้ยวเกิดความคิดที่จะสงบศึกกับกองซุนจ้าน ความสามารถในการรบของลิโป้นับว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหมด ทุกคราที่สู้ศึก เขาล้วนแต่เป็นผู้นำทหารเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง และภายใต้การบัญชาการของเขา ยังมีทหารม้าปิงโจวอันไร้เทียมทานอยู่ อ้วนเสี้ยวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากชั่งน้ำหนักให้ดี

แม้ว่าผู้นำทัพมาคราวนี้จะเป็นโจเส็ง แม่ทัพในสังกัดของลิโป้ แต่อ้วนเสี้ยวก็ไม่อาจประมาทได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจทราบได้ว่า คนคลั่งเยี่ยงลิโป้จะนำทัพหนุนบุกมากิจิ๋วเมื่อใด

เขาเพิ่งได้เมืองกิจิ๋วมา ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน

"นายท่าน ข้าน้อยเดาว่าปิงโจวยกทัพมาคราวนี้เพียงคิดข่มขู่ ลิโป้เองก็เพิ่งได้ปิงโจวคืน สถานการณ์ยังคงซับซ้อน เพียงดูแลตัวเองก็ลำบากพอแล้ว คงไม่คิดสอดมือเข้ามาอย่างจริงจังแต่อย่างใด" ที่ปรึกษาเตียนห้องกล่าววิเคราะห์

"นายท่านและกองทัพปิงโจวเปรียบประดุจพยัคฆ์และหมาป่า ต่างเฝ้าระแวงกันและกัน นายท่านเพิ่งได้กิจิ๋วมา ใจคนยังระส่ำระส่ายไม่มั่นคง" เขาฮิวชำเลืองมองเตียนห้องก่อนจะกล่าวออกมา

"อืม หยวนเฮ่า[1]และจื่อหยวน[2]ล้วนกล่าวได้ถูกต้อง ข้าเองก็อยากจะกลับไปที่กิจิ๋วแล้ว ไม่รู้ว่าจื่อหยวนกล้าไปเจรจาสงบศึกกับกองซุนจ้านหรือไม่?" อ้วนเสี้ยวปรายตามองเขาฮิว

[1 ชื่อรองของเตียนห้อง]

[2 ชื่อรองของเขาฮิว]

เขาฮิวกุมมือพลางกล่าวว่า "ข้าน้อยยินดี"

"ดี ดี มีจื่อหยวนอยู่ ข้าก็เบาใจแล้ว" อ้วนเสี้ยวหัวเราะ

เขาฮิวหันไปมองเตียนห้องด้วยสีหน้าของผู้มีชัย พิจารณาจากสถานการณ์การสู้รบของสองฝ่ายแล้ว สถานการณ์ทางฝั่งกองซุนจ้านไม่ค่อยสู้ดีนัก เพียงแต่อีกฝ่ายสะกดอดกลั้นเอาไว้ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะถอยทัพอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการไปเจรจาครั้งนี้จึงไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

"นายท่าน กองซุนจ้านสามารถยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว กองทัพฝ่ายเราจะต้องเอาชัยได้แน่ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ควรที่จะสั่งถอยทัพขอรับ" เตียนห้องกล่าวเกลี้ยกล่อม พิจารณาจากการกระทำของลิโป้แล้ว เขาจะต้องมีไมตรีต่อกองซุนจ้านอย่างลึกล้ำ หากสองคนนี้ร่วมมือกันโจมตีกิจิ๋วเมื่อใด กิจิ๋วจะตกอยู่ในอันตรายทันที

"ฮึ่ม ท่านกล้าสงสัยความตั้งใจของนายท่านงั้นรึ?" เขาฮิวพลันพูดขัดคอ

ขณะที่อ้วนเสี้ยวกำลังจะเอ่ยถามเตียนห้องต่อไป เมื่อได้ยินคำพูดของเขาฮิว เขาก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา สายตาที่มองดูเตียนห้องเพิ่มความดุร้ายขึ้นมาหลายส่วน ทำให้เตียนห้องได้ปิดปากเงียบ

...............

หลังยึดครองเมืองกิจิ๋วที่อุดมสมบูรณ์ได้ อ้วนเสี้ยวได้ส่งจดหมายเชิญเหล่าลูกศิษย์ลูกหาของตระกูลอ้วนที่อยู่ทั่วแผ่นดินให้มาเข้าร่วมกับเขา ทั้งยังออกประกาศเชิญชวนเหล่านักปราชญ์ บัณฑิต แม่ทัพ และผู้มีความสามารถทั้งหลายให้มาทำงานกับเขา

เรื่องราวเป็นไปตามที่เขาฮิวคาดการณ์ไว้ สถานการณ์กองทัพของกองซุนจ้านนั้นย่ำแย่ยิ่ง ไพร่พลของเขากรำศึกต่อเนื่องจนเหนื่อยล้า หากไม่ใช่เพราะเล่าปี่นำทหารมาช่วยเหลือได้ทันเวลา กองซุนจ้านคงจะพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น กองซุนจ้านก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา และกัดฟันสู้ศึกต่อไป

หลังจากเขาฮิวทำการวิเคราะห์สงครามครั้งนี้ให้กองซุนจ้านฟังโดยละเอียด กองซุนจ้านก็หวั่นไหว เขาเองก็ทราบว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะฝืนทำศึกกับอ้วนเสี้ยวต่อ

จูล่ง เพราะความสำเร็จของเขาในสนามรบและความสำเร็จในการเจรจาให้กองทัพปิงโจวยกมาช่วยเหลือ ตำแหน่งของจูล่งในใจกองซุนจ้านจึงยิ่งมายิ่งมีน้ำหนัก เขาได้เลื่อนขั้นเป็นขุนพลอาชาขาว ความเร็วในการเลื่อนขั้นของเขาทำให้ทหารคนอื่นๆได้แต่ปากอ้าตาค้าง

กองกำลังม้าขาวคือหน่วยรบที่เก่งกาจที่สุดของกองซุนจ้าน ทหารทุกนายล้วนผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน เป็นทหารชั้นยอดในทหารชั้นยอด สามารถขึ้นเป็นขุนพลอาชาขาวได้ในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่ากองซุนจ้านให้ความสำคัญกับจูล่งอย่างมาก

เล่าปี่เองก็ได้พบกับจูล่งภายใต้การแนะนำของกองซุนจ้าน เพราะจูล่งนั้นได้รับการชื่นชมจากแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงอย่างลิโป้ ในเวลานี้เล่าปี่ยังไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระอาเล่า ทั้งยังต้องอาศัยพึ่งพาผู้อื่น ทำให้ยังไม่มีน้ำหนักโยกคลอนผู้ใด อย่างไรก็ตาม จูล่งนั้นชื่นชมความมีคุณธรรมของเล่าปี่เป็นอย่างมาก และพวกเขายังมีการไปมาหาสู่กันอีกหลายครั้ง

เมื่อเห็นว่าจูล่งมีความประทับใจที่ดีต่อตนเอง เล่าปี่ก็นึกยินดีในใจ หากได้รับการช่วยเหลือจากขุนพลอาชาขาวผู้นี้ล่ะก็ เขาจะสามารถฝึกฝนกองกำลังทหารม้าชั้นยอดออกมาได้แน่

ในฐานะผู้สืบเชื้อสายจงซานจิ้งอ๋องแห่งราชวงศ์ฮั่น เขาย่อมไม่ยินยอมเป็นเพียงข้ารับใช้ของผู้อื่น และเขาก็มีใจที่จะตั้งกองทหารม้ามานานแล้ว

ข่าวเรื่องเตียวเลี้ยวนำม้าศึกจำนวนสี่พันตัวกลับมาสร้างความยินดีแก่ลิโป้เป็นอย่างมาก ในกองทัพปิงโจวนั้น มีเตียวเลี้ยวเพียงคนเดียวที่สามารถใช้ให้ทำงานใหญ่ได้โดยลำพัง ขณะที่คนอื่นๆยังมีความสามารถไม่มากพอ

"เหวินหยวน ไม่เจอเจ้าเสียนาน แต่ดูเหมือนเจ้าจะคึกคักกว่าเมื่อก่อนเสียอีก" ลิโป้ตบบ่าเตียวเลี้ยวพลางกล่าวยิ้มๆ

"เรียนท่านแม่ทัพ เวลานี้จิ่วหยวนมั่นคงแล้ว ขาดก็เพียงเงินทองและเสบียงอาหาร จึงทำให้หลายสิ่งยังไม่อาจดำเนินการขอรับ" เตียวเลี้ยวกล่าวอย่างขมขื่น

"หืม เดี๋ยวนี้เจ้าหัดเรียนรู้ที่จะขอเงินจากข้าแล้วรึ แล้วการสร้างคอกม้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

"เรียนท่านแม่ทัพ คอกม้านั้นสร้างเสร็จแล้ว ที่สำคัญคือม้าศึก ด้วยใบชาและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม พวกเราจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับเผ่าเซียนเป่ยได้ขอรับ"

"ดี ต้องให้แน่ใจว่าคอกม้าของเรามีความปลอดภัย พวกสมบัติที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงิน และอาวุธทำสงครามจะต้องไม่ถูกนำไปแลกเปลี่ยนกับชาวเซียนเป่ย" การสร้างคอกม้านั้นเป็นคำสั่งที่ลิโป้มอบให้ก่อนที่เตียวเลี้ยวจะจากมา ปิงโจวนั้นมีดินแดนติดกับทุ่งหญ้า อันทั้งสถานการณ์ภายในปิงโจวยังซับซ้อน ที่นี่มีชาติพันธุ์อื่นอยู่มากมาย โดยเฉพาะชาวเซียนเป่ยที่เติบโตบนหลังม้า ดังนั้นจึงต้องการทัพม้าอันแข็งแกร่งเพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกเขา

"ข้าน้อยเข้าใจแล้ว" เตียวเลี้ยวรับคำ ชาวเซียนเป่ยนั้นมีความทะเยอทะยาน มักจะนำกำลังบุกมารุกรานแถบชายแดนของต้าฮั่นอยู่บ่อยๆ

"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินและคุณหนูเดินทางมาถึงจิ้นหยางแล้วขอรับ" เตียวเลี้ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของลิโป้เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง ในยุคนี้ เรื่องที่เขาไม่อยากแตะต้องมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ ในความเห็นของเขานั้น ภรรยาและบุตรีของลิโป้เป็นของลิโป้ ไม่ใช่ของเขา แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าลิโป้จะแต่งงานเร็วถึงเพียงนี้

ลิโป้นั้นแต่งงานตั้งแต่อายุสิบหก และบุตรีของเขาลิหลิงฉีก็มีอายุได้แปดขวบแล้ว ทำให้ลิโป้รู้สึกปรับตัวตามไม่ทันอยู่บ้าง

"ท่านแม่ทัพ มีอะไรหรือขอรับ?" เตียวเลี้ยวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสีหน้าของลิโป้ดูแปลกๆ

"อ้อ ไม่มีไร เหวินหยวนเดินทางมาไกล คืนนี้ข้าจะจัดเลี้ยงที่จวนของข้า เรียกโกซุ่น งุยซกและคนอื่นๆมาด้วย ไม่เมาไม่เลิกลา!" ลิโป้กล่าวเสียงจริงจัง

"ขอรับ" เตียวเลี้ยวตื่นเต้นยินดี ไม่ได้พบหน้ากันหลายเดือน เขาเองก็คิดถึงโกซุ่นและคนอื่นๆมาก

ลิโป้ไม่กล้ากลับไปที่จวนเจ้าเมือง ดังนั้นจึงได้แต่เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ตัวเมืองส่วนเหนือด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

ตามคำขอของลิโป้แล้ว โรงงานฝีมือควรถูกจัดตั้งขึ้นโดยเร็วที่สุด ด้วยรูปแบบโรงงานมาตราของยุคใหม่แล้ว สมควรรองรับช่างฝีมือได้หลายพันคน ซึ่งโรงงานระดับนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งในบรรดาหัวเมืองทั้งหมด

นี่ก็คือความมั่งคั่งที่อยู่ในมือของลิโป้ ลั่วหยางเป็นเมืองหลวงของต้าฮั่นมาช้านาน ความมั่งคั่งที่สะสมมานับร้อยปีถูกตั๋งโต๊ะกอบโกยมาจนหมดสิ้น ดังนั้นจำนวนเม็ดเงินที่แท้จริงย่อมสุดที่ผู้ใดจะคิดฝัน

ห่างจากพื้นที่ตั้งของโรงงานไม่ไกล ค่ายทหารที่ก่อตั้งขึ้นก็เริ่มมีทหารมาฝึกฝนกันแล้ว หลังจากสอดส่องพื้นที่โดยรอบเที่ยวหนึ่ง ลิโป้ก็เข้าไปในค่ายทหารนั้น

ไพร่พลประจำการปิงโจวเดิมที่ชราและอ่อนแอล้วนถูกปลดออก ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงทหารที่หนุ่มฉกรรจ์และผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กำลังทหารที่มีในตอนนี้คือหนึ่งหมื่นเศษ และทหารจำนวนสี่พันก็อยู่กับโจเส็ง

วินัยทหารของกองทัพปิงโจวต้องเข้มงวด นี่ก็คือสิ่งที่ลิโป้เรียกร้องมาตลอด หากต้องการให้กองทัพมีประสิทธิภาพในการรบ เช่นนั้นก็ต้องมีวินัยที่เข้มงวดกวดขัน

การมาของลิโป้ทำให้ทหารทั้งหมดตื่นเต้นอย่างมาก แม้แต่ความกระตือรือร้นในการฝึกฝนก็เพิ่มสูงขึ้นจนผิดหูผิดตา

ครอบครัวของไพร่พลที่เสียชีวิตในสนามรบจะได้รับเงินบำนาญ เรื่องนี้ทำให้เหล่าทหารตื้นตันกันอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้เงินนั้น แต่ด้วยเงินก้อนนี้ ครอบครัวของพวกเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น