ตอนที่ 291 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

สูเหล่ยประกอบกิจการนี้มานาน ตั้งแต่ที่ลิโป้ยังไม่เข้ามาปกครองปิ้งโจวด้วยซ้ำ เขาก็ลอบเปิดหอคณิกาอย่างลับๆ อย่างไรก็ดี สูหล่ยนั้นระมัดระวังยิ่ง ความแตกต่างระหว่างหอคณิกาลับของเขาและหอคณิกาอื่นๆก็คือ หญิงสาวที่ขายตัวที่นี่ล้วนแต่เป็นหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวมา และหลังจากลิโป้ได้เข้ามาปกครองปิ้งโจว สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือเหตุการณ์นี้

ที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความปรารถนาในกามรมณ์ และความปรารถนานี้ย่อมต้องการที่ปลดปล่อยระบาย หลังจากสูเหล่ยเริ่มต้นเดินบนเส้นทางนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความหอมหวานในวงการ โดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้คนที่เดินทางมายังปิ้งโจวยิ่งมาก็ยิ่งมาก ผู้คนจากที่อื่นอพยพมาที่ปิ้งโจวเพื่อหลบหนีความอดอยาก และนั่นนับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของสูเหล่ย บางครั้ง เพียงจ่ายเงินเล็กน้อยก็ทำให้เขาได้สตรีที่หมายตามาครอบครอง เขาสามารถรวบรวมสตรีได้ตามต้องการ และสตรีเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้กับเขา

"สูเหล่ยใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่าเจ้ากล้าหาญยิ่ง กระทั่งกล้าลักพาตัวสตรีที่ดีงามนอกเมืองไปบังคับให้เป็นคณิกา หากมีสตรีใดไม่เชื่อฟังก็จะถูกฆ่า" ลิโป้กล่าวอย่างเย็นชา

แม้จะไม่ทราบว่าบุคคลที่เบื้องหน้านี้เป็นใคร ทว่าจิตสังหารที่เล็ดลอดออกจากร่างของลิโป้ก็ทำให้สูเหล่ยตกตะลึงจนไม่กล้าขยับตัว

"ข้าน้อยทราบความผิดแล้ว ข้าน้อยทราบความผิดแล้ว" สูเหล่ยทิ้งตัวลงคุกเข่าเสียงดัง เขาโขกศีรษะอย่างต่อเนื่องจนหน้าผากมีโลหิตไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็ว

"ฮึ่ม กับคนที่โฉดชั่วเช่นนี้ ปิ้งโจวเราไม่เคยปราณีด้วย"

สูเหล่ยยังคงโขกศีรษะพลางร้องขอความเมตตาไม่หยุด

"ภายในเมืองยังมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าอีกบ้าง?" ลิโป้ถาม

"มีเพียงข้าน้อย ไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดขอรับ"

ความลังเลที่เกิดขึ้นในแววตาของสูเหล่ยชั่ววูบย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของลิโป้ได้ เขาหันไปผงกศีรษะให้เตียนอุยที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องขังไป

เตียนอุยหักนิ้วด้วยความกระฉับกระเฉงก่อนจะถูมือพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ดีที่เด็กน้อยเจ้าดื้อด้าน มิเช่นนั้นแม่ทัพผู้นี้คงไม่มีโอกาสได้ออกแรง"

หลังจากนั้นไม่นานก็บังเกิดเสียงร้องโหยหวนดังมาจากภายในห้องขัง เป็นเสียงร้องที่น่าสังเวชยิ่ง

มือของสูเหล่ยกำลังสั่นเทาไม่หยุด เขาหน้าขาวซีด เพียงเตียนอุยหักนิ้วแรกของเขา เขาก็คิดเปิดเผยชื่อของผู้สมรู้ร่วมคิดออกมา ทว่าเตียนอุยดูเหมือนจะติดใจในการหักนิ้วของเขา ดังนั้นจึงเริ่มหักนิ้วจนหมดมือ ทำให้สูเหล่ยรู้สึกเจ็บปวดเจียนคลั่ง

"ข้าน้อยยอมบอกแล้ว ท่านแม่ทัพปล่อยข้าน้อยไปเถอะ" สูเหล่ยอ้อนวอนไม่หยุด

เมื่อได้กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งในอากาศ เตียนอุยก็ขมวดคิ้วพลางถอยห่างออกไป "นึกว่าเด็กน้อยเจ้าจะเข้มแข็งกว่านี้ซะอีก"

สูเหล่ยทรมาณจนอยากตกตาย ความเจ็บปวดจากนิ้วมือทำให้เขารู้สึกเจ็บเจียนตาย

"อย่าเพิ่งรีบกล่าวออกมาเร็วไปนัก ยังเหลือมือซ้ายและนิ้วเท้าของเจ้าอีก แม่ทัพผู้นี้ไม่รังเกียจที่จะช่วยแก้ไขให้"

"ข้าน้อยพูดแล้ว ข้าน้อยพูดแล้ว" สูเหล่ยอั้นปัสสาวะไม่อยู่อีกต่อไป ในใจกังวลเกี่ยวกับนิ้วของเขา จะกังวลสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร?

เดิมทีสูเหล่ยต้องการจะติดสินบนเตียนอุย แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแล้ว

สูเหล่ยและสูชูฮัวเป็นพี่น้องกัน มีฉายาว่าพี่น้องคู่พยัคฆ์ ทั้งครอบครัวล้วนเป็นทหาร ในการทำธุรกิจนี้ สองพี่น้องก็ร่วมด้วยช่วยกัน สองปีมานี้พวกเขาทั้งฆ่าคนและวางเพลิง บังคับให้สตรีขายตัว เพียงแต่พวกเขาเริ่มจัดการกับคนต่างถิ่น ถึงอย่างไรคนกลุ่มนี้ก็ไม่มีคนรู้จักอยู่ในปิ้งโจว ต่อให้หายตัวไปก็ไม่สะกิดความสงสัยของผู้คน

หลังจากได้ยินคำสารภาพของสูเหล่ย ลิโป้ก็สั่งให้เตียนอุยนำคนไปจับสูชูฮัวทันที จากนั้นจึงได้ตัดสินลงโทษสถานหนักแก่วายร้ายทั้งสอง

สูชูฮัว ขณะที่กำลังนอนอยู่ภายในบ้านก็ถูกทหารกรูกันเข้ามาจับกุมตัวไว้ และจากคสารภาพของสูเหล่ย เตียนอุยก็พบตัวสตรีจำนวนห้าสิบสามนางอยู่ภายในบ้านสามหลัง ยามที่ทหารบุกเข้าไป พวกนางก็ดูตื่นตระหนกอย่างมาก

หลังจากได้ยินสตรีทั้งห้าสิบสามสะอื้นไห้พลางบอกเล่าความโฉดชั่วของวายร้ายคู่นี้ ลิโป้ก็สั่งให้จัดขบวนแห่ประจานสูเหล่ยและสูชูฮัวภายในเมืองเป็นเวลาสามวัน จากนั้นจึงให้ประหารโดยตัดศีรษะต่อหน้าสาธารณชน

สูเหล่ยและสูชูฮัวกระทำการโดยระมัดระวัง แม้จะประกอบกิจการมาหลายปีก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้จะมีครอบครัวของผู้ที่หายตัวเดินทางไปร้องทุกกับสำนักงานเมืองก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ครอบครัวเหล่านั้นกัดฟันกรอดพลางเดินตามขบวนรถนักโทษไปด้วยความเคียดแค้น พวกเขาเริ่มขว้างปาไข่เน่าและผักเน่าใส่นักโทษในกรงขัง หลังจากที่ชาวบ้านจากเมืองอื่นได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็พากันเข้าร่วมด้วย ก่อนที่จะถึงวันประหารชีวิต วายร้ายทั้งสองก็ถูกสิ่งของเขวี้ยงปาจนตายเสียก่อน พวกผู้สมรู้ร่วมคิดที่เหลือต่างก็ถูกตามจับกุมและนำมาใช้เป็นแรงงานในการสร้างถนน

...........................

ทางด้านของตันเทียน หลังจากที่เขาทำให้เมืองไต้จิ๋วมั่นคงได้แล้วก็รีบเร่งเดินทางมายังปิ้งโจวทันที เขาย่อมไม่ลืมเลือนเรื่องขุมทรัพย์ของเตียวเหยียง เขาทราบดีว่าหากเขาต้องการเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของปิ้งโจวอย่างแท้จริง เขาก็จะต้องแสดงคุณค่าและความจริงใจให้มากพอ ซึ่งขุมทรัพย์ที่ซ่อนเอาไว้ของเตียวเหยียงก็คือใบเบิกทางที่ดีที่สุด

ตันเตา จูล่ง และโจเส็งต่างก็รับสมัครไพร่พลจากในพื้นที่ของตน ทำให้จำนวนทหารในกองทัพเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวอิวจิ๋วนั้นเข้มแข็งโดยธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว ทหารเกณฑ์ที่รับสมัครเข้ามา เพียงฝึกฝนให้อีกเล็กน้อยก็สามารถออกรบได้ทันที หากว่าอ้วนเสีย้วต้องการจะฉวยโอกาสกับเมืองในอิวจิ๋ว เกรงว่าคงจะไม่ง่ายอีกแล้ว เพื่อที่จะสะกดชาวอูหวนไว้ ลิโป้จึงได้ส่งทหารม้าชาวซยงหนุจำนวนสามพันไปประจำการที่อิวจิ๋ว ทหารม้าซยงหนูทั้งสามพันนี้มีส่วนร่วมในการรบของปิ้งโจวไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงป้องกันการรุกรานจากชาวเซียนเป่ยตามชายแดน ทหารม้าซยงหนูก็ได้ออกรบด้วยเช่นกัน พวกเขาเสียทหารม้าไปพันกว่าคน แต่ด้วยการสนับสนุนจากเผ่าซยงหนู ไม่นานก็สามารถส่งคนมาเติมให้เต็มได้

เนื่องในโอกาสงานแต่งงานของลิโป้ ทูตจากเมืองต่างๆจึงเดินทางมายังปิ้งโจว พวกเขาย่อมไม่ได้มาเพียงเพื่อกล่าวคำยินดี พวกเขาย่อมมีภารกิจอื่นอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นติดต่อขอซื้อม้าศึก ด้วยการสนับสนุนจากคอกม้าที่จิ่วหยวนและเผ่าซยงหนู ม้าศึกจึงกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของปิ้งโจว ส่วนสิ่งที่ปิ้งโจวต้องการแลกเปลี่ยนมากที่สุดก็คือ ธัญพืชและเหล็ก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่ามากนักในสายตาของเจ้าเมืองคนอื่นๆ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่น

อย่างไรก็ดี อ้วนเสี้ยว โจโฉและคนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลต่างรู้สึกได้ถึงท่าทีอันผิดปกติของปิ้งโจว ปัจจุบันนี้ปิ้งโจวไม่ใช่ดินแดนอันแร้นแค้นอีกต่อไปแล้ว ทางด้านการทหารเองก็กล่าวได้ว่าเข้มแข็งเป็นอันดับต้นๆของแผ่นดิน ยามนี้ปิ้งโจวค้าขายม้าศึกโดยแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงและเหล็กมากมาย แสดงว่าจะต้องมีเป้าหมายใดอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าปิ้งโจวที่เพิ่งจบศึกในอิวจิ๋วไปได้ไม่นานกำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง?

พวกเขาย่อมไม่คิดว่าลิโป้กระทำเช่นนี้เพราะคิดปกป้องคุ้มครองตัวเอง ยิ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือมากเท่าใด ลิโป้ก็จะยิ่งไม่เต็มใจจะอยู่เพียงแค่ในปิ้งโจวอย่างแน่นอน เหตุการณ์ในอิวจิ๋วนั้นก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว

ขณะที่เจ้าเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้คิดมากอะไรต่อเรื่องนี้ การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ สำหรับสงครามของปิ้งโจวนั้น ขอเพียงพวกเขารักษาความสัมพันธ์อันดีกับปิ้งโจวไว้ก็ไม่มีใดแล้ว ผู้ที่สมควรวิตกกังวลมากที่ก็คืออ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋ว หาใช่พวกเขาไม่

ในช่วงนี้ ลิโป้ก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาผ่อนคลายยิ่ง นอกจากสะสางสิ่งต่างๆในจวนเจ้าเมืองเป็นกิจวัตรแล้ว เขาก็มักจะพูดคุยและใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องกับเหล่าภรรยาผู้งดงาม

..................................

"โถงรับสมัคร?" ขณะที่ยืนอยู่ด้านหน้าโถงรับสมัคร บุรุษผู้หนึ่งก็อ่านตัวอักษรบนป้ายโลหะด้วยความสนใจ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

"ไม่ทราบเซียนเซิงท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามใด?" เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูและโถงรับสมัครแห่งนี้ทราบว่าลิโป้ให้ความสำคัญกับที่นี่มาก ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อผู้ที่เข้ามาในนี้ด้วยความสุภาพเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการรับตัวผู้มีความสามารถไป