ไม่เพียงสามารถกวาดล้างกลุ่มกบฏภายในด่าน แต่ยังทำให้กองทัพกิจิ๋วต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก เฮาเสงและเซ้งเหลียมรีบเขียนรายงานสถานการณ์ล่าสุดส่งไปยังจวนเจ้าเมืองที่จิ้นหยางทันที ทั้งยังจัดวางกำลังเฝ้ารักษาด่านอย่างแข็งขันกว่าเดิม
ในฐานะด่านหน้าของจิ้นหยาง ตัวด่านหูกวนจึงเป็นด่านที่มีการป้องกันแน่นหนา อุปกรณ์ป้องกันด่านก็มีอยู่อย่างครบครัน หากต้องการจะบุกตีหักด่านแห่งนี้ด้วยกำลัง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน ยิ่งกว่านั้นด่านหูกวนยังอยู่ใกล้กับจิ้นหยาง การขนส่งเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆก็ทำได้อย่างสะดวก นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงของด่านแห่งนี้
งันเหลียงหน้าขาวซีด ในใจรู้สึกผิดต่อไพร่พลที่ตายไปไม่น้อย หากเขาฟังวาจาของฮองกี๋ เขาก็คงไม่ต้องสูญเสียกำลังทหารอย่างหนักเช่นนี้
"ใต้เท้าฮอง ก่อนหน้านี้แม่ทัพผู้นี้ทำผิดไปแล้ว" งันเหลียงเป็นคนที่กล้าทำก็กล้ารับ เขากล่าวพลางค้อมคำนับขออภัยต่อฮองกี๋
ฮองกี๋รีบประคองงันเหลียงขึ้นก่อนจะกล่าวว่า "ใยแม่ทัพงันต้องทำเช่นนี้? แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของสงคราม เป็นข้าเองที่ยุยงท่านแม่ทัพให้ลอบโจมตีด่าน เพียงแต่นึกไม่ถึงจริงๆว่าภายในด่านจะมีการรับมือเช่นนี้ แสดงว่าทัพปิ้งโจวเตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว"
หลังจากปรับความเข้าใจกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
"ใต้เท้าฮอง ไม่ทราบตอนนี้ควรทำเช่นไรดี?" งันเหลียงเอ่ยถาม
หลังจากจบศึก ความสามารถในการประเมินสถานการณ์ของฮองกี๋ก็เป็นที่ยอมรับของแม่ทัพส่วนใหญ่ในกระโจม แม้ว่านี่จะแลกมาด้วยชีวิตของทหารจำนวนไม่น้อยก็ตาม
"แม่ทัพทั้งหลาย บัดนี้ด่านหูกวนคงมีการเฝ้าระวังป้องกันอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเราได้แต่โหมตีหัก ไม่มีหนทางอื่นอีก จงเร่งสร้างเครื่องมือตีเมืองทั้งวันคืน แล้วเร่งพิชิตด่านหูกวนให้ได้โดยเร็วเถอะ" ฮองกี๋ถอนหายใจ ภายในด่านคงมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี คงไม่อาจเลียนแบบวิธีชิงด่านสายฟ้าแลบเฉกเช่นลิโป้ในครานั้น
.......................................
ที่สถานการณ์คับขันนั้นมีอยู่ด้วยกันสามแห่ง กาเซี่ยงที่รักษาการณ์อยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว สถานการณ์ของปิ้งโจวเวลานี้มีเรื่องให้ต้องพิจารณามากเกินไป อย่างเช่นสถานการณ์ของด่านหูกวน....
จิ้นหยางมีทหารประจำการอย่างแน่นหนา ควบคู่ไปกับมีบารมีของลิโป้คอยสะกด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายไปสักพัก แต่หลังจากด่านหูกวนส่งรายงานขึ้นมา กาเซี่ยงก็รู้สึกได้ว่ากำลังมีบางคนคิดก่อการ กาเซี่ยงเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรองของปิ้งโจว ดังนั้นจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อรายละเอียดของข่าวต่างๆ ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือดึงปัจจัยที่เป็นภัยคุกคามต่อปิ้งโจวออกมาแล้วกำจัดทิ้งเสีย
อาหาร หญ้าเสบียง และยุทธภัณฑ์ถูกลำเลียงส่งไปยังทั้งสามแห่งอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ ที่กาเซี่ยงกังวลมากที่สุดก็คือสถานการณ์ทางด้านของลิโป้ที่ล่วงลึกเข้าไปในแดนศัตรู พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ที่ไม่ได้คัดค้านจนถึงที่สุด
หลังจากที่ร่วมงานกันมาเกือบเดือน ยิ่งมาลิซกก็ยิ่งเลื่อมใสต่อกาเซี่ยงผู้ที่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากได้ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ หากว่าคนเช่นนี้ต้องการกุมอำนาจเอาไว้ในมือก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
เพียงแต่เมื่อกาเซี่ยงจะจัดการกับเรื่องราวใด เขาก็จะส่งคนมาแจ้งต่อลิซกก่อน ความถ่อมตัวและรอบคอบนี้เองที่ทำให้ลิซกรู้สึกชื่นชมมาก
สถานการณ์ของปิ้งโจวเวลานี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากสถานการณ์ในเผ่าเซียนเป่ยภาคกลางสักเท่าใด
ชนเผ่าเซียนเป่ยที่อยู่ในภาคกลางกำลังหวาดวิตก นับแต่ทัพฮั่นปรากฏตัวขึ้นในดินแดนของพวกเขา ข่าวเรื่องการล้างเผ่าก็แทบจะถูกส่งมารายงานทุกสามวันห้าวัน วิธีการที่ทัพฮั่นไม่ต่างอะไรจากการใช้ดาบคืนสนอง นั่นคือไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเลย ขอเพียงพบเห็นชาวเซียนเป่ย พวกเขาก็จะยกกำลังตามไล่ล่าทันที บัดนี้มีชนเผ่าที่ถูกกวาดล้างไปแล้วถึงหกเผ่า
สถาการณ์อันน่าสังเวชของทั้งหกเผ่าสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวเซียนเป่ยยิ่ง ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ทัพฮั่นจะเข้ามาอาละวาดในทุ่งหญ้าแห่งนี้โดยไม่สนใจพวกเขาซึ่งเป็นพญาอินทรี เป็นพญาหมาป่าของทุ่งหญ้าแห่งนี้
แม้ว่าชนเผ่าต่างๆจะระดมตั้งกลุ่มทหารม้าขึ้นมา ทว่าทัพฮั่นนั้น ทหารแต่ละนายล้วนใช้ม้าถึงสามตัว แล้วเป็นเช่นไรน่ะหรือ? พวกเขาใช้ม้าสลับกันเดินทางทั้งวันคืน เช่นนี้แล้วพวกเขาจะไล่ตามทันได้อย่างไร? หากติดตามไปโดยไม่ทันระวัง ดีไม่ดีจะเป็นฝ่ายพาตัวเข้าไปอยู่ในวงล้อมศัตรูเสียด้วยซ้ำ
หลังจากออกอาละวาดมาเกือบหนึ่งเดือน ทหารเฟยฉีทุกนายก็ดูสกปรกมอมแมมอยู่บ้าง ที่แย่ที่สุดก็คือเรื่องกลิ่นตัว พวกเขาใช้ชีวิตอย่างทรหด และแน่นอนว่าผลการเก็บเกี่ยวของพวกเขาย่อมมากมายจนตาลุกวาว สำหรับม้าศึกที่เป็นพาหนะสำหรับขี่ทั้งสามตัวนั้น พวกเขาล้วนคัดสรรมาอย่างดี หากนำกลับไปที่ปิ้งโจว พวกมันย่อมต้องถูกจัดเป็นม้าศึกชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
ในยามปกตินั้น แม้ว่าจะมีพ่อค้าเดินทางเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนม้าศึกกับชนเผ่าเซียนเป่ย ชาวเซียนเป่ยแน่นอนว่าย่อมไม่นำม้าศึกที่ดีที่สุดออกมาขาย
แน่นอนว่าย่อมต้องมีส่วนแบ่งให้กองกำลังม้าขาวเช่นกัน หลังจากปล้นชิงชนเผ่าต่างๆอย่างต่อเนื่อง จิตใจของพวกเขาก็เยือกเย็นกว่าเดิม แม้แต่ในยามกวัดแกว่งดาบสังหารข้าศึกที่เป็นเด็ก พวกเขาก็ไม่ได้เกิดความลังเลแต่อย่างใด เพราะพวกเคยเห็นทหารม้าเฟยฉีถูกหอกแทงทะลุอกเพราะเกิดสงสารเด็กน้อยคนหนึ่งมาแล้ว นับจากนั้นจิตใจของพวกเขาก็ยิ่งมายิ่งเย็นชาและหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม ขอเพียงลิโป้สั่งการลงมา พวกเขาก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยไม่ลังเล
ในทางกลับกัน กุยแกนั้นยังคงมีสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา
หลังจากร่วมเดินทางมานานนับเดือน ความเข้าใจที่กุยแกมีต่อลิโป้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองผู้รักและห่วงใยประชาชนท่านนี้ มาบัดนี้จะกลายเป็นปีศาจและฝันร้ายสำหรับชาวเซียนเป่ยไปเสียได้ เขานำกำลังกวาดล้างเผ่าเซียนเซียนเป่ยเผ่าแล้วเผ่าเล่า แม้ว่าวิธีการที่ใช้จะโหดร้ายไปบ้าง แต่กุยแกก็ไม่ได้คัดค้านแม้แต่น้อย วิธีที่ชาวเซียนเป่ยปฏิบัติต่อชาวอฮั่นเองก็ไม่ได้แตกต่างจากนี้สักเท่าใด กุยแกคล้ายติดเชื้อความห้าวหาญเด็ดขาดของลิโป้ไปด้วย ทอดตามองดูเจ้าเมืองทั่วแผ่นดิน ยังจะมีสักกี่คนที่กล้านำทัพล่วงลึกเข้าใจกลางชนเผ่าเซียนเป่ยเช่นนี้?
ใบหน้าที่ยังหนุ่มของจูล่งมีความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด ประสบการณ์จากการออกรบทำให้เขาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น ตอนเข้ามา เขานำทหารม้าขาวมาห้าร้อยนาย หากแต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เขาเหลือทหารม้าขาวเพียงร้อยเศษเท่านั้น พวกเขาได้รวมกำลังกับทหารม้าเฟยฉีโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ทั้งยังสร้างเป็นมิตรภาพอันลึกล้ำจากการผ่านศึกกับชาวเซียนเป่ยมาหลายครั้งหลายครา
ความลับเรื่องที่ทหารม้าเฟยฉีใช้โกลนนั้น ทหารม้าขาวที่เหลือล้วนล่วงรู้กันหมดแล้ว เพื่อที่จะโจมตีชนเผ่าเซียนเป่ยได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลิโป้จึงไม่ได้ปิดซ่อนเรื่องนี้อีก แต่เลือกที่จะนำออกมาให้ทหารม้าขาวใช้
จูล่งชอบความรู้สึกยามที่ควบทะยานม้าไปทั่วสนามรบยิ่ง ยิ่งมาเขาก็ยิ่งมองดูลิโป้ด้วยความเคารพ หากเป็นการประลองบนหลังม้า จูล่งก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับลิโป้ได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นต่อสู้บนพื้นดิน เขาก็ตระหนักดีว่าตนเองคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ เขาเคยประลองฝีมือกับเตียนอุยมาแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าเศร้าเกินจะกล่าวถึง จากนั้นเตียนอุยจึงได้เล่าความน่าเศร้าที่เขาเคยเผชิญพบมาตอนที่ได้ประลองกับลิโป้ให้จูล่งฟังเป็นการปลอบใจ
"ใต้เท้า บัดนี้พวกเราเหลือกำลังอยู่สองพันเก้าร้อยคน ว่ากันว่าชนเผ่าต่างๆในภาคกลางได้จัดตั้งกองกำลังทหารม้าที่มีกำลังกว่าห้าพันคนเพื่อมาไล่ล่าพวกเราแล้ว" กุยแกกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ฮึ่ม เซียนเป่ยน้อยพวกนี้ดีแต่พูดจาใหญ่โต ให้พวกมันมาเถอะ แม่ทัพผผู้นี้จะทำให้พวกมันได้ทราบเองว่าสิ่งใดจึงเรียกว่าทหารม้า" ลิโป้แค่นเสียงเย็น
"ใต้เท้า ความหมายของข้าน้อยคือ หากว่าทัพเราอาศัยโอกาสนี้ชิงบุกโจมตีชนเผ่าเซียนเป่ยก่อนจะต้องทำให้พวกเขาเกิดความสั่นคลอนขึ้นเป็นแน่ และวิกฤติของด่านเยี่ยนเหมินก็จะถูกคลี่คลายไปเอง" กุยแกกล่าวขึ้นเบาๆ
ลิโป้ตาเป็นประกาย จากนั้นจึงเข้าใจผลลัพธ์ลูกโซ่ของแผนการนี้ เขายกนิ้วโป้งให้กุยแกพลางเอ่ยชมว่า "เฟิ่งเซี่ยวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว"
กุยแกพลันกุมมือกล่าวถาม "ท่าทางเมื่อครู่มีความหมายว่าอย่างไรหรือขอรับ?"
"อ้อ นี่มีความหมายว่าเฟิ่งเซี่ยวเก่งกาจยิ่ง" ลิโป้หัวเราะ
กุยแกพยักหน้ารับนิ่งๆ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved