ตอนที่ 93 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

การต่อต้านครั้งสุดท้ายของทหารม้าสิบกว่าคนไม่อาจสร้างแม้แต่ระลอกคลื่นให้กับทหารม้าเฟยฉี เมื่อความตายกรายกล้ำเข้ามา กัวไท่ก็เกิดแรงฮึดควบม้าหลบหนี แน่นอนว่าทหารม้าเฟยฉีย่อมต้องติดตามไป

ทันใดนั้นกัวไท่ก็หันหลังแทงหอกใส่ทหารม้าเฟยฉีนายหนึ่ง

นี่คือห้วงความเป็นความตาย เพื่อที่จะอยู่รอดแล้ว กัวไท่ก็ดิ้นรนต่อสู้ถึงที่สุด แต่การปรากฏตัวขึ้นของกองทหารม้าทางด้านหน้าก็ได้ดับแสงแห่งความหวังของเขาไปโดยสิ้นเชิง

เผชิญกับการโอบล้อมของทหารม้า กัวไท่ก็พยายามจะตีฝ่าออกไป ทว่าทันใดนั้นหอกหนึ่งก็พุ่งแทงใส่ม้าของเขา เมื่อม้าที่ขี่อยู่อยู่ยาดเจ็บ มันก็ยกขาหน้าสลัดกัวไท่ลงจากหลัง

สนามรบค่อยๆถูกเก็บกวาด กว่าจะตรวจนับยอดผู้บาดเจ็บล้มตายเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเช้าแล้ว

ภายในหุบเขาไป๋ปอมีชาวบ้านรวมกับพวกโจรอยู่นับแสนคน ซึ่งมีมากกว่าจำนวนประชากรของอำเภอหนึ่งอำเภอในปิ้งโจวเกือบสองเท่า จิ้นหยางเป็นเมืองเอกของปิ้งโจว แต่ก็มีประชากรเพียงสามแสนคนเท่านั้น จะเห็นได้ว่ากัวไท่ก็นับได้ว่ามีดีอยู่บ้าง

ศึกเมื่อคืนนี้ จากทหารใหม่ของปิ้งโจวจำนวนหนึ่งหมื่นนาย มีผู้บาดเจ็บล้มตายไปเกือบสองพัน ขณะที่พวกเขาสามารถจับเชลยศึกได้เกือบหนึ่งหมื่นคน ส่วนทหารของสองเมืองยังย่ำแย่ยิ่งกว่า เดิมทีพวกเขามีหกพันกว่าคน แต่หลังผ่านศึกเมื่อคืน พวกเขาก็เหลือกันอยู่ไม่ถึงสองพัน อีกทั้งส่วนใหญ่ยังบาดเจ็บอีกด้วย

ในศึกเมื่อคืนนี้ จะบอกว่าทหารของสองเมืองมีส่วนสำคัญในการรบเลยก็ว่าได้ หากไม่ใช่เพราะพวกเขารบอย่างไม่กลัวตายจนกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองเสียขวัญ กองทัพปิ้งโจวก็คงไม่อาจชนะศึกได้โดยเสียกำลังพลเพียงส่วนน้อยเช่นนี้ กล่าวได้ว่าทหารส่วนตัวของพวกตระกูลใหญ่นับว่ามีส่วนช่วยได้มากทีเดียว

"กัวไท่ เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?"

ลิโป้ที่อยู่ในชุดเกราะสง่างามเอ่ยถาม ความกดดันยามลิโป้อยู่ในชุดเกราะนี้กระทั่งทำให้แม่ทัพกองทัพปิ้งโจวด้วยกันยังยำเกรง เป็นสภาวะของขุนพลที่ผ่านการรบมาโชกโชน

กัวไท่แค่นเสียงเย็น "จะฆ่าก็ฆ่า บิดาจะไม่ขมวดคิ้วแน่นอน"

ลิโป้เดินเข้ามาหากัวไท่ก่อนจะกล่าวว่า "ได้ยินมาว่ากัวไท่เป็นผู้ที่กังวลห่วงใยต่อผู้คน ทั้งยังมีเมตตา แต่คิดไม่ถึงว่าพอเจอตัวจริงแล้ว ก็ไม่เห็นจะห่วงใยประชาชนดังว่า"

"ผายลม! สิ่งที่บิดาชิงชังมากที่สุดในชีวิตก็คือขุนนางสุนัขอย่างพวกเจ้าที่เก่งแต่กดขี่ประชาชน" กัวไท่ด่าทอ

"สามหาว! กล้ากล่าววาจาเช่นนี้ได้อย่างไร" หลี่เยี่ยนเดือดดาล

"เมื่อเป็นเช่นนั้น ใยเจ้าไม่ยอมจำนนเพื่อให้ผู้คนได้อยู่บ่างสงบสุขและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกันเล่า?" ลิโป้โบกมือพลางถามด้วยรอยยิ้มไม่ใส่ใจ

"ขุนนางปิ้งโจวล้วนแต่ไม่มีตัวดี เพราะผู้คนไม่มีหนทางรอด จึงต้องมาพึ่งพาหุบเขาไป๋ปอ ไม่อย่างนั้นคิดหรือว่าพวกข้าจะอยากอยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกกาไม่เหลียวแลเช่นนี้?"

"ดี ในเมื่อเจ้าอุทิศตัวเพื่อผู้คน เจ้าก็สามารถติดตามข้ากลับไปที่จิ้นหยาง หากชีวิตของผู้คนภายในจ้นหยางไม่เป็นที่พอใจของเจ้า แม่ทัพผู้นี้ก็จะปล่อยตัวเจ้าไป" ลิโป้กล่าว

"เจ้าพูดจริง?" กัวไท่ประหลาดใจ จะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ขึ้นอยู่กับเขาไม่ใช่หรือ? สมองของลิโป้คงไม่ใช่ถูกลาเตะมาหรอกนะ? เขาทราบดีว่าชีวิตความเป็นอยู่ของปิ้งโจวนั้นเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่เชื่อว่าการปราฏตัวของลิโป้จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปิ้งโจวได้ด้วย

"แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องเอาใจใส่ต่อผู้คนในหุบเขาเสียก่อน แม้ว่าหุบเขาไป๋ปอจะกว้างใหญ่ แต่ก็มีพื้นที่ทำกินอยู่ไม่มาก ขอเพียงพวกเขาเต็มใจ แม่ทัพผู้นี้ก็จะจัดสรรที่ดินพร้อมบ้านให้อยู่อาศัยในสี่อำเภอใกล้เคียง"

ครั้งนี้กัวไท่ตกตะลึงจริงๆแล้ว เขาเองก็เคยได้ยินผู้คนในหุบเขาพูดคุยกันมาก่อน เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นข่าวที่กองทัพปิ้งโจวปล่อยออกมาเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพโพกผ้าเหลือง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลิโป้จะกล่าวออกมาเอง เขาจะจัดสรรที่ดินและบ้านที่อยู่อาศัยให้พวกชาวบ้านจริงๆ

"คำพูดของท่านแม่ทัพเป็นความจริง?" กัวไท่พลันรู้สึกว่าสมองของเขาตามเรื่องราวไม่ทันอยู่บ้าง

"ย่อมเป็นความจริง ขอเพียงชาวบ้านในหุบเขายอมอยู่ใต้กฏหมายเดียวกับชาวเมืองจิ้นหยาง" ลิโป้พึงพอใจกับปฏิกิริยาของกัวไท่มาก

"ผู้คนในจิ้นหยาง? พวกเขาเป็นอย่างไร?" กัวไท่พึมพำ มันใดนั้นในใจก็เกิดสนใจอยากจะไปดูความเป็นอยู่ของชาวจิ้นหยางให้เห็นกับตา

กัวไท่เกิดในตระกูลที่ยากจน ดังนั้นจึงใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนระดับล่างมากกว่า เขาเข้าร่วมกับกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองก็เพราะต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อไม่ให้เหล่าชาวบ้านต้องถูกราชสำนักและพวกตระกูลใหญ่ขูดรีดจนหมดหนทางอีก ถึงแม้ว่าท่านปรมาจารย์จะก่อการล้มเหลว แต่เขาก็ยังมีความฝันว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนทั่วไปจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไม่ถูกกดขี่จากระบอบชนชั้น

ถึงแม้ว่าวิถีชีวิตในหุบเขาไป๋ปอจะทุกข์ยากอยู่บ้าง แต่หลายคนก็ยังเต็มใจที่จะรั้งอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าชีวิตจะถูกคุกคาม

"เช่นนั้น ข้าก็จะเกลี้ยกล่อมผู้คนในหุบเขาให้เอง ขอให้กองทัพรักษาสัญญาและปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยดี" กัวไท่กล่าวด้วยความกังวลอยู่บ้าง

"แม่ทัพกัวโปรดวางใจ ข้าขอใช้ฐานะเจ้าเมืองปิ้งโจวเป็นประกัน หากข้าทำไม่ได้ตามที่พูด ข้าก็จะลาออกจากตำแหน่ง"

"ฮึ่ม เจ้าโจรกบฏ เจ้านี่มันน่าหงุดหงิดเสียจริง ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านแม่ทัพเป็นคนไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้น" จ้าวจินสบถอย่างไม่พอใจ

"แก้มัดให้กัวไท่ จ้าวจิน เจ้าพาเขาไปปลอบโยนผู้คนเถอะ"

"ขอรับ" จ้าวจินถลึงตาใส่กัวไท่ก่อนจะสั่งให้ทหารสองนายแก้มัดให้

ระหว่างทาง กัวไท่พูดคุยกับจ้าวจินด้วยสีหน้าละอายใจ พยายามเลียบเคียงสอบถามสถานการณ์ของเมืองจิ้นหยาง แต่ทหารติดตามทั้งสองนายได้ช่วยคลายข้อสงสัยให้เขาแทน จ้าวจินไม่แม้แต่จะเหลือบมองกัวไท่เสียด้วยซ้ำ

"ว่ากระไร? เจ้าบอกว่าชาวเมืองจิ้นหยางทุกคนจะได้รับที่ดินอันอุดมสมบูรณ์คนละหนึ่งมู่? ที่ดินปานกลางสองมู่ และที่ดินระดับอีกสี่มู่งั้นรึ? ทั้งยังงดเว้นการเก็บภาษีอีกสามปี?" กัวไท่รู้สึกคล้ายโลกเกิดการพลิกตลบ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ทางการใจกว้างถึงเพียงนี้? แจกที่ดินจำนวนมากเช่นนี้ ไม่กลัวว่าพวกตระกูลขุนนางจะโกรธแค้นเอาหรือ?

"พวกท่านเล่า ไฉนจึงกลายเป็นกบฏ? หลังจากที่ข้ามาเป็นทหาร ครอบครัวของข้าก็ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั้งครอบครัวยังได้รับการงดเว้นภาษีอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราออกปราบโจรโพกผ้าเหลือง เพียงแต่พวกท่านเจ้าเล่ห์จริงๆ" ทหารติดตามบ่นพึมพำ

"ครอบครัวของทหารไม่ต้องจ่ายภาษี?" กัวไท่พูดไม่ออก หากเป็นเช่นนี้ ผู้คนไม่พากันแย่งส่งลูกหลานเข้ากองทัพกันหรอกหรือ? แต่ดินแดนที่แร้นแค้นอย่างปิ้งโจวจะเลี้ยงดูพวกเขาไหวหรือ? ในปิ้งโจวมีหทารอยู่หลายหมื่น ดังนั้นค่าใช้จ่ายย่อมต้องมากตาม หากว่าไม่เก็บภาษี เช่นนั้นแล้วจะเอาอะไรมาเลี้ยงปากท้องของพวกทหาร?

"ฮึ่ม ท่านคิดว่าทหารของกองทัพปิ้งโจวนั้นเป็นกันได้ง่ายๆหรือ? ข้าต้องผ่านการทดสอบตั้งหลายชั้นกว่าจะได้เข้ากองทัพ ครั้งนี้ข้าทำศึกกับท่าน สังหารศัตรูไปได้สองคน หลังจากที่กลับไป ข้าก็จะได้เลื่อนขั้น ได้เงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละร้อยเฉียน" ทหารนายนั้นยกนิ้วขึ้นมานับคำนวณ

กัวไท่อ้าปากค้าง มาเป็นทหารแล้วยังได้เงินด้วยหรือ? หากยึดตามคำพูดของทหารนายนี้ เช่นนั้นทหารทั่วไปก็เท่ากับว่ามีเงินเดือนกันทุกคน ปิ้งโจวร่ำรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด? "น้องชาย ต่อให้เจ้าได้รับเงินร้อยเฉียนในเดือนมกรา แต่ว่าเดือนต่อไปๆเล่า? อย่าได้ถูกจวนเจ้าเมืองหลอกเอาเชียว"

"เหลวไหล เงินเดือนย่อมต้องต้องจ่ายให้ทุกเดือนอยู่แล้ว" ในใจของทหารนายนั้นคิดว่าหัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองผู้นี้สมองมีปัญหาอยู่บ้าง 'คงเกิดความอิจฉา ต้องการยุยงให้แตกคอกันสินะ'

"เหอะ สำนักงานเมืองย่อมไม่เดือดร้อนกับเงินจำนวนเท่านี้ จะดีจะร้ายเจ้าก็เป็นถึงแม่ทัพของกองทัพโจรโพกผ้าเหลือง ทำตัวอย่างกับไม่เคยเห็นโลกภายนอกเสียอย่างนั้น" จ้าวจินกล่าวอย่างไม่พอใจ

นี่นับเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดสำหรับกัวไท่เลยก็ว่าได้ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เขาไม่เคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้มาจริงๆ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลิโป้ถึงกล้าเอ่ยวาจาหนักแน่นถึงเพียงนั้น ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าตนเองได้ตกหลุมพรางของลิโป้เข้าเสียแล้ว