ตอนที่ 186 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็คงต้องอธิบายด้วยเช่นกัน ตระกูลบิมีความสัมพันธ์อันดีกับข้า ตอนนี้เมื่อพวกเขาถูกรังแก ข้าก็คงไม่อาจนิ่งเฉยดูดาย หวังว่าใต้เท้าเล่าจะเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในวินัยของพวกทหาร อย่าให้แสดงความหยาบคายเช่นนี้อีก ข้าขออำลา" กล่าวจบ ลิโป้ก็หมุนตัวเดินออกไป ทิ้งให้คนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันด้วยความตกใจ

"พี่ใหญ่ ใต้เท้าลิ เขา..." เตียวหุยไม่ทราบควรทำอย่างไร จากลักษณะนิสัยอันหยาบคายของเขา ลิโป้สมควรขอคำอธิบายเพิ่มเติม แต่ผลที่ออกมากลับอยู่เหนือความคาดหมาย เขาเลือกที่จะอดทน

"เจ้ากล้าดีอย่างไร?" กวนอูถลึงตามองลิโป้ขณะเลื่อนมือไปแตะด้ามกระบี่ที่เอว

ลิโป้แค่นเสียงเย็น "แม่ทัพกวนต้องการจะกักตัวข้าไว้ที่นี่งั้นรึ?"

เล่าปี่นิ่งเงียบ การกระทำของลิโป้ทำให้ความตั้งใจของเขากลายเป็นหมัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองเลย

"มีหรือที่ข้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ถูกดูหมิ่นเช่นนี้ได้?" กวนอูชักกระบี่ก่อนจะฟันใส่ลิโป้

บรรยากาศภายในจวนเจ้าเมืองพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด กวนอูที่ปกติแล้วมักจะนิ่งสุขุมอยู่เสมอ คาดไม่ถึงว่าจู่ๆบทจะลงมือก็ลงมือเลย

ลิโป้เหยียดแขนข้างที่ถือทวนขวางเตียนอุยไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างชักกระบี่แล้วก้าวออกไป

ทุกคนเพียงเห็นประกายกระบี่สะท้อนวูบก่อนจะมีเสียงดัง "เคร้ง"

เมื่อได้สติกลับมา พวกเขาก็เห็นกระบี่ที่สะท้อนแสงสีฟ้าอ่อนกำลังพาดอยู่บนลำคอของกวนอู

ความรู้สึกเดียวของกวนอูคือ "รวดเร็วยิ่ง" กระบี่นี้ ต่อให้เขาเตรียมตัวอยู่ก่อนก็ยังไม่อาจต้านทานได้

หน้าที่เคยแดงอยู่แล้วกลับแดงยิ่งกว่าเก่า กวนอูคาดคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับลิโป้ในกระบวนเดียว หากว่านี่เป็นสนามรบ ตัวเขาคงตายไปแล้ว

พลันกวนอูก็หวนนึกถึงตอนที่ฮัวหยงมาท้ารบที่นอกค่ายพันธมิตร ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพอฮัวหยงมองเห็นลิโป้ สิ่งแรกที่กระทำคือหันหัวม้าหลบหนี ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะเห็นว่าพวกเขามากันสองคน แต่ฮัวหยงหวาดกลัวลิโป้จริงๆ

"หากยังมีครั้งต่อไปก็อย่าได้ตำหนิว่าขุนนางผู้นี้โหดเหี้ยม" ลิโป้สอดกระบี่เข้าฝัก เขาแค่นเสียงคำหนึ่งก็เดินออกจากจวนไป

กวนอูกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก้มมองกระบี่ที่หักครึ่งในมืออย่างเหม่อลอย แม้กระบี่เล่มนี้จะไม่ใช่กระบี่วิเศษ แต่ก็ยังเป็นกระบี่ที่หาได้ยาก แต่เพียงปะทะกันคราเดียวก็ถูกฟันหักเป็นสองท่อน รอยตัดอันเรียบเนียนที่ปรากฏขึ้นนั้นราวกับกำลังบอกต่อทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

"น้องสาม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก ให้จบลงแต่เพียงเท่านี้" เล่าปี่ถอนหายใจ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่ากวนอูจะพ่ายแพ้ให้กับลิโป้ในกระบี่เดียว

เมื่อเห็นว่าเล่าปี่ยอมแบกรับความผิดทั้งหมดไว้ที่ตนเอง ตันเต๋งก็โล่งอก เขากุมมือกล่าวว่า "ใต้เท้า ลิโป้ผู้นี้โอหังบังอาจ ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลบิ พวกเราควรระวังป้องกันเอาไว้"

"เป็นเพราะเจ้าเอาแต่พูดไม่ดีกับใต้เท้าลิต่อหน้าพี่ใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ใช่เพราะเจ้า เรื่องราวในคืนนี้ยังจะเกิดขึ้นได้หรือ?" อารมณ์รุนแรงของเตียวหุยออกฤทธิ์อีกครั้ง โทสะที่เขาสะกดกลั้นมานานพลันปะทุออก เขาโยนความผิดทั้งหมดที่ทำให้กวนอูต้องอับอายขายหน้าไปให้ตันเต๋ง

เตียวหุยมีความชื่นชมต่อลิโป้ เขารู้สึกว่าในบรรดาแม่ทัพผู้กล้าทั่วแผ่นดิน นอกจากพี่รองกวนอูของเขาแล้ว ก็มีแต่ลิโป้ที่เขารู้สึกชื่นชมมากที่สุด มิคาด สองฝ่ายกลับถูกสถานการณ์ผลักดันมาถึงขั้นนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะสู้หน้าลิโป้ได้เหมือนเดิมหรือไม่

มองเห็นตันเต๋งหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เล่าปี่ก็ตวาดดุ "น้องสาม อย่าได้เสียมารยาทต่อใต้เท้าตัน"

...................................

หลังออกมาจากจวนเจ้าเมือง ลิโป้ก็รีบตรงไปที่จวนตระกูลบิ

จวนตระกูลบิที่เคยคึกคักมีชีวิตชีวาในอดีตกลายเป็นเงียบราวป่าช้า บิต๊กและบิฮองกำลังหารือบางอย่างอยู่ภายในห้องหนังสือ ขณะที่บิเจินยังคงเหม่อลอย

"เรียนนายท่าน ใต้เท้าลิอยู่ที่ด้านนอกประตูแล้วขอรับ"

"น้องรอง ตามข้าออกไปต้อนรับใต้เท้าลิ" ได้ยินดังนั้น บิต๊กก็รีบลุกขึ้น ความปลอดภัยของตระกูลบิเวลานี้ได้ฝากไว้กับลิโป้ทั้งหมด

บิเจินที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำนี้ ดวงตาของนางก็คืนสู่ประกายอันสดใส นางรีบเดินออกจากห้องไป ความเร็วยังมากกว่าพี่ชายทั้งสองของนางอีก เห็นฉากนี้ บิต๊กก็ส่ายศีรษะเบาๆ หลังจากเผชิญเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ บิเจินคงจะสะเทือนใจมาก ดังนั้นคงไม่ดีหากควบคุมนางอย่างเข้มงวดเกินไป

"คารวะใต้เท้า" บิต๊กและบิฮองประสานมือคารวะ

"เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป" ลิโป้โบกมือ

บนใบหน้าของบิเจินเผยแววผิดหวัง ลิโป้ไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางนาง

"เจินเอ๋อร์ สถานการณ์เร่งด่วนคับขัน ใต้เท้าลิเองก็กังวลห่วงใยตระกูลบิ สถานการณ์ภายในเมืองเวลานี้ล่อแหลมยิ่ง" บิต๊กเดินเข้าไปปลอบโยนน้องสาวเบาๆ

บิเจินพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า "พี่ใหญ่ ข้าจะกลับเข้าไปรอภายในห้อง"

"จื่อจ้ง ตระกูลบิเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเราไม่อาจอยู่ที่ชีจิ๋วได้อีก ต้องรีบออกเดินทางโดยเร็ว แล้วเฟิ่งเซี่ยวเล่า? ไฉนจึงไม่เห็นตัว?"

กุยแกที่เพิ่งมาถึงจวนตระกูลบิทันได้ยินลิโป้เอ่ยถึงเขาพอดี ดังนั้นจึงรีบเดินตรงเข้าไปหา เมืองชีจิ๋วเวลานี้ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่นาน หากเล่าปี่เกิดความคิดเป็นอื่น พวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายทันที แม้ว่าทัพม้าเฟยฉีจะกล้าหาญชาญศึก แต่อีกฝ่ายก็มีกำลังอยู่หลายหมื่น

"นายท่าน ข้าน้อยมาสายแล้ว" กุยแกกุมมือกล่าว

"เฟิ่งเซี่ยวมาแล้ว รีบมาตรงนี้" ลิโป้กล่าวอย่างวิตก จากนั้นเขาจึงอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองโดยคร่าว

เมื่อเห็นว่าลิโป้กำลังรอความเห็นจากตน กุยแกก็ลำดับความคิดก่อนจะตอบว่า "นายท่าน ท่านต้องรีบออกจากชีจิ๋วโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของไพร่พลภายในเมือง เห็นได้ชัดว่าเล่าปี่ไม่ต้องการจะแตกหักกับนายท่าน เพราะหากเขาคิดเช่นนั้น การจะลงมือภายในจวนเจ้าเมืองก็เหมาะสมที่สุด เพียงแต่ตระกูลตันค่อนข้างมีอิทธิพลอยู่ภายในเมือง ทั้งตระกูลโจยังกุมอำนาจทางการทหารไว้ พวกเราจำเป็นต้องรีบออกจากชีจิ๋วก่อนที่เล่าปี่จะเปลี่ยนใจ"

ลิโป้พยักหน้า "เฟิ่งเซี่ยวกล่าวได้ถูกต้อง จงเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราจะออกจากชีจิ๋ว"

บิต๊กและบิฮองที่ฟังอยู่ก็สูดหายใจเข้าปอดด้วยความตกตะลึง นึกไม่ถึงเลยว่าลิโป้จะถึงขั้นต่อสู้กับกวนอูเพื่อออกหน้าให้กับตระกูลบิ พวกเขาย่อมทราบดีว่ากวนอูนั้นแข็งแกร่งเพียงใด กล่าวได้ว่าเพื่อที่จะช่วยตระกูลบิแล้ว ลิโป้ไม่ลังเลที่จะแตกหักกับเล่าปี่ เพียงเท่านี้ก้นับว่าคู่ควรจะให้ตระกูลบิถวายชีวิตรับใช้แล้ว

"เมื่อนายท่านจะออกจากชีจิ๋ว นายท่านไม่อาจไปอำลาต่อเล่าปี่ก่อน หลังออกจากเมืองไปแล้วค่อยส่งคนมาลาแทนก็พอ นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เล่าปี่เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน" กุยแกแนะนำ

หลังจากเตรียมตัวหามรุ่ง ตระกูลบิก็จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ

รุ่งสาง ทหารม้าราวหนึ่งพันก็คุ้มครองรถม้ายี่สิบกว่าคันมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง ตระกูลบิมีทรัพย์สมบัติมากมาย รถม้าทั้งยี่สิบกว่าคันนี้เพียงขนย้ายแต่สิ่งสำคัญ แม้แต่ลิโป้ก็ยังรู้สึกตาพร่างพรายเมื่อได้เห็นสมบัติทั้งหมดของตระกูลบิ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเล่าปี่จึงตัดใจลงมือต่อตระกูลบิ ด้วยพื้นหลังและความมั่งคั่งระดับนี้ ตระกูลใหญ่ในเมืองจิ้นหยางย่อมเทียบไม่ติด ยิ่งมองก็ยิ่งเข้าใจ ไม่แปลกที่เล่าปี่จะเสี่ยงแตกหักกับปิ้งโจวเพื่อที่จะรั้งตระกูลบิเอาไว้

ขบวนอันใหญ่โตระดับนี้ยากจะพบเห็นได้ในเมือง ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาแล้วแต่หลีกทางให้ สามารถมีทหารม้าคอยคุ้มครองขบวนได้ เกรงว่าเจ้าของขบวนคงมีฐานะไม่ธรรมดา

ทหารยามเฝ้าประตูเมืองไม่เคยพบเห็นขบวนที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้มาก่อน แม้ว่าในอดีตนั้น ตระกูลบิจะเคยส่งขบวนรถออกไปทำการค้า แต่ก็ไม่เคยมีทหารม้าคอยคุ้มครองมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นทหารยามจึงได้แต่สั่งให้หยุดขบวนด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา ขณะเดียวกันก็รีบส่งคนไปแจ้งต่อจวนเจ้าเมือง

"ขอบังอาจเรียนถาม ไม่ทราบว่าขบวนของใต้เท้าคิดออกจากเมืองไปด้วยจุดประสงค์ใด?" ทหารยามนายหนึ่งก้าวออกมากุมหมัดถามอย่างสุภาพ