ตอนที่ 36 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"แต่ว่า จูล่ง แม่ทัพที่กองซุนจ้านส่งมาผู้นี้ข้าชื่นชอบนัก ต้องการได้ตัวเขามาเข้าร่วม เว่ยกงพอจะมีวิธีหรือไม่?" ลิโป้เอ่ยถาม

"คนผู้นี้เป็นแม่ทัพใต้บัญชาของกองซุนจ้าน หากดึงตัวเขามา เกรงว่ากองซุนจ้านคงไม่พอใจ จะดีกว่าหากค่อยๆทำดีต่อเขา ซื้อใจเขาไว้ ตราบใดที่นายท่านปฏิบัติต่อเขาด้วยดี เขาย่อมจดจำไว้ในใจ" ลิซกเพิ่งพบว่าลิโป้มีความสามารถในเชิงการค้าก็วันนี้เอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความคิดลักพาตัวคนด้วย

ลิโป้พยักหน้าคล้อยตามความเห็นของลิซก กองซุนจ้านตัดสินใจส่งจูล่งมา เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญต่อจูล่งมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากตัดสินใจผิดพลาด ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายย่ำแย่ลง ถึงตอนนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย ดูจากในประวัติศาสตร์ที่จูล่งหันไปติดตามเล่าปี่ในตอนหลังแล้ว จะเห็นได้ว่าจูล่งเองก็ไม่ค่อยพอใจกองซุนจ้านสักเท่าใด ทำให้ลิโป้ยังมีโอกาสที่จะดึงตัวเขามา

คืนนั้น ลิโป้จัดงานเลี้ยงรับรองจูล่งพร้อมด้วยบุคคลสำคัญในกองทัพปิงโจวทั้งหมด

"สำหรับการต้อนรับที่บกพร่องนี้ ขอแม่ทัพจูล่งโปรดให้อภัย" ลิโป้ชูจอกสุรา "แม่ทัพจูล่งเดินทางมาไกล ขอทั้งหมดดื่มให้กับเขาหนึ่งจอก"

ใบหน้าจูล่งแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น และการที่ลิโป้ให้ค่าในตัวเขาทำให้เขาตื่นเต้นมาก ต้องทราบว่าลิโป้นั้นเป็นถึงผู้ปกครองแห่งปิงโจว มีชื่อเสียงและอำนาจอยู่ในมือ จูล่งลุกขึ้นยืน ก่อนจะกุมหมัดกล่าวว่า "ขอบคุณท่านแม่ทัพลิ แต่ข้าน้อยเป็นเพียงผู้คุมกองกำลังม้าขาว ไม่ใช่แม่ทัพแต่อย่างใด"

"จูล่งเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊ จะต้องเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน เสียดายก็แต่ท่านไม่ได้อยู่กับข้า" ลิโป้ถอนหายใจ

สีหน้าของจูล่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาย่อมฟังออกว่าลิโป้ต้องการชักชวนเขาให้เข้าร่วม "ขอบคุณท่านแม่ทัพลิที่ชื่นชม แต่ข้าน้อยรับไว้ไม่ได้จริงๆ"

งานเลี้ยงดำเนินต่อไป ผู้คนวนเวียนกันมาคำนับสุราลิโป้และจูล่ง งานเลี้ยงนี้ไม่มีการต่อบทกลอน ท่องกวีแต่อย่างใด มีเพียงดื่มกินอย่างสำราญใจ ทำให้จูล่งรู้สึกว่าลิโป้เป็นคนเปิดเผยและจริงใจ

ในงานเลี้ยง เจ้าภาพและแขกต่างสังสรรค์เฮฮา

"แม่ทัพจูล่ง เวลานี้แผ่นดินกำลังวุ่นวาย ประชาชนชาวปิงโจวต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ซ้ำร้ายยังมีภัยคุกคามจากชนเผ่านอกด่าน ตัวข้าเลื่อมใสแม่ทัพจูล่งยิ่งนัก ไม่ทราบว่าท่านมีความสนใจจะเข้าร่วมกับปิงโจวหรือไม่?" ลิโป้พลันกล่าวเข้าประเด็น

จูล่งถือจอกสุราก้มหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็วางจอกก่อนจะกุมหมัดกล่าวว่า "ขอบคุณท่านแม่ทัพลิที่ให้การชื่นชมในตัวข้าน้อย แต่เวลานี้ผู้แซ่เตียวดำรงตำแหน่งผู้นำกองกำลังม้าขาว ทำงานรับใช้แม่ทัพกองซุนจ้าน"

"นั่นไม่เป็นไร ขอเพียงแม่ทัพจูล่งตอบตกลง ข้าจะไปอธิบายต่อพี่โป๋กุยเอง" ลิโป้รีบกล่าว

"ท่านแม่ทัพลิ ขออภัยด้วย" จูล่งปฏิเสธ

"แม่ทัพจูล่งอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ กองซุนจ้านมีชื่อเสียงเลื่องลือ กองกำลังม้าขาวก็เป็นกองทหารม้าชั้นยอด แต่ทหารม้าปิงโจวของเราก็มีฝีมือไม่ต่ำทรามเช่นกัน หากวันใดแม่ทัพจูล่งคิดถอนตัว ขอให้ท่านพิจารณาปิงโจวก่อนเป็นแห่งแรกได้หรือไม่?" ลิซกหัวเราะกล่าว

"หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะมายังปิงโจวอย่างแน่นอน" จูล่งกล่าวอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกประทับใจในความจริงใจของลิโป้ยิ่ง

"ดี ท่านรับปากแล้วนะ" ลิโป้หัวเราะด้วยความเบิกบานใจ

"ท่านแม่ทัพลิ เวลานี้เจ้านายของข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่ทราบว่าท่านสามารถส่งกำลังไปช่วยเหลือได้หรือไม่?" เมื่อสบโอกาส จูล่งก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว

ลิโป้รู้สึกลังเล หากว่าเขาไม่ยอมส่งทหารไป จูล่งคงจะมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อเขาสักเท่าใด แต่ด้วยสภาพการณ์ของปิงโจวเวลานี้ยังไม่มั่นคง ยังมีอีกหลายสิ่งต้องจัดการดูแล ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเคลื่อนย้ายกำลังไปได้สักพัก

"แม่ทัพเตียว เวลานี้ปิงโจวมีอีกหลายสิ่งที่ต้องปรับปรุง แม้นายท่านของข้าจะมีความตั้งใจ แต่ก็ไร้ซึ่งกำลังจะช่วยเหลือจริงๆ" ลิซกอธิบายพลางถอนหายใจ

ลิโป้รีบโบกมือก่อนจะกล่าวว่า "เว่ยกง แม่ทัพผู้นี้ตัดสินใจจะส่งกำลังไป แม่ทัพจูล่งจะได้กลับไปอย่างวางใจ"

จูล่งตื่นเต้นยินดี เขารีบกุมหมัดกล่าว "ท่านแม่ทัพช่างเปี่ยมด้วยคุณธรรม ข้าน้อยขอตัวนำข่าวนี้กลับไปแจ้งต่อนายของข้าก่อน"

....................

"นายท่าน ท่านไปรับปากเขาเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ?" ลิซกกล่าวด้วยความกังวล

"เว่ยกง ตอนนี้อ้วนเสี้ยวเพิ่งได้ครอบครองเมืองกิจิ๋วซึ่งอยู่ติดกับปิงโจวเรา เกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้คงมีความคิดจะรุกรานปิงโจวของข้าด้วยเช่นกัน แม้พวกเราไม่อาจยกกำลังไปตีกิจิ๋ว แต่พวกเราก็ยังสามารถก่อหวอดในดินแดนของพวกเขา ทำให้อ้วนเสี้ยวอยู่ไม่เป็นสุข" ลิโป้หัวเราะ

"อ้อ เป็นเช่นนี้เอง" ลิซกพยักหน้า

วันรุ่งขึ้น ลิโป้ก็สั่งการให้โจเส็งนำไพร่พลสี่พันเคลื่อนออกจากด่านหูกวน บุกโจมตีกิจิ๋ว

ผู้คนที่มาจากลั่วหยาง หลังจากยุ่งวุ่นวายอยู่เกือบครึ่งเดือน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถลงหลักปักฐานได้ชั่วคราว เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่มีบ้านอยู่ในเมือง ทั้งยังไม่มีที่ดินทำกิน ขาดแคลนปัจจัยดำรงชีพต่างๆ ดังนั้นจึงไม่อาจเลี้ยงดูตนเอง

เพื่อที่จะบรรเทาความทุกข์ยากของราษฏร ลิโป้จึงตัดสินใจจะพัฒนาพื้นที่ส่วนตะวันตกของเมือง เดิมทีพื้นที่ส่วนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ชาวเมืองจิ้นหยางส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ที่นี่ เพียงแต่ที่นี่มีสภาพแวดล้อมย่ำแย่ ถนนหนทางคับแคบ หากเกิดเหตุด่วนขึ้นมา ก็ยากที่กองทัพจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ส่วนนี้

ในเมื่อยังไม่อาจจัดการกับเหล่าตระกูลใหญ่ เช่นนั้นก็ควรเริ่มพัฒนาจากชาวบ้านธรรมดา ในอนาคต ที่นี่จะกลายเป็นแนวหลังของเขา ไม่อาจให้เกิดปัญหาขึ้นได้เด็ดขาด

เมื่อได้เห็นประกาศที่คนของลิโป้นำมาติด ชาวเมืองก็รู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมา เดิมทีพวกเขาคิดว่าการเปลี่ยนตัวผู้ปกครองเมืองนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรนัก สุดท้ายพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปแบบเดิมไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว

"ท่านเจ้าเมืองต้องการขยับขยายและปรับปรุงตัวเมืองส่วนทิศตะวันตก แต่ยังขาดแรงงาน ผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับค่าแรงห้าถึงสิบตำลึงต่อวัน อีกทั้งที่ว่าการเมืองยังจะมอบอาหารให้สองมื้อ ผู้ใดที่มีความสนใจสามารถไปลงชื่อได้ที่ที่ว่าการเมือง"

ชาวเมืองต่างพูดคุยถึงป้ายประกาศนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้อยู่ ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะมอบเงินตอบแทน เพียงบอกว่ามีอาหารให้ ผู้คนก็แทบจะกรูกันไปลงชื่อแล้ว ที่หลายต่อหลายคนสมัครไปเป็นทหารนั้นเพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่าการเป็นทหารนั้นมีอาหารให้กินอย่างไรเล่า

ในยุคราชวงศ์ฮั่น ทหารระดับล่างจะไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด ที่พวกเขาต้องมาเป็นทหารก็เพราะต้องการที่จะลดภาระให้กับครอบครัว

ขณะที่ชาวเมืองจิ้นหยางหลายคนยังเอาแต่พูดคุย ชาวเมืองลั่วหยางหลายคนที่ได้ยินข่าวต่างก็แห่กันไปยังที่ว่าการอำเภอ ลิโป้ช่วยเหลือพวกเขาจากเงื้อมมือของตั๋งโต๊ะ สำหรับลิโป้นั้น พวกเขามีแต่ความสำนึกขอบคุณ หากไม่ใช่เพราะกองทัพปิงโจวแจกจ่ายเสบียงอาหารให้พวกเขา หลายคนคงจะอดตายในระหว่างทางไปแล้ว

"ต่อแถวให้เป็นระเบียบ คนที่ไม่ต่อแถวจะถูกไล่ออกไปทันที!" ที่ด้านหน้าของที่ว่าการเมือง เหลียงฮูมองดูผู้คนที่เบียดเสียดกันด้วยความรังเกียจก่อนจะตะโกนอย่างดุร้าย

ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าพลันเงียบเสียงลง สายตาที่ใช้มองดูเหลียงฮูเพิ่มความหวาดกลัวขึ้นมา คนผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่คุมงาน ดูแลการแจกจ่ายเงินและอาหารแก่แรงงาน ชาวบ้านย่อมต้องเกรงกลัวเขาเป็นธรรมดา

"ฮึ่ม แค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆของที่ว่าการเมือง กลับกล้าวางท่าถือดีถึงเพียงนี้" ลิโป้ที่เพิ่งมาถึงและเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีพลันแค่นเสียง

"นายท่าน คนผู้นี้มาจากตระกูลเหลียง ตระกูลเหลียงมีอำนาจบารมีอยู่ภายในเมืองนี้ไม่ใช่น้อย ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอดีตเจ้าเมือง ใต้เท้าเต๊งหงวน" ลิซกอธิบาย

"พ่อแม่พี่น้องทุกท่านไม่ต้องกังวล การขยับขยายเมืองต้องการแรงงานจำนวนมาก ทุกท่านสามารถเข้าร่วมได้แน่นอน สตรีและคนชราจะได้รับค่าแรงห้าตำลึงต่อวัน บุรุษจะได้รับค่าแรงสิบตำลึงต่อวัน เด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม และข้าขอรับประกันว่าจะมีอาหารแจกจ่ายให้ทุกท่านอย่างเพียงพอแน่นอน" ลิโป้ตะโกนบอกเสียงดัง

หลายคนรู้สึกสบายใจหลังจากได้ฟังคำพูดอันนุ่มนวลของลิโป้ หลายคนที่ไม่รู้จักเขาก็พากันเอ่ยถาม พอฟังว่าคนผู้นี้ก็คือลิโป้ บรรยากาศก็กลายเป็นเงียบสงบกว่าเดิม

สตรีสามารถเข้าร่วม ทั้งยังได้รับค่าตอบแทน แต่ผู้คนก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ในยุคสมัยนี้ สตรีนั้นยากจะปรากฏตัวต่อสาธารณะชน ถึงแม้จะอดตาย พวกนางก็จะไม่ทำสิ่งฝืนใจเพียงเพราะเงินจำนวนเล็กน้อย

"ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง เงินค่าแรงจะถูกจ่ายให้เป็นรายวัน หากพบว่ามีผู้ใดยักยอกเก็บไว้เอง คนผู้นั้นจะถูกลงโทษตามกฏกองทัพ ทุกท่านสามารถช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับทางการ หากพบเจอเหตุการณ์ผิดปกติใด โปรดจงรีบแจ้งต่อทหารลาดตระเวนทันที" ลิโป้ยกกุมมือพลางบอกกล่าวต่อชาวบ้าน