ตอนที่ 144 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ท่านประมุข มีทหารม้าชาวฮั่นราวหนึ่งพันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านซ้ายของทัพเราขอรับ" หน่วยสอดแนมผู้หนึ่งพลันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน

เมื่อปู้ตู้เกินได้ยินดังนั้นก็พลันเดือดดาลขึ้นมาทันที "หน่วยสอดแนมของเราล้วนแต่เป็นสัดใส่ข้าวกันรึไงถึงปล่อยให้ทัพฮั่นเข้ามาใกล้ได้โดยที่พวกเราไม่รู้ตัว"

หลังจากกรำศึกมาหลายสนาม ปู้ตู้เกินก็เข้าใจถึงความสำคัญของหน่วยสอดแนม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงยังส่งหน่วยสอดแนมออกไปเพิ่มแม้จะถูกหน่วยสอดแนมของทัพฮั่นสังหารไปมากมาย หากไม่มีหน่วยสอดแนมอยู่ในสนามรบเลย กองทัพนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับคนหูหนวกตาบอด

"ท...ท่านประมุข ไม่มีหน่วยสอดแนมของเรากลับมาเลยขอรับ" หัวหน้าทหารที่รับผิดชอบดูแลหน่วยสอดแนมเข้ามารายงานเสียงสั่น หน่วยสอดแนมของเซียนเป่ยไม่เคยกลายเป็นไร้ความสามารถถึงเพียงนี้มาก่อน

"ไม่มีใครกลับมาเลยงั้นรึ" ปู้ตู้เกินพึมพำ ในใจบังเกิดลางสังหรณ์อันเลวร้ายขึ้นมา

"ท่านประมุข ทางด้านขวาของทัพเรามีทัพฮั่นจำนวนราวห้าพันเข่นฆ่าเข้ามาแล้วขอรับ!"

ปู้ตู้เกินหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ หากว่าทัพหนุนของชาวฮั่นมีเพียงทหารราบจำนวนสามพันและทหารม้าจำนวนหนึ่งพัน ทัพเซียนเป่ยของเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำลายทัพฮั่นจนย่อยยับได้อย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้กลับเพิ่มมาอีกห้าพัน.....

ปู้ตู้เกินไม่มั่นใจว่าทหารม้าของเขาจะชนะอีกฝ่ายได้ ตัดสินจากผลลัพธ์ในศึกก่อนหน้านี้แล้ว ทัพฮั่นสามารถเอาชนะททัพม้าเซียนเป่ยได้อย่างหมดจด มีทหารม้าเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นที่สามารถหนีรอดมาได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของทัพฮั่นจึงเป็นที่คาดการณ์ได้

การปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของกองทัพฮั่นทำให้ปู้ตู้เกินเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าตนเองหลงกลชาวฮั่นเข้าเสียแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีกองทัพฮั่นจำนวนมากโอบล้อมเข้ามาจากทุกทิศทางโดยที่เขาไม่รู้ตัวเช่นนี้

การต่อสู้ระหว่างทหารม้าดำเนินไปอย่างรุนแรงฉับไว ท่านไม่อาจทราบได้เลยว่าขณะที่รับมืออยู่กับศัตรูผู้หนึ่ง ที่รอบด้านจะมีอาวุธอีกกี่ชิ้นที่พุ่งเข้ามา และขอเพียงตกจากหลังม้าไป สิ่งที่รอคอยท่านอยู่ก็คือความตาย ในสนามรบของทหารม้านั้น ทหารม้าที่ตกจากม้าก็จะถูกม้าตัวอื่นๆย่ำเหยียบจนตาย

ความแข็งแกร่งของทหารม้าเฟยฉีย่อมไม่เป็นที่กังขา พวกเขาโถมเข้าไปในทัพเซียนเป่ยที่กำลังโห่ร้องด้วยสภาวะราวกับหั่นแตง ประสบการณ์ทำให้พวกเขามีความเข้าใจในการรบมากขึ้น ต่อสู้ได้ดีขึ้น

โดยเฉพาะเงาร่างของแม่ทัพทั้งสองที่บัดนี้ได้ล่วงลึกเข้าไปในทัพข้าศึกแล้ว เรื่องนี้ได้กระตุ้นความฮึกเหิมให้กับทหารม้าเฟยฉีอย่างมาก

ปู้ตู้เกินกำลังลังเลว่าจะถอยทัพดีหรือไม่ เขาย่อมมองออกว่ากองทัพเหล่านี้ก็คือกองทัพที่ดีที่สุดของปิ้งโจว หากโชคดีเอาชนะได้ ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็เห็นกันอยู่ ประตูสู่หยุนจงและจิ่วหยวนจะเปิดอ้าออกต้อนรับชาวเซียนเป่ยทันที ในฐานะประมุขแห่งเซียนเป่ยตะวันตกแล้ว ปู้ตู้เกินจึงมีความทะเยอทะยานยิ่งกว่ผู้ใดในประมุขเซียนเป่ยทั้งสาม เขาต้องการจะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตและรวมชนเผ่าเซียนเป่ยให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง เวลานี้สถานการณ์ของราชสำนักต้าหานนั้นไม่ค่อยสู้ดี ไม่มีวี่แววว่าจะสามารถฟื้นฟูอำนาจกลับมาได้

หน่วยทะลวงค่ายยังคงเป็นหน่วยรบที่โดดเด่นที่สุดในสนามรบ พวกเขาได้รับอาวุธชุดเกราะที่ดีที่สุดในกองทัพ เทียบกับทหารหน่วยทะลวงค่ายแล้ว ทหารเซียนเป่ยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็สามารถบรรยายได้เพียงคำว่า ยาจก ทหารเซียนเป่ยหลายคนไม่มีแม้กระทั่งเกราะหนังเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งอาวุธในมือของพวกเขาก็ไม่ค่อยมีคุณภาพ แม้จะต่อสู้ได้อย่างห้าวหาญ หากแต่อาวุธในมือของพวกเขากลับเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ชาวเซียนเป่ยไม่ถนัดในการตีเหล็ก แม้แต่ชาและเกลือที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวันก็ยังต้องซื้อเข้ามาจากพ่อค้าชาวฮั่น ซึ่งราคาก็แพงยิ่ง สำหรับอาวุธนั้นก็ยิ่งยากจะหาเข้าไปใหญ่ แม้พ่อค้าชาวฮั่นจะทำเกำไรจากการค้าขายกับชาวเซียนเป่ย หากแต่พวกเขาก็ยังไม่โง่จนถึงขั้นเสริมเขี้ยวเล็บให้ฝ่ายศัตรู

เผชิญกับทหารหน่วยทะลวงค่าย ทหารเซียนเป่ยก็จนปัญญาจะจัดการ เวลานี้มีทหารเซียนเป่ยสองร้อยกว่าคนเข้าไปแล้วทราถูกทหารหน่วยทะลวงค่ายสังหาร หากแต่ทางฝั่งของหน่วยทะลวงค่ายกลับมีทหารบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยไม่กี่คน นี่เรียกได้ว่าเป็นการรบอยู่เพียงฝ่ายเดียว ทหารเซียนเป่ยที่มีเปรียบด้านจำนวนค่อยๆถูกผลักให้ต้องถอยร่นไปก้าวแล้วก้าวเล่า

หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ทหารเซียนเป่ยย่อมมั่นใจว่าไม่มีผู้เทียบเทียม ชาวเซียนเป่ยอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีความทรหดเป็นพิเศษ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้จักประมาณตน สิ่งที่ทำให้ทหารเซียนเป่ยหดหู่มากกว่าเดิมก็คือ พวกเขานึกไม่ถึงว่าพญาอินทรีบนทุ่งหญ้าเช่นพวกเขา วันหนึ่งจะต้องมาปะทะกับทหารม้าที่เป็นดั่งหมาป่าและทหารราบที่เป็นดั่งพยัคฆ์ของทัพฮั่นในถิ่นของตนเอง ในสนามรบนั้น ทหารม้าคือราชันย์แห่งสนามรบ แม้จะมีจำนวนเพียงหนึ่งพัน แต่ก็สามารถเทียบได้กับทหารราบจำนวนนับหมื่น ยามเมื่อทหารม้าพุ่งจู่โจม การเหยียบย่ำของกีบเท้าม้าจะเป็นพลังรบหลักๆที่ทำลายทัพศัตรู กล่าวก็คือ ลำพังตัวทหารม้าเองนั้นไม่ได้อันตรายจนไม่มีหนทางรับมือ

ทหารม้ามีความได้เปรียบทหารราบโดยธรรมชาติ ความเร็วของม้าทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วฉับไวก็ทำให้ทหารราบยากจะเข้าถึงตัว

เตียวเลี้ยวขมวดคิ้ว มองดูกองทัพเซียนเป่ยที่ทอดยาวไปไกล เขากำลังกังวลถึงความปลอดภัยของลิโป้ เมื่อได้ทราบว่าลิโป้นำทัพเฟยฉีล่วงลึกเข้าไปในถิ่นศัตรู หัวใจของเขาก็แทบจะกระดอนออกมาจากปาก แม้จะทราบแล้วว่าลิโป้ปลอดภัยดีและชนเผ่าเซียนเป่ยไม่มีกำลังจะตอบโต้กลับแล้ว แต่ในใจก็ยังอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ ที่ปิ้งโจวรุ่งโรจน์ได้อย่างทุกวันนี้ สามารถกล่าวได้ว่าลิโป้มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า ลิโป้ต้องมีชีวิตอยู่ หากว่าลิโป้ถูกสังหารในทุ่งหญ้าแล้วล่ะก็ สำหรับปิ้งโจวแล้ว นั่นจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ หลังจากทราบข่าวนี้ เขาก็รู้สึกโมโหกาเซี่ยงและลิซกที่ไม่ได้ห้ามปรามลิโป้

ทหารม้าหมาป่าได้รับการฝึกฝนจากลิโป้เองโดยตรง ดังนั้นย่อมเป็นทหารม้าชั้นยอด ย้อนกลับไปในช่วงศึกที่นอกเมืองลั่วหยาง พลังต่อสู้ของพวกเขาได้สร้างความตกตะลึงให้กับตั๋งโต๊ะอย่างมาก แม้จะเผชิญหน้ากับทหารม้าหมีบินซึ่งเป็นกองกำลังที่เก่งกาจที่สุดของตั๋งโต๊ะ กองพลหมาป่ากระทั่งยังสามารถถือไพ่เหนือกว่า

เมื่อทหารม้าพุ่งจู่โจม ทหารราบก็ยากจะหยุดยั้งได้ ต่อหน้าพลังอันมหาศาลแล้ว การเอาชนะด้วยจำนวนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทหารม้าหมาป่าได้มอบบทเรียนให้ปู้ตู้เกินด้วยดาบเปื้อนโลหิต พวกเขาได้บอกต่อชาวเซียนเป่ยว่ากองทัพฮั่นนั้นสามารถทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวได้

ตันเตากุมง้าวยาวไว้ในมือขณะที่คอยสั่งการอยู่ในทัพกลาง พวกเขาไม่เหมือนกับทหารหน่วยทะลวงค่าย ทหารจำนวนห้าพันนายนี้ล้วนถูกตันเตาฝึกฝนมาด้วยตนเอง เขามีความเคารพต่อลิโป้อย่างไม่อาจอธิบายได้ การรุกรานชายแดนของชนเผ่าเซียนเป่ยทำให้เขารู้สึกได้ถึงการมีตัวตนอยู่ในปิ้งโจว และทำให้เขารู้จักคุณค่าของตัวเอง

ทหารทั้งห้าพันนายของเขาเองก็ได้รับการทดสอบจากสงครามครั้งนี้เช่นกัน ศัตรูคือชาวเซียนเป่ยที่ห้าวหาญดุดัน ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เผชิญกับทหารเซียนเป่ย ไม่ต้องรอให้ตันเตาออกคำสั่ง พวกเขาก็ทราบแล้วว่าควรจะทำอย่างไร

เมื่อได้สัมผัสกับกองทัพและสนามรบจริง ตันเตายังค้นพบจุดอ่อนของกองทัพที่เขาฝึกฝนขึ้นมา ซึ่งได้จุดประกายความคิดใหม่ๆให้แก่เขา เอาไว้หลังจากสงครามนี้จบลง เขาจะนำกลับไปปรับใช้ที่หยุนจง

อาวุธชุดเกราะของทหารจำนวนห้าพันนี้ล้วนมาจากโรงงานช่างฝีมือในจิ้นหยาง ในแง่ความซับซ้อนและละเอียดอ่อนของอาวุธแล้ว แม้แต่กองทัพของเจ้าเมืองในภาคกลางก็ยากจะเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชนเผ่าเลี้ยงสัตว์อย่างเซียนเป่ย

ปู้ตู้เกินอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทหารฮั่นเหล่านี้ชัดเจนว่ากำลังรังแกผู้คน ทัพใหญ่ของเขาไม่เหลือทหารม้าอยู่แล้ว หากแต่อีกฝ่ายกลับส่งทหารม้าเข้ามาอาละวาดอยู่ในขบวนทัพของเขา ส่วนในการต่อสู้ระหว่างทหารราบด้วยกันนั้น ทหารชาวฮั่นทั้งหมดล้วนใช้อาวุธและชุดเกราะชั้นดี ทำให้ทหารเซียนเป่ยคล้ายเป็นเหมือนกับเหล่ายาจกที่กล้าหาญ เกราะหนังปะทะเกราะเหล็ก ในด้านของฝีมือนั้น ทหารฮั่นเองก็ไม่ได้อ่อนแอ ต่อให้มีขวัญกำลังใจ แต่ก็ยากจะชดเชยช่องว่างขนาดใหญ่ด้านยุทธภัณฑ์ เมื่อต่างฝ่ายต่างต่อสู้ด้วยความฮึกเหิมเหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้ความกล้าหาญเข้าชดเชยเพียงใดก็ดูเหมือนจะไม่อาจถมช่องว่างด้านพลังรบระหว่างสองฝ่ายได้.....