ตอนที่ 273 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

การล้อมตีเมืองอย่างต่อเนื่องทำให้จำนวนไพร่พลของทัพโจโฉลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงสี่หมื่นกว่าคน เพียงไพร่พลที่ตกตายจากการบุกเมืองซันหยงเพียงแห่งเดียวก็ปาไปสองหมื่นกว่าคนแล้ว

"นายท่าน ซันหยงมีกำแพงสูง ทั้งยังมีคูลึก หากว่าทัพเกงจิ๋วตั้งรับอย่างมั่นคง เกรงว่าคงยากจะตีชิงมาได้ อ้วนสุดเข้าครอบครองอิจิ๋ว ตัดหนทางถอยของทัพเกงจิ๋ว นายท่านจะต้องประกาศเรื่องนี้ต่อผู้คนที่อยู่ภายในเมือง หลังจากเหล่าตระกูลขุนนางที่อยู่ภายในเมืองได้ทราบเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องไม่ยินยอมตายไปพร้อมกับทัพเกงจิ๋วอย่างแน่นอน" ซี่จื่อไฉกล่าว

โจโฉพยักหน้า บุนเพ่งที่รับหน้าที่เฝ้ารักษาเมืองซันหยงนั้นเป็นบุคคลที่รอบคอบระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ โจโฉเคยพยายามจะติดต่อกับเหล่าตระกูลที่อยู่ภายในเมือง ต้องการจะประสานนอกในในการชิงเมืองซันหยงกลับมา ผู้ใดจะทราบเล่าว่าบุนเพ่งจะค้นพบเรื่องนี้ถึงสองครั้งสองครา นี่จึงทำให้เหล่าตระกูลภายในเมืองไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก ต่อหน้าดาบอันคมกริบของทัพเกงจิ๋ว มีหรือที่พวกเขาจะไม่กลัวตาย?

แม้ว่าบุนเพ่งจะพยายามควบคุมข่าวเรื่องที่อ้วนสุดยึดครองอิจิ๋วได้แล้วไว้อย่างสุดกำลัง กระนั้นทัพโจโฉก็ยังประสบความสำเร็จในการเปิดเผยข่าวนี้ต่อชาวเมือง เหล่าตระกูลใหญ่ที่อยู่ภายในเมืองพลันตาเป็นประกายเมื่อได้ยิน ก่อนหน้านี้กุนจิ๋วอยู่ในอำนาจปกครองของโจโฉ ขณะที่ทัพเกงจิ๋วนั้นเป็นคนนอก ที่พวกเขายอมจำนนต่อทัพเกงจิ๋วก็เพราะไม่มีกำลังจะต่อต้าน แต่ขอเพียงพวกเขาสามารถช่วยโจโฉยึดเมืองซันหยงกลับมาได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่มีความผิด หากแต่ยังจะกลายเป็นผู้มีพระคุณต่อทัพโจโฉ

เหล่าตระกูลใหญ่ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะในช่วงกลียุคเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาคิดคือการเก็บออมกำลังและทำอย่างไรจึงจะทำให้ตระกูลคงอยู่สืบไป สำหรับเรื่องที่ว่าผู้ใดจะได้ครองเมืองนั้น ตราบใดที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เมื่อทัพเกงจิ๋วเข้มแข็ง พวกเขาก็อ่อนน้อมต่อเกงจิ๋ว เมื่อทัพเกงจิ๋วอ่อนแอ พวกเขาก็จะหันไปอ่อนน้อมต่อศัตรูของเกงจิ๋ว นี่ก็คือสัจธรรม

สามวันต่อมา กองทัพของโจโฉก็หมดสิ้นซึ่งเสบียงอาหาร เหล่าแม่ทัพต่างมารวมตัวกันอยู่ด้านอกกระโจมของโจโฉ ก่อนหน้านี้โจโฉได้กล่าวว่ากองทัพของพวกเขายังเหลือเสบียงให้ใช้ได้อีกครึ่งเดือน แต่ไฉนหลังจากผ่านไปเพียงสามวันจึงหมดเกลี้ยงได้เล่า?

เมื่อเผชิญกับเหล่าแม่ทัพนายกองที่กำลังโกรธเกรี้ยว ขุนนางที่ดูแลเสบียงก็ทำอะไรไม่ถูก

โจโฉทราบว่าเขาจะต้องมีคำอธิบายต่อพวกทหาร มิเช่นนั้นทัพกุนจิ๋วก็จะก่อกบฏโดยที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหล่าตระกูลใหญ่จะเปิดประตูเมืองให้

"เรื่องเสบียงทัพนั้น ข้าเองก็ทราบเรื่องแล้ว มีเพียงวิธีเดียวที่สามารถแก้ไขได้" โจโฉกล่าว

ขุนนางดูแลเสบียงย่อมคิดตามไม่ทัน ดังนั้นจึงถามว่า "ใต้เท้า เชิญท่านกล่าวมาได้เลย ขอเพียงข้าน้อยกระทำได้ ข้าน้อยย่อมกระทำให้ทันทีขอรับ"

โจโฉพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวว่า "ข้าจะดูแลครอบครัวของเจ้าเป็นอย่างดี บัดนี้มีเพียงศีรษะของเจ้าเท่านั้นที่สามารถบรรเทาความโกรธแค้นของพวกทหารได้ " กล่าวจบ โจโฉก็ชักกระบี่ออกมาตัดศีรษะของขุนนางดูแลเสบียง

ขุนนางนั้นตายโดยที่ไม่ทราบว่าไฉนจู่ๆโจโฉจึงชักกระบี่ออกมาสังหารเขา

โจโฉก้มลงหยิบศีรษะของขุนนางดูแลเสบียงนั้นขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากระโจม เขายกชูศีรษะนั้นขึ้นพลางตะโกนว่า "ขุนนางผู้นี้ยักยอกเสบียงทัพ ทำให้กองทัพขาดแคลนเสบียง ดังนั้นจึงถูกข้าประหารไปแล้ว บัดนี้มีเพียงวิธีเดียวที่ทัพเราจะมีเสบียงต่อไป นั่นคือยึดเมืองซันหยงคืนมาให้ได้!"

เมื่อเหล่าแม่ทัพนายกองได้ยินดังนั้นก็พากันโกรธแค้น ขณะเดียวกันก็ยิ่งมุ่งมั่นจะยึดเมืองซันหยงมาให้ได้ หากไม่อาจตีชิงเมืองซันหยงกลับมาได้ พวกเขาก็ทำได้เพียงหิวโหยจนตายเท่านั้น

หลังจากเหล่าแม่ทัพนายกองนำเรื่องนี้กลับไปบอกต่อไพร่พลในสังกัด เหล่าไพร่พลก็ตะโกนโห่ร้อง ภายใต้การปลุกกระตุ้นของเหล่าแม่ทัพ ความเคียดแค้นของไพร่พลก็มุ่งเป้าไปที่ทัพเกงจิ๋วภายในเมือง เป็นคนเหล่านี้ที่เข้ามายึดครองบ้านของพวกเขาจนไม่มีที่ให้กลับ

บุนเพ่งตกใจเมื่อพบว่าจู่ๆกองทัพของโจโฉก็โหมบุกโจมตีอย่างดุดันยิ่งกว่าเดิม ทหารกุนจิ๋วปีนกำแพงขึ้นมาได้หลายครั้ง กองทัพของโจโฉยามนี้เพียงบรรยายได้ว่าเป็นกองทัพที่ไม่หวั่นเกรงความตาย เมื่อพบเห็นทหารเกงจิ๋วในระยะสายตา ทหารกุนจิ๋วก็จะบ้าคลั่งขึ้นมา

บนกำแพงเมืองเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด บุนเพ่งเร่งสั่งให้ทหารที่ประจำการอยู่ภายในเมืองเคลื่อนกำลังไปต้านทานทัพโจโฉ ในตอนนี้เอง ทหารส่วนตัวของเหล่าตระกูลใหญ่ภายในเมืองก็ฉวยโอกาสนี้บุกยึดประตูเมืองเอาไว้

เมื่อประตูของเมืองวันหยงถูกเปิดออก ทัพกุนจิ๋วก็พากันกรูเข้าไปทันที เมื่อพวกเขาพบเห็นทหารเกงจิ๋ว พวกเขาก็จะตรงเข้าไปฆ่าฟัน เมื่อถูกผลักดันด้วยความหิวโหยและความแค้น พวกเขาก็ระเบิดพลังต่อสู้ที่สูงกว่าในยามปกติออกมา

บุนเพ่งทราบว่าสถานการณ์สายเกินแก้ไข ดังนั้นจึงรวบรวมทหารถอยทัพออกจากเมืองซันหยง

ความพ่ายแพ้ของทัพเกงจิ๋วไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงเมืองซันหยง หลังจากโจโฉตีชิงเมืองซันหยงกลับมาได้แล้ว เขาก็รีบนำทัพไล่ตามตีทัพเกงจิ๋วต่อทันที

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นทำให้ทัพเกงจิ๋วเกิดความหวาดกลัวต่อทัพกุนจิ๋ว ฉากอันโหดร้ายที่เมืองวันหยงได้สลักลึกลงในจิตใจของพวกเขา เผชิญกับกลุ่มคนบ้าที่ต่อสู้อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ มีหรือที่พวกเขาจะไม่กลัว

บุนเพ่งนำทัพเกงจิ๋วหลบหนี ขณะที่ด้านหลังก็มีทัพกุนจิ๋วไล่ตามโจมตี

สงครามเกิดขึ้นในกุนจิ๋ว อิจิ๋ว เกงจิ๋ว และเองจิ๋ว เมื่อโจโฉยึดกุนจิ๋วกลับมาได้และค่อยๆทำให้กลับมาสงบมั่นคงได้ ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสงครามในครั้งนี้มากที่สุดย่อมไม่พ้นอ้วนสุด

อิทธิพลของเขาเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งกว่านั้นเขายังมียอดขุนพลอย่างฮัวหยงอยู่ใต้บัญชา อ้วนสุดเบิกบานใจจนอดลูบคลำตราหยกแผ่นดินในมือไม่ได้

แม้ว่าในเวลานี้ แผ่นดินจะไม่มีฮ่องเต้ กระนั้นก็ยังไม่มีเจ้าเมืองคนใดกล้าล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ฮั่น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการ เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงก่อการ

อ้วนสุดเรียกเหล่าแม่ทัพขุนนางมาประชุมหารือเรื่องสำคัญ "เวลานี้ราชวงศ์ฮั่นกำลังเสื่อมโทรม ฮ่องเต้สวรรคตในระหว่างที่เกิดความวุ่นวาย ตระกูลอ้วนซึ่งเป็นตระกูลขุนนางสี่สมัยมีความสำคัญต่อราชสำนักเป็นอันมาก ข้าต้องการจะกระทำตามโองการสวรรค์ ปลอบประโลมทวยราษฏร์ ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความเห็นเป็นอย่างไร?"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันเงียบ ขุนนางจู่ปู้(หัวหน้าเสมียน)เอียมเซียงสืบเท้าก้าวออกมากล่าวว่า "ในยุคราชวงศ์โจวนั้น นับตั้งแต่โฮ่วจีจนถึงพระเจ้าโจวเหวิน ปกครองแผ่นดินได้ถึงสองส่วนสาม กระนั้นสุดท้ายแล้วพระองค์ก็ยังมีจุดจบอันเลวร้าย นายท่าน แม้ว่านายท่านจะมีชาติตระกูลสูงส่งและมีตระกูลที่สืบทอดความมั่งคั่งมาหลายยุคหลายสมัย กระนั้นก็ยังด้อยกว่าตระกูลจี แม้ว่าบัดนี้ราชวงศ์ฮั่นจะเสื่อมโทรม ไร้ซึ่งเจ้าแผ่นดิน แต่พวกเราควรช่วยเหลือราชวงศ์ฮั่นจะเหมาะสมกว่าขอรับ"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ้วนสุดก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดไปก่อน หากแต่ภายในใจกลับเดือดดาลยิ่ง

เหล่าแม่ทัพบู๊นั้นกล่าวได้ว่าล้วนให้การสนับสนุนอ้วนสุด หากแต่เหล่าขุนนางบุ๋นนั้นไม่ได้ถูกจูงจมูกโดยง่าย ขุนนางบุ๋นเหล่านี้ยังระมัดระวังตนยิ่งกว่า หากว่าอ้วนสุดตั้งตนสำเร็จก็ดีไป แต่หากว่าล้มเหลว สถานะขุนนางของราชสำนักของพวกเขาก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นโจรกบฏทันที และตระกูลของพวกเขาจะต้องถูกประณามหยาดเหยียดโดยอนุชนรุ่นหลังไปอีกนานแสนนาน

อ้วนสุดเชื่อมาโดยตลอดว่าสกุลอ้วนนั้น แท้จริงแล้วมาจากสกุลเฉินในยุคฉู่ฮั่น อีกทั้งยังมีคำกล่าวที่แพร่หลายไปทั่วเองจิ๋วว่า "ผู้ที่สามารถขึ้นแทนฮั่นควรเป็นถูเกา"

ในสงครามที่อิวจิ๋วนั้น ทัพปิ้งโจวได้รับผลประโยชน์มากที่สุด และเตียวเอี๋ยนเองก็ได้ประโยชน์จากอ้วนเสี้ยวไปไม่น้อย แม้ว่ากองทัพโจรโพกผ้าเหลืองแห่งภูเขาดำจะแข็งแกร่งและมีจำนวนมากมาย ไม่ได้หวั่นเกรงว่าทัพกิจิ๋วจะยกกำลังมาปราบปราม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับอ้วนเสี้ยวแล้ว พื้นเพของกองทัพภูเขาดำยังตื้นเขินเกินไป ยกตัวอย่างเช่นหน่วยเซียนเติงของอ้วนเสี้ยว การเอาชนะทหารม้าขาวทำให้ชื่อเสียงของทหารหน่วยนี้โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน หลังจากต้อนรับทูตที่กองซุนจ้านส่งมาขอความช่วยเหลือ เตียวเอี๋ยนก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที อ้วนเสี้ยวจะไม่เสียทีเป็นครั้งที่สอง ที่สำคัญที่สุดคือ เขามองไม่เห็นโอกาสที่กองซุนจ้านจะชนะสงคราม

เผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ เตียวเอี๋ยนจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ตอนนี้เอง เขาก็นึกถึงกัวไท่ที่มาเป็นแขกในภูเขาดำได้ระยะหนึ่งแล้ว

ความแข็งแกร่งที่ทัพปิ้งโจวแสดงออกมาในศึกที่อิวจิ๋วทำให้เตียวเอี๋ยนเกิดความคิดที่จะเข้าร่วมกับปิ้งโจว กัวไท่เคยเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองมาก่อน กระนั้นปิ้งโจวก็ยังรับตัวไว้ ขณะที่กองทัพภูเขาดำก็เป็นโจรโพกผ้าเหลืองเช่นเดียวกัน ปิ้งโจวคงไม่ปฏิเสธ ที่สำคัญที่สุดคือ เตียวเอี๋ยนและปิ้งโจวมีศัตรูร่วมกัน