ตอนที่ 40 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

สัมผัสได้ถึงความคิดฆ่าฟันอย่างรุนแรงในคำพูดของลิโป้ ลิซกก็ผงะก่อนจะรีบโค้งตัวคำนับ "ทุกอย่างตามแต่นายท่านจะบัญชา"

"เว่ยกง ช่วงนี้เจ้าต้องระมัดระวังตัว เหวินหยวน เจ้าจัดคนไปคอยคุ้มครองเว่ยกง ทั้งเพิ่มความระวังต่อเหล่าตระกูลภายในเมือง" ลิโป้สั่งการ

"ขอรับ" เตียวเลี้ยวรับคำหนักแน่น ฟังจากการสนทนาของทั้งสองแล้ว เตียวเลี้ยวก้พบว่าเมืองจิ้นหยางไม่ได้สงบศึกเหมือนเปลือกนอก บางทีอาจจะมีคนคิดปองร้ายเจ้านายของเขาอยู่

"เหวินหยวน ตอนนี้ทหารม้าที่เจ้าฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?" ลิโป้ถามด้วยความสนใจ

"เรียนท่านแม่ทัพ กองทหารม้าผ่านการฝึกฝนแล้วเรียบร้อย ขณะนี้พวกเขาประจำการอยู่ที่นอกเมือง รอเพียงท่านแม่ทัพไปตรวจสอบขอรับ" เตียวเลี้ยวกุมหมัดกล่าวตอบ

"ดี เหล่าเหวินทำได้ดีมาก!" ใบหน้าที่เคร่งเครียดของลิโป้พลันปรากฏรอยยิ้มเบิกบาน

เตียวเลี้ยวกลับมาที่ปิงโจวพร้อมกับภาระอันหนักอึ้งบนบ่า ในยุคสมัยนี้ ทหารม้านับเป็นกำลังหลักที่ใช้ในการสู้รบ กองทหารม้าชั้นยอดเพียงหนึ่งกองสามารถตัดสินผลของสงครามขนาดใหญ่ได้ทันที

ความร้ายกาจของทหารม้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเป็นสำคัญ หากแต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ต่อให้ศัตรูจะมีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า แต่พวกเขาก็สามารถเข้าตีและถอยห่างออกไปได้นับร้อยลี้ ทหารราบที่มีเพียงสองขาจะไล่ได้ทันงั้นหรือ? ยิ่งทหารม้ามีฝีมือยอดเยี่ยมมากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเอาชนะกองทัพที่ไม่มีทหารม้าได้อย่างขาดลอยเท่านั้น

ม้าศึกชั้นยอดสี่พันตัว ทั้งหมดสวมใส่โกลนม้า ทหารม้าจำนวนสี่พันคนยืนอยู่ข้างม้าศึกคู่ใจของพวกเขาเงียบๆ สายตาจ้องมองไปยังแท่นยกสูงอย่างเคร่งขรึม ผู้ที่ยืนอยู่บนนั้นก็คือแม่ทัพของพวกเขา แม่ทัพไร้เทียมทานลิโป้

"พี่น้องทั้งหลาย ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องมาฝึกกับข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้ากลายเป็นกระบี่ที่แหลมคมของทัพปิงโจว เป็นยอดทหารที่ศัตรูต้องเกรงกลัว นับแต่นี้ไป ข้าขอตั้งชื่อกองกำลังของพวกเจ้าว่า 'เฟยฉี(ม้าบิน)' " ลิโป้ประกาศกร้าว

คำว่า 'พี่น้อง' ทำให้ทหารม้าทุกนายรู้สึกภูมิใจ พวกเขายืดตัวขึ้นตั้งตรงอย่างองอาจ หลังผ่านการคัดเลือกหลายรอบ พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองจิ้นหยาง และเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะได้เป็นทหารใต้บัญชาของลิโป้ การคัดเลือกก็ยิ่งทวีความเข้มข้น ดังนั้นเหล่าผู้ที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ล้วนแต่เป็นยอดทหาร

ในกองทัพปิงโจวนั้น มีกองกำลังอยู่สองกองที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หนึ่งคือกองพลหมาป่า กองทหารม้าชั้นยอดที่มีฝีมือเป็นที่ประจักษ์ในสนามรบ ซึ่งทหารใหม่เหล่านี้ล้วนได้รับการฝึกฝนจากนายทหารในกองพลหมาป่าเอง ส่วนอีกกองกำลังหนึ่งก็คือ หน่วยทะลวงค่าย นี่คือหนว่ยทหารราบที่ร้ายกาจที่สุดของทัพปิงโจว พวกเขาไม่เกรงกลัวการศึก แม้จะมีคนเพียงแปดร้อย แต่กระทั่งทหารม้าเองก็ไม่กล้าประมาทพลังต่อสู้ของพวกเขา

ส่วนความหมายของ 'เฟยฉี(ม้าบิน)' นั้น เหล่าทหารล้วนไม่เข้าใจ แต่นี่ก็คือการถือกำเนิดของกองทหารชั้นยอดอีกกอง และกองทหารม้านี้จะเป็นหนึ่งในกองกำลังที่เหล่าทหารล้วนใฝ่ฝันจะเข้าร่วม

"พวกเจ้าจะได้รับอาหารที่ดีที่สุดสามมื้อต่อวัน แต่พวกเจ้าจะต้องแสดงฝีมือ ให้พี่น้องทหารคนอื่นๆได้เห็นว่าพวกเจ้ามีดีอย่างไรถึงมีคุณสมบัติได้รับอาหารที่พิเศษกว่าพวกเขา!"

"มีสี่พันคนที่อยู่ที่นี่ แม่ทัพผู้นี้ทราบว่าพวกเจ้าล้วนแต่เป็นชายชาตินักรบ มีทักษะการขี่ม้ายิงธนูอย่างยอดเยี่ยม แต่กองกำลังเฟยฉีจะรับคนเพียงสามพันเท่านั้น! ทั้งยังจะมีการประเมินในทุกๆครึ่งเดือน ผู้ที่อยู่ในร้อยลำดับสุดท้ายจะต้องถูกคัดออก! เกณฑ์การประเมินนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป ในทัพปิงโจวนั้นไม่ขาดแคลนทหารม้า และข้าเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เต็มใจจะเข้าร่วมกับกองกำลังเฟยฉี!" ลิโป้เผยยิ้มบาง ด้วยระบบการคัดเลือกอันเข้มงวดนี้ เขาย่อมไม่กังวลว่าทหารเหล่านี้จะไม่พากเพียร

หลังจบการกล่าวปราศัยอย่างเรียบง่ายของลิโป้แล้ว เขาก็เรียกรวมแม่ทัพทั้งหมด เขามีความคิดที่จะฝึกฝนกองทหารม้าชั้นสูงมานานแล้ว ไม่เพียงแต่ในด้านฝีมือการรบเท่านั้น แต่ยังต้องมีวินัยเข้มแข็งดั่งเหล็กกล้า เป็นเวลาครึ่งปี ที่เตียวเลี้ยวได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำพวกเขาอย่างหนัก ทั้งยังต้องจัดหาม้าศึกชั้นดี และฝึกฝนให้คนเหล่านี้ยอดเยี่ยมทั้งทักษะขี่ม้าและทักษะยิงธนู

อาหารสามมื้อต่อวันนับว่าไม่น้อยเลย กองทัพในยุคนี้นั้น โดยปกติแล้วจะมีอาหารให้เพียงสองมื้อต่อวัน และนั่นถือเป็นเงินค่าจ้างของพวกทหาร มีเพียงกองทหารชั้นยอดและนายทหารระดับสูงเท่านั้นจึงจะได้รับเงินเดือนตอบแทน

กองทัพปิงโจวให้ความสนใจต่อผู้มีความสามารถ นี่จึงเป็นการกระตุ้นให้ทหารทั่วไปมีความกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากด้อยกว่าผู้อื่น ไม่ว่าผู้ใดก็อยากกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกันทั้งนั้น

รูปแบบการฝึกทหารม้าช่วงเริ่มต้นที่ลิโป้นำมาใช้ก็คือการฝึกทหารของทหารสมัยใหม่ เพื่อให้พวกเขาเชื่อฟังและสามารถปฏิบัติตามคำสั่ง ทั้งยังให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเมื่อเจอปัญหา ทหารที่มีวินัย มีทักษะบนหลังม้ายอดเยี่ยม ทั้งยังมีอุปกรณ์ครบครัน พลังต่อสู้ของพวกเขาย่อมไม่ต่ำทรามอย่างแน่นอน

ด้วยการหนุนเสริมจากอาหารอย่างดี ควบคู่ไปกับการเชื่อมั่นในตัวลิโป้ ผลลัพธ์การฝึกฝนที่ออกมาจึงเหนือกว่าที่ลิโป้คาดคิดเอาไว้

ไม่จำเป็นต้องให้แม่ทัพคอยสั่งการ ทหารม้าจำนวนสี่พันนี้ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากถูกคัดออกจากกองกำลังนี้ ไม่ใช่เพราะการปฏิบัติที่ดีกว่ากองกำลังอื่น แต่เป็นเพราะศักดิ์ศรี พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารที่ถูกคัดเลือกเข้ามาอย่างเข้มงวด หากต้องหน้าม่อยคอตกเดินออกจากกองกำลังไป พวกเขาจะทนทานได้อย่างไรกัน?

หลังจากจัดระเบียบกองทหารม้าได้แล้ว ลิโป้ก็เริ่มวางแผนถึงเรื่องอื่นๆ เขาได้คัดเลือกบุคคลากรด้วยตนเองและจัดตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้น ในยุคอาวุธเย็นเช่นนี้ ความเร็วของข้อมูลข่าวสารนับว่าเชื่องช้าอย่างยิ่ง หากมีหน่วยงานที่ทุ่มเทดูแลด้านข่าวสารเป็นการเฉพาะ เขาก็จะก้าวล้ำนำหน้า ทำให้มีเปรียบเหนือเจ้าเมื่องคนอื่นๆ

"เงิน เงิน....." หลังกลับมาถึงที่ว่าการเมือง ลิโป้ก็รับฟังรายงานจากลิซก เมื่อฟังจบก็ทอดถอนใจออกมา

คิดไม่ถึงว่าเงินทองที่มีจะไหลออกประดุจเขื่อนแตกเช่นนี้ ทั่วทุกด้านของปิงโจวล้วนแต่ต้องการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้เพียงเริ่มขึ้นที่เมืองจิ้นหยางเท่านั้น หากขยับขยายการพัฒนาออกไปทั่วทั้งปิงโจว นั่นจะเป็นจำนวนที่ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็ต้องหน้าถอดสี

"นายท่าน ร้านค้าและบ้านของเหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองเริ่มถูกรื้อถอนแล้ว วันนี้องค์รักษ์จ้าวได้เดินทางมาพูดคุยกับข้าน้อยอยู่นาน ที่พูดคุยเป็นเรื่องผลประโยชน์ของเหล่าตระกูลใหญ่" ลิซกกล่าวด้วยความกังวล ช่วงนี้เขายิ่งดูซูบผอมลงไปอีกหลังจากต้องตรากตรำทำงานหนัก

"ไม่ต้องใส่ใจ รอให้พวกเขาอาละวาดออกมา หากไม่ให้เห็นเลือดเสียบ้าง ปิงโจวก็จะไม่พัฒนา" ลิโป้กล่าวเสียงหนัก

ประชาชนจากลั่วหยางกว่าหนึ่งแสนคนยังขาดแคลนทั้งเงินและที่ดิน และตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็เป็นผู้ดูแลที่ดินส่วนใหญ่นอกเมืองจิ้นหยาง หากสามารถยึดเอาที่ดินเหล่านั้นเข้ามาเป็นของสำนักงานเมืองได้ เมืองจิ้นหยางก็จะสามารถบรรเทาความกดดันจากประชากรกว่าหนึ่งแสนได้อย่างแน่นอน

การข่มขู่ลิซกของเหล่าตระกูลใหญ่นั้นไม่ได้ผล เหล่าทหารในเมืองยังคงไม่ใยดีต่อเหล่าตระกูลใหญ่ พวกเขาเพียงภักดีต่อลิโป้ และไม่ลังเลที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง บ้านที่ไม่อยู่ในแผนจะต้องถูกรื้อถอน ต่อให้เป็นจวนของขุนนางก็ไม่ได้รับการละเว้นแต่อย่างใด

ขุนนางจากสามตระกูลใหญ่มารวมตัวหารือกันอีกครั้ง แม้แต่ตอนที่เต๊งหงวนยังมีชีวิตอยู่ เต๊งหงวนยังต้องไว้หน้าพวกเขา แต่คิดไม่ถึงว่าบุตรบุณธรรมของเขาจะไม่ใยดีพวกเขาถึงเพียงนี้ ในเวลาเพียงสองเดือน ความอดทนของตระกูลใหญ่ก็มาถึงจุดสิ้นสุด

"ท่านจ้าว ข้าได้ติดต่อกับทหารที่ดูแลประตูเมืองเรียบร้อย เวลานี้เพียงรอคำสั่งจากข้าน้อยเพียงคำเดียว พวกเขาก็จะบุกไปจับตัวลิโป้ที่จวนเจ้าเมืองทันที" ผู้กล่าวคือนายกองหลี่เฉิงที่มีหน้าที่ดูแลประตูเมือง แม้ตำแหน่งจะดูใหญ่โต แต่ก็มีเพียงชื่อ หามีอำนาจแท้จริงไม่

"ดี เรื่องนี้ต้องกระทำอย่างรัดกุม อย่าปล่อยให้ข่าวหลุดออกไปได้" จ้าวเหยียนกล่าวชมเชย

"ท่านจ้าวไม่ต้องกังวล หูตาของเรามีอยู่ทั่วเมือง ลิโป้จะได้รู้เพียงเรื่องที่เราอยากให้รู้เท่านั้น และหากต้องการ แม้แต่เวลานอนของลิโป้ พวกเราก็สืบทราบได้" หลี่เฉิงตอบเสียงเรียบ

"เวลานี้เมืองติ้งเซียงกำลังรวบรวมไพร่พลอย่างเงียบๆ เมื่อได้เวลาที่เหมาะสม จ้าวเหอจะนำทหารส่วนตัวบุกโจมตีประตูเมือง ท่านต้องทำให้แน่ใจว่าอำนาจการควบคุมประตูเมืองจะอยู่ในมือท่าน ถึงตอนนั้นจะได้เปิดประตูให้กองทัพของเราเข้าเมืองมา" จ้าวเหยียนกล่าวเบาๆ

จ้าวเหอ นายอำเภอแห่งเมืองติ้งเซียงเป็นบุตรชายของจ้าวเหยียน เป็นผู้ที่มีความสามารถคนหนึ่ง หากเอาชนะลิโป้ได้ ด้วยบารมีของตระกูลจ้าวแล้ว ปิงโจวจะต้องกลายเป็นของตระกูลจ้าวอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น ตระกูลจ้าวก็จะมีอิทธิพลเข้มแข็งขึ้นจนพอจะก่อการ