ตอนที่ 73 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ก่อนหน้านี้ที่มายังฉางอัน เขากับเตียนอุยมากันเพียงสองคน ด้วยมีคนน้อย อาศัยการพรางตัวก็จัดการปัญหาส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่เมื่อมีรถม้าเพิ่มมาสองคัน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป พวกเขากลายเป็นเป้าสายตาของพวกโจร โจรกลุ่มนี้มีกำลังหลายร้อยคน เมื่อพบว่าเป้าหมายมีเพียงผู้คุ้มกันไม่เกินห้าสิบคนก็คิดว่าหวานหมู สุดท้ายแทบถูกกวาดล้างไป

ฮัวหยงนำกำลังไล่ตามซัวหยง แต่เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าลิโป้จะไม่ใช้เส้นทางหลัก ดังนั้นจึงไม่พบร่องรอยใด เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหน้าม่อยคอตกกลับฉางอัน เมื่อไม่มีซิ่วเอ๋อร์ ฮัวหยงก็ราวกับสูญเสียอะไรไป เขามักจะเข้าออกจวนซือถูอยู่บ่อยครั้งเพื่อไปพูดคุยกับอ้องอุ้น เมื่อได้คลุกคลีกับอ้องอุ้นบ่อยครั้งเข้า ฮัวหยงก็พบว่าใต้เท้าซือถูท่านนี้ไม่ใช่คนวางท่าถือดี ไม่มีท่าทางเหยียดหยามเขาเหมือนขุนนางฝ่ายบุ๋นคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆสนิทสนมกับอ้องอุ้น

ในใจฮัวหยงมั่นใจยิ่งว่าซิ่วเอ๋อร์นั้นชมชอบเขา ทว่าชะตากลับเล่นตลกให้คนสองคนที่ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กันกลับต้องพลัดพรากจากกัน

อ้องอุ้นแน่นอนว่าต้องยินดีกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาแนะนำซิ่วเอ๋อร์ให้ฮัวหยงก็เพราะคิดจะตีสนิทกับฮัวหยงและวางแผนเล่นงานตั๋งโต๊ะ เขาไม่เคยล้มเลิกแผนการโค่นล้มตั๋งโต๊ะ ในความเห็นของเขานั้น ขอเพียงเขากำจัดหัวโจรกบฏอย่างตั๋งโต๊ะลงได้ ทุกคนก็จะสามารถปรองดองและร่วมกันฟื้นฟูแผ่นดินฮั่นให้กลับมารุ่งเรือง

อ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋วก็มีใจภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น ตอนที่ก่อตั้งพันธมิตรกวนตง เหล่าเจ้าเมืองที่มาเข้าร่วมก็สามารถนับได้ว่ามีใจภักดีต่อราชวงศ์ แม้บรรดาเจ้าเมืองจะมีกำลังทหารเข้มแข็งอยู่ในมือ กระนั้นพวกเขาก็ยังเป็นขุนนางของราชสำนัก

ภายใต้การชี้นำของอ้องอุ้น ฮัวหยงก็เริ่มสะสมความไม่พอใจต่อตั๋งโต๊ะมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพหมีบินซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของตั๋งโต๊ะนั้น ตั๋งโต๊ะไม่ได้มอบให้เขาดูแล แต่กลับมอบให้ลิฉุย กุยกีและคนอื่นๆดูแลแทน

ฮัวหยงที่เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของตั๋งโต๊ะรู้สึกว่าเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

.......

หนึ่งเดือนต่อมา ที่นอกด่านหูกวน รถม้าสองคันค่อยๆแล่นเข้าใกล้ด่านอย่างช้าๆ ที่รอบๆรถม้ามีทหารหน่วยเฟยอิงสามสิบนายติดตามคุ้มครอง ไร้ซึ่งเงาร่างผู้คุ้มกันจากจวนตระกูลซัว

แม้ทหารหน่วยเฟยอิงทั้งสามสิบคนจะมีท่าทางเหนื่อยล้า หากแต่ดวงตาของพวกเขายังคงกระจ่างสดใส ตามร่างมีคราบโลหิตที่ดูสดใหม่ซึ่งสร้างความพรั่นพรึงแก่ผู้พบเห็น

ลิโป้มองดูขบวนผู้คนที่ดูซอมซ่อนอกด่านแล้วด้วยความมึนงง หลายคนเองก็ชี้ชวนครอบครัวพากันดูรถม้าของพวกเขา หลังผ่านเข้าด่านหูกวนแล้วจะก็เป็นพื้นที่ปิ้งโจว แสดงว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากปิ้งโจว

ในที่สุดก็กลับมาถึงปิ้งโจวแล้ว ลิโป้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย นอนกลางดินกินกลางทราย เผชิญการดักปล้นห้าครั้ง แต่เมื่อมีทหารหน่วยเฟยอิงคอยอารักขา ชะตากรรมของพวกโจรก็เป็นที่ทราบได้ เป็นการสังหารแต่เพียงฝ่ายเดียว

ลิโป้เวลานี้นอนเอกเขนกอยู่ภายในรถม้า รับการปรนนิบัติดูแลจากซิ่วเอ๋อร์ ระหว่างการต่อสู้ครั้งล่าสุด พวกโจรลอบยิงธนูเข้าใส่ ลิโป้ที่ไม่ทันสังเกตจึงถูกยิงเข้าที่ไหล่ แต่ก็ไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงอะไร

เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารหน่วยเฟยอิงโกรธแค้นมาก พวกเขานำกำลังบุกไปล้างเลือดพวกโจรถึงในรัง

เหอคังมีสีหน้าบูดบึ้งมาตลอดทาง ในฐานะผู้บัญชาการค่ายซ้ายแห่งกองกำลังเฟยอิง การที่ลิโป้ได้รับบาดเจ็บนับเป็นความอัปยศอย่างที่สุดของเขา ต่อให้ลิโป้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่การที่นายท่านถูกพวกโจรทำร้ายบาดเจ็บใต้จมูกของเขานับว่าน่าอับอายมาก หากว่าภายหลังกองกำลังเผยอิงค่ายขวาและค่ายหน้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

ภายใต้การเกลี้ยมกล่อมของเตียนอุย กาเซี่ยง ซัวหยง ซิ่วเอ๋อร์ และซัวเอี๋ยมที่น้อยครั้งจะเอ่ยปาก ลิโป้ก็เข้าไปพักรักษาตัวอยู่ในรถม้าของหญิงสาวทั้งสอง แม้จะมีหญิงงามถึงสองนางอยู่ใกล้ๆ แต่ลิโป้กลับรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง มีฝีมือเยี่ยมยุทธ์ ไม่ได้หมายความว่าความฉลาดทางอารมณ์จะสูงไปด้วย ในชีวิตก่อน วันๆของเขาก็เพียงแค่ฝึกฝนและออกปฏิบัติการ ไม่มีเวลาไปดูแลลูกๆ ส่วนในชีวิตนี้ สถานการณ์ก็คล้ายคลึงกัน แม้ตำแหน่งจะสูงขึ้น แต่เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็ใช้ไปการรบ

"พี่ใหญ่ลิ ท่านต้องสัญญากับข้าว่าในอนาคตจะไม่พาตัวเองไปเสี่ยงอีก" ซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยความกังวล

"เด็กโง่ เป็นแม่ทัพแล้วจะไม่ออกไปสู้ศึกได้อย่างไร นับประสาอะไรกับบาดแผลเพียงเล็กน้อย"

ซัวเอี๋ยมซึ่งอยู่ทางด้านข้างมองดูคนทั้งสองเงียบๆ นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าตระกูลเว่ยแห่งเหอตง นางก็ได้พบกับสามีที่นอนป่วยอมโรค ด้วยความที่เขาต้องกินยาบำรุงไม่ต่างจากกินข้าว ดังนั้นนางจึงต้องฝึกต้มยาจนเริ่มชำนาญ จนกระทั่งสามีของนางป่วยตายก็ไม่เคยได้แตะต้องนางแม้สักครั้ง ทั้งนางยังถูกผู้คนตระกูลเว่ยยึดถือเป็นตัวกาลกิณี นางต้องถูกข่มเหงรังแกอยู่เป็นประจำ หากไม่ประสบพบเรื่องเลวร้ายแบบนี้ นางคงไม่ต้องกลับไปหาบิดาที่ฉางอันแล้ว

ซัวเอี๋ยมเรียนหนังสือและฝึกเล่นเครื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็ก อดถามตนเองไม่ได้ว่าเรียนสูงไปแล้วได้อะไร? เพราะเหมือนว่าการหาสามีและมีบุตรสักคนนั้นแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับการมีความสามารถแต่อย่างใด ในยุคสมัยที่สตรีถูกด้อยค่า การมีความสามารถมากกลับเป็นการก่อเภทภัยให้ตนเองเสียมากกว่า

"ใต้เท้าลิ ที่ท่านเคยกล่าวว่าสตรีไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าบุรุษเสมอไปนั้น ไม่ทราบว่าในปิ้งโจวนั้น สตรีสามารถรับราชการได้ไหมคะ?" ในที่สุดซัวเอี๋ยมก็ถามคำถามที่นางครุ่นคิดมาตลอดทางออกไป

"นี่....ตอนนี้ยังไม่ได้" ลิโป้ตอบอึกอัก เขาเข้าใจความหมายของซัวเอี๋ยม ใจจริงเขาก็อยากจะตอบนางว่าในปิ้งโจวนั้น สตรีย่อมสามารถรับราชการ หากแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงทั้งแผ่นดิน นี่ไม่เหมือนกับครั้งที่ลงกวาดล้างสามตระกูลใหญ่ ทุกอย่างจำต้องค่อยเป็นค่อยไป แม้เขาเชื่อว่าสักวันจะต้องมีวันที่สตรีสามารถรับราชการ เพียงแต่ยังไม่ใช่วันนี้

"อ้อ" น้ำเสียงของซัวเอี๋ยมค้ลายผิดหวังอยู่บ้าง

"แต่หากว่าเว่ยฮูหยินต้องการ ท่านสามารถไปสอนหนังสือที่โรงเรียน" ที่ปิ้งโจวขาดแคลนที่สุดในตอนนี้ก็คือบัณฑิตและครูสอนหนังสือ

"โรงเรียน?" ซัวเอี๋ยมถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

ดังนั้นลิโป้จึงบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรงเรียนในปิ้งโจวให้ซัวเอี๋ยมฟัง

ซัวเอี๋ยมตาเป็นประกาย "เช่นนั้นเชี่ยเซินต้องขอบคุณใต้เท้าลิแล้ว"

ลิโป้ยากจะเข้าใจได้ว่าทำไมซัวเอี๋ยมจึงตื่นเต้นนัก ก็แค่เป็นครูสอนหนังสือไม่ใช่เหรอ? ไฉนโฉมงามนางนี้จึงตื่นเต้นเล่า?

"เห็นแบบนี้แต่พี่สาวเอี๋ยมก็มีภูมิความรู้กว้างขวาง พี่ใหญ่ลิอย่าได้ดูถูกพี่สาวเชียวนะคะ" ซิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นยิ้มๆ

"น้องซิ่วเอ๋อร์!" ซัวเอี๋ยมเอ่ยดุๆขณะหน้าขึ้นสี การชมเชยความรู้ของสตรีต่อหน้าบุรุษอาจจะทำให้คนคิดได้ว่านางรอบรู้เรื่องอย่างว่า

"โอ้ งั้นดีเลย ดูเหมือนในอนาคตปิ้งโจวจะมีขุนนางหญิงแล้วคนหนึ่ง" ลิโป้หัวเราะ

คนพูดไม่มีเจตนา แต่คนฟังมีเจตนา ซัวเอี๋ยมคล้ายค้นพบเป้าหมายใหม่ นั้นคือการเป็นขุนนางในปิ้งโจว นางจะให้ผู้คนใต้หล้าได้เห็นว่าสตรีก็มีดีไม่แพ้บุรุษ

"พวกเจ้าเป็นใคร? ลงมาจากรถม้าเดี๋ยวนี้!" ทหารในชุดเกราะสิบกว่าคนจ่อเล็งอาวุธไปที่ทหารหน่วยเฟยอิงข้างรถม้าทั้งสามสิบคนอย่างระแวดระวัง เพียงแวบแรกที่เห็น พวกเขาก็ตัดสินได้ทันทีว่าคนทั้งสามสิบคนนี้เป็นตัวอันตราย

"แม่ทัพที่คุมด่านนี้คือเฮาเสงใช่ไหม?" เตียนอุยก้าวออกไปถาม

"ใช่แล้ว เป็นท่านแม่ทัพเฮา ไม่ทราบท่านคือ?" หัวหน้าทหารถามอย่างระมัดระวัง สามารถเรียกชื่อแม่ทัพของพวกเขาโดยตรงเช่นนี้ แสดงว่าบุคคลที่เบื้องหน้าต้องไม่ธรรมดา

"ในรถม้าคือใต้เท้าเจ้าเมือง ไปตามเฮาเสงมา" เตียนอุยลดเสียงลงกล่าว

ได้ยินวาจานั้น เสินจ่างก็ตะลึง แต่เขาก็รีบตั้งสติก่อนจะส่งทหารไปรายงานท่านแม่ทัพ กระนั้นเขาก็ยังคงจับตาดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นตัว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยได้ยินมาว่าใต้เท้าเจ้าเมืองออกไปนอกปิ้งโจว

เฮาเสงที่กำลังฝึกทหารอยู่ เมื่อได้ยินว่าใต้เท้าเจ้าเมืองอยู่ที่ประตูด่าน เขาก็รีบนำทหารม้ามุ่งหน้าไปที่นั่นทันที

"ท่านแม่ทัพ ท่านนี้คือแม่ทัพที่กล่าวว่าใต้เท้าเจ้าเมืองอยู่ภายในรถม้าขอรับ" เสินจ่างชี้ไปยังเตียนอุย

หลังจากมองดูเตียนอุยแล้ว เฮาเสงก็มั่นใจทันทีว่าลิโป้อยู่ภายในรถม้า "เฮาเสงน้อมพบท่านแม่ทัพ!" เฮาเสงกุมหมัดค้อมคำนับไปทางรถม้า แม้เวลานี้ลิโป้จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองแล้ว แต่เขาก็ยังคงเรียกหาว่าท่านแม่ทัพ ในใจของเขานั้นยึดถือลิโป้เป็นแม่ทัพของเขาตลอดกาล