ตอนที่ 187 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

"ฮึ่ม ที่อยู่ภายในรถคือใต้เท้าเจ้าเมืองปิ้งโจว ดังนั้นจงรีบเปิดทางซะ!" เตียนอุยบังคับม้าขึ้นหน้าพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง

ทหารยามนายนั้นผงะ ด้วยชื่อของเจ้าเมืองปิ้งโจวนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดภายในชีจิ๋วไม่รู้จักผู้มีพระคุณรายนี้ กอปรกับท่าทางอันดุดันของเตียนอุย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เปิดทางให้

แม่ทัพเฝ้าประตูที่เห็นเหตุการณ์จึงกระซิบกล่าวกับแม่ทัพคุมประตู "ท่านแม่ทัพ พวกเราควรรอให้คนของจวนเจ้าเมืองมายืนยันเสียก่อน มิเช่นนั้นจะถูกเบื้องบนตำหนิเอาได้"

แม่ทัพเฝ้าประตูพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกุมหมัดเข้าไปหาเตียนอุย "ท่านแม่ทัพ การผ่านเข้าออกประตูเมืองนั้นจำต้องได้รับอนุญาตจากจวนเจ้าเมืองเสียก่อน หวังว่าท่านแม่ทัพจะอภัยให้ด้วย"

เตียนอุยถลึงตจ้องแม่ทัพคุมประตูนั้น มือกระชับทวนคู่ให้แน่นขึ้นเล็กน้อย หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ทัศนคติของเล่าปี่ที่มีต่อลิโป้ก็ยังคงไม่ชัดเจน เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับลิโป้ได้เป็นอันขาด ต่อให้ตระกูลบิจะมั่งคั่งร่ำรวยกว่านี้อีกร้อยเท่า ในสายตาของเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังเทียบไม่ได้กับความปลอดภัยของลิโป้

"อาเหวย" ลิโป้เอ่ยปรามเตียนอุยก่อนจะเดินออกมาจากรถม้า "ขุนนางผู้นี้เป็นเจ้าเมืองปิ้งโจว เมื่อครั้งโจโฉยกทัพมารุกรานชีจิ๋ว ข้าก็เดินทางมาจากปิ้งโจว เป็นระยะทางมิใช่น้อย บัดนี้โจโฉถอนทัพกลับไปแล้ว ข้าเองก็ต้องกลับปิ้งโจวแล้วเช่นกัน ข้าหวังว่าท่านจะช่วยอำนวยความสพดวกให้ด้วย สำหรับทางจวนเจ้าเมืองนั้น ข้าได้ส่งคนไปแจ้งต่อใต้เท้าเล่าเรียบร้อยแล้ว"

ได้ยินคำพูดของลิโป้ แม่ทัพคุมประตูก็เกิดความลังเล เขากุมหมัดขึ้นพลางกล่าวว่า "ใต้เท้าลิเปี่ยมด้วยคุณธรรม ข้าน้อยนับถือเลื่อมใสนัก"

"เปิดทาง!" แม่ทัพคุมประตูหันไปสั่งการ ทหารยามจึงหลีกเปิดทางให้อย่างรวดเร็ว

"เช่นนั้น นี่ถือเป็นสินน้ำใจจากใต้เท้าให้พี่น้องทั้งหลายไว้ดื่มสุรา" เตียนอุยโยนเงินถุงหนึ่งให้แม่ทัพคุมประตู

แม่ทัพคุมประตูยิ้มรับไว้ หลังจากลองเดาะดูแล้ว เขาก็รีบเอ่ยปากปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะเคยรับสินน้ำใจเล็กน้อยๆมาก่อน ทว่านี่เป็นเงินของเจ้าเมืองปิ้งโจว แล้วเขาจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร?

"อย่ามีพิธีรีตองให้มากเลย รีบเปิดประตูเมืองโดยเร็ว หากทำให้ขบวนของใต้เท้าล่าช้า เจ้าจะถูกใต้เท้าตำหนิเอา" เตียนอุยตะโกน

เมื่อเป็นแบบนี้ แม่ทัพคุมประตูก็ได้แต่เก็บซุกเงินไว้ ในใจสลักน้ำใจคราวนี้ของลิโป้

เมื่อรถม้าคันสุดท้ายแล่นออกพ้นประตูเมือง ลิโป้ก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง ภายในพื้นที่เมืองนั้น ทหารม้ายากจะสำแดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ หลังออกจากเมืองมาแล้ว หากว่าอีกฝ่ายส่งทหารไล่ตามมา ทหารม้าเฟยฉีก็จะมอบบทเรียนให้พวกเขาอย่างสาหัส เขาไม่เชื่อว่าเล่าปี่จะยอมปล่อยพวกเขาจากไปโดยง่าย

หลังจากขบวนรถออกจากเมืองไป แม่ทัพคุมประตูก็ระบายลมหายใจยาว เขาเอื้อมมือไปแตะถุงเงินอย่างมีความสุข จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาก็บอกได้ว่าในถุงเงินนี้มีเงินอยู่ไม่น้อยเลย

ข่าวเรื่องลิโป้ออกจากเมืองเพงเสียย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของจวนเจ้าเมืองชีจิ๋ว กระนั้นเล่าปี่ก็ไม่ได้มีคำสั่งใด ตันเต๋งจึงไม่อาจกล่าวอะไรได้

ราวสิบห้านาทีหลังจากที่ขบวนของลิโป้ออกจาเมืองเพงเสีย หลี่เยี่ยนก็เดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองชีจิ๋วเพื่อเข้าพบเล่าปี่ จากนั้นจึงมอบจดหมายให้เล่าปี่

หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว เล่าปี่ก็กล่าวขึ้นว่า "ใต้เท้าลิเดินทางมาตั้งไกล แต่ตอนกลับกลับเร่งรีบเช่นนี้ ข้ารู้สึกละอายใจนักที่ไม่อาจออกไปส่งด้วยตนเอง น้องสาม เจ้าออกไปคุ้มครองส่งใต้เท้าลิเสียหน่อย แล้วก็มอบคำสั่งจัดส่งเสบียงให้ไปด้วย แม้ว่าชีจิ๋วจะเพิ่งสงบมั่นคง แต่ที่ตอบแทนก็ยังต้องตอบแทน"

"ขอบคุณใต้เท้า!" หลี่เยี่ยนกุมมือกล่าวขอบคุณ

เล่าปี่มองส่งหลี่เยี่ยนและเตียวหุยจากไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีสักเท่าใด ฉากเมื่อคืนนี้ยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การถูกลิโป้บุกมาทวงถามคำอธิบายนั้นไม่ต่างอะไรกับการท้าทายอำนาจของเขา

หลังออกจากเมืองเพงเสีย บิต๊กและบิฮองก็หายใจคล่องขึ้น ในใจรู้สึกสำนึกขอบคุณลิโป้ไม่เสื่อมคลาย หากว่าเมื่อคืนลิโป้มาช่วยพวกเขาไว้ไม่ทัน เกรงว่าตระกูลบิในเวลานี้คงหลงเหลือเพียงแค่ชื่อ

"เรียนใต้เท้า ที่ด้านหลังปรากฏทหารม้าขบวนหนึ่งขึ้นขอรับ อีกฝ่ายมีราวหนึ่งร้อยคน ธงที่ชูเป็นธงของทัพชีจิ๋วขอรับ" หน่วยสอดแนมรีบควบม้าเข้ามารายงาน

"เป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายส่งกำลังมาไล่ล่าพวกเรา?" บิฮองถามขึ้นด้วยความกังวล

"แม่ทัพบิไม่ต้องกังวล อีกฝ่ายมีเพียงร้อยคนเท่านั้น ข้าคิดว่าเล่าปี่คงส่งคนมาคุ้มครองส่งเสียมากกว่า" กุยแกตอบด้วยท่าทีสบายๆ "ชีจิ๋วเพิ่งสงบ แต่ยั่งไม่มั่นคง แล้วมีหรือที่เล่าปี่จะกล้าตอแยกองทัพปิ้งโจว?"

บิฮองได้ฟังดังนั้นก็เบาใจลงมาก ดูเหมือนเขาจะตื่นตูมเกินเหตุเสียแล้ว นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอาย

"ส่งคนไปถามดู ดูว่าผู้คุมขบวนมาเป็นผู้ใด" ลิโป้ออกคำสั่ง

หลังจากนั้นสักพัก พลสอดแนมก็ขี่ม้ากลับมารายงาน "เรียนใต้เท้า เป็นแม่ทัพเตียวหุยขอรับ"

"อ้อ ที่แท้เป็นเอ๊กเต๊กนี่เอง" ลิโป้พยักหน้าเบาๆ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง ตัวเขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเตียวหุย จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จะเห็นได้ว่าเตียวหุยยังออกตัวปกป้องเขาอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะมีเล่าปี่อยู่ด้วย เตียวหุยจึงไม่อาจแสดงท่าทีเข้าข้างเขาได้ มิเช่นนั้นเตียวหุยคงเป็นคนแรกที่ลงมือต่อเขา ไม่ใช่กวนอู

"พาข้าไปดู" ลิโป้ลงจากรถแล้วเปลี่ยนเป็นขี่ม้า จากนั้นจึงนำทหารม้าเฟยฉ๊ร้อยกว่าคนมุ่งหน้าไปทางขบวนของเตียวหุย

ฝุ่นผงปลิวตลบ ผู้ที่นำอยู่หน้าขบวนคือเตียวหุยที่ถือทวนอสรพิษ ที่ด้านหลังติดตามมาด้วยทหารม้าร้อยกว่านาย

เมื่อมองเห็นธงรูปเหยี่ยวที่โบกสะบัด เตียวหุยก็เกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น เขารีบรั้งบังเหียนม้าทันควัน ทำให้ทหารม้าที่ตามมาพากันตกใจ เห็นฉากนี้ เตียวหุยก็ตวาดอย่างโมโห "พวกเจ้าจะตกใจอะไรกัน? ดูอย่างทหารม้าเฟยฉี แล้วหันกลับมามองดูพวกเจ้า แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว! ไว้กลับไปแล้วแม่ทัพผู้นี้คงต้องสั่งสอนพวกเจ้าให้หนักกว่าเดิม"

ลิโป้ที่ขี่มา้เข้ามาได้ยินพอดีพลันยิ้มบาง เขาพลิกตัวลงจากหลังม้าก่อนจะกล่าวว่า "เอ๊กเต๊กเดินทางมาส่งเสียไกล ขุนนางผู้นี้ซึ้งใจนัก"

เตียวหุยรีบลงจากหลังม้า เขาส่งเชือกม้าให้ทหารติดตามก่อนจะเดินมาหา "ข้ามาที่นี่ในนามของพี่ใหญ่"

"ไฉนเอ๊กเต๊กจึงกล่าววาจาเหินห่างเช่นนั้น ท่านกับข้าก็รู้จักกันมานาน หากไม่ใช่เพราะพบเจอกันช้าไป ข้าเคยสาบานเป็นพี่น้องกับเอ๊กเต๊กแล้ว" ลิโป้กล่าวยิ้มๆ "ในอนาคต เอ๊กเต๊กสามารถเรียกข้าว่าเฟิ่งเซียน เราสองเป็นแม่ทัพบู๊ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี"

เตียวหุยพลันหัวเราะร่าเมื่อได้ยิน "ยังคงเป็นใต้เท้าลิที่เข้าใจข้าดีที่สุด เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะเฟิ่งเซียน ฮ่าๆ"

ทั้งสองต่างก็มีลางสังหรณ์ว่าจากกันคราวนี้ ไม่ทราบว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่ แม้ว่าจะอยู่คนละสังกัด แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางมิตรภาพระหว่างพวกเขา สิ่งที่ลิโป้รู้สึกชื่นชมเตียวหุยก็คือความกล้าหาญและความตรงไปตรงมา

"เอ๊กเต๊ก อาชาตัวนี้ติดตามข้ามาหลายศึก แม้จะไม่ใช่ยอดอาชา แต่ก็ยังนับเป็นม้าชั้นดี ครั้งนี้ข้าขอมอบให้เจ้าไว้ใช้งานก็แล้วกัน" ลิโป้ยิ้มกล่าว แม้เขาจะได้ย่ำอัคคีมาแทนที่ ถึงกระนั้นอาชาตัวเก่าของเขาก็ยังนับเป็นม้าศึกชั้นดีของทัพปิ้งโจว

ได้ยินเช่นนี้ เตียวหุยก็ไม่ได้ปฏิเสธ สำหรับม้าศึกเช่นนี้ ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่ชมชอบ "ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว"

หลังจากสนทนากันอีกสักพัก ทั้งสองก็จำต้องเอ่ยลาอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากเตียวหุยและทหารของเขาจากไปแล้ว หลี่เยี่ยนก็ลดเสียงลงกล่าวว่า "เดิมข้าคิดว่าแม่ทัพเตียวจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเสียอีกขอรับ"

"เอ๊กเต๊กเป็นคนมีน้ำใสใจจริง เขาล้วนกระทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา" ลิโป้ทอดถอนใจ

"ใต้เท้า ใยจึงไม่ลองชวนเขามาที่ปิ้งวโจวดูล่ะขอรับ? ทักษะฝีมือของแม่ทัพเตียวนับว่าหาได้ยากยิ่ง" หลี่เยี่ยนถามอย่างสงสัย

"เล่ากวนเตียว พวกเขาเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ต่อให้ข้าเอ่ยปากชวน เขาก็จะไม่มาที่ปิ้งโจวอย่างแน่นอน แม่ทัพพยัคฆ์เช่นนี้ นับว่าน่าเสียดายนัก" ลิโป้ทอดถอนใจอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับตัวเตียวหุยไปอยู่ที่ปิ้งโจว แต่เขาทราบว่ามันเป็นไปไม่ได้

ชีจิ๋วและปิ้งโจวมีกุนจิ๋วคอยคั่นกลาง แม้ว่าโจโฉจะเคยปกครองดูแลกุนจิ๋วมาก่อน กระนั้นอำนาจควบคุมของเขากลับอ่อนโทรม เทียบได้กับตอนที่ลิโป้เพิ่งควบคุมปิ้งโจวได้ ขุนนางท้องที่ไม่ยอมรับคำสั่งจากจวนเจ้าเมือง หากว่าโจโฉสามารถควบคุมกุนจิ๋วได้อย่างเบ็ดเสร็จ กองทัพเกงจิ๋วคงไม่อาจยึดกุนจิ๋วได้โดยง่ายแล้ว