ตอนที่ 54 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

หลังจากหารือกันแล้ว พวกพ่อค้าต่างก็ยินดี การร่วมมือกับสำนักงานเมืองทำให้หลี่ฟ่านบุกเบิกเส้นทางการค้าสายใหม่ ลิโป้บอกว่ากระดาษถูกผลิตขึ้นที่จิ้นหยาง ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงการร่วมมือระลอกแรก หลังจากเดินออกจากจวนเจ้าเมือง หลี่ฟ่านก็ลอบเสียใจที่บอกราคาต่ำไป

แปดแสนตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆสำหรับตระกูลหลี่ แต่ลิโป้บอกว่าสามารถจ่ายด้วยเสบียงอาหารได้ ดังนั้นการจะรวบรวมให้ครบในเวลาอั้นสั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร หลังจากที่สามตระกูลใหญ่ล้มลง แม้ตระกูลอื่นๆภายในจิ้นหยางจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับก็ยังคงมีมากมาย

ตลาดหลายแห่งในเมืองส่วนใต้ถูกเช่าไปโดยพวกพ่อค้าหรือตระกูลชั้นสูง พวกเขาไม่กล้าจ่ายเงินซื้อขาดจนกว่าจะแน่ใจในสถานการณ์ ยิ่งกว่านั้นราคาของแต่ละร้านค้ายังแพงหูฉี่ หากแต่ภายในกลับมีเพียงห้องโล่งๆ ไม่มีกระทั่งโต๊ะหรือเตียง

ด้วยการอนุญาตของสำนักงานเมือง พวกพ่อค้าก็รู้สึกฮึกเหิม พวกเขากว้านซื้อเสื้อผ้าและเครื่องเคลือบลายครามไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาของเสื้อผ้าและเครื่องเคลือบลายครามเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การเลี้ยงหนอนไหมจึงเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น

ด้วยการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันของชาวเมือง การรับสมัครทหารเข้ากองทัพปิ้งโจวก็เสร็จสมบูรณ์ ทหารเกณฑ์จำนวนสามหมื่นคนได้รับการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนแต่มีฝีมือ

ในบรรดาทหารใหม่ทั้งสามหมื่นคน สุดท้ายแล้วจะเหลืออยู่เพียงสองหมื่นคนเท่านั้น นี่ก็คือระบบการคัดสรรของกองทัพปิ้งโจว ทหารที่ไม่ผ่านเกณฑ์ย่อมไม่มีคุณสมบัติเป็นทหารของทัพปิ้งโจว ซึ่งสิ่งนี้ได้ช่วยกระตุ้นให้พวกทหารกระตือรือร้นในการฝึกฝนเป็นอย่างดี

กอปรกับนโยบายต่างๆของกองทัพปิ้งโจว พวกทหารก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น หลังจากที่เข้าค่ายทหารแล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนก็คือวินัย นี่ก็คือสิ่งที่ลิโป้เน้นย้ำอยู่เสมอ

ข่าวเกี่ยวกับฉางอันค่อยๆถูกส่งมา หลังจากที่ตั๋งโต๊ะไปถึงฉางอันแล้ว เขาก็จดจ่ออยู่กับการสร้างพระราชวัง เขาเกณฑ์แรงงานกว่าหนึ่งแสนคนก่อสร้างทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก ทำให้มีคนตายไปเป็นจำนวนมาก

ภายในเวลาสี่เดือน กองกำลังพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย และปิ้งโจวเองก็เริ่มมั่นคง ผู้มีความสามารถที่สำนักงานเมืองรับสมัครไว้ก็ทยอยถูกส่งไปทำงานด้านต่างๆ

พัฒนาการของปิ้งโจวทำให้ลิโป้ตระหนักได้ถึงความสำคัญของเหล่าผู้มีความสามารถ โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านการบริหารจัดการ แม้ความสามารถของลิซกจะเป็นที่น่าพอใจ แต่เขาก็ยังบกพร่องเป็นบางครั้ง อย่างไรเสียเขาก็ถนัดในด้านการออกอุบายมากกว่า

ผู้มีความสามารถด้านการบริหารระดับสูงจะสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาของปิ้งโจวในระดับที่สูงขึ้น ในช่วงสงครามต้องใช้ทั้งเงินและกำลังคน หากบริหารภายในได้ไม่ดีก็จะมีเงินมาสนับสนุนกองทัพไม่เพียงพอ

ไม่เหมือนกับอ้วนเสี้ยว โจโฉ และคนอื่นๆที่เกิดในตระกูลอันมั่งคั่ง ในตระกูลพวกเขาย่อมมีผู้มีพรสวรรค์ผุดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความอิจฉาให้กับลิโป้มาก เขาคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปเชิญกาเซี่ยงที่ลั่วหยางแล้ว การรอเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออกที่ดี เพียงแต่เขาไม่มีต้นทุนสูงเหมือนเจ้าเมืองคนอื่นๆ ไม่รู้จะสามารถเชิญตัวกาเซี่ยงมาได้หรือไม่

ก่อนหน้านี้ลิโป้ก็มีความคิดที่จะเดินทางไปยังฉางอัน เพียงแต่ติดธุระที่ต้องจัดการ ตอนนี้ความคิดนี้ยิ่งมากก็ยิ่งรุนแรง ความปรารถนาที่จะรับตัวผู้มีความสามารถมาเข้าร่วมบังคับให้เขาต้องเสี่ยง ผู้มีชื่อเสียงหลายคนตอนนี้ยังคงไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ในอนาคตพวกเขาจะเป็นผู้ตัดสินสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างเช่นกาเซี่ยงซึ่งเป็นกุนซือที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ คนผู้นี้ลิโป้ตั้งความหวังเอาไว้มาก

ต่อให้ฉางอันในเวลานี้จะวุ่นวาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นศูนย์กลางของแผ่นดิน เป็นแหล่งที่รวบรวมผู้มีความสามารถมาไว้รวมกัน ด้วยตัวตนและฐานะของเขา หลังจากไปถึงฉางอัน ผลลัพธ์จะต้องไม่เลวร้ายแน่ ทั้งยังมีเรื่องของซิ่วเอ๋อร์ให้ต้องไปตรวจสอบดูสักครา

หลังจากความทรงจำหลอมรวมกัน ลิโป้ก็ค่อยๆคุ้นชินกับเหยียนหรานและลิหลิงฉี นี่เป็นความรับผิดชอบของเขาในฐานะลิโป้

ความรู้สึกยามเมื่อนึกถึงซิ่วเอ๋อร์เป็นความสุข หญิงสาวเช่นนี้ไม่ควรที่จะต้องมาทุกข์ทนเพราะไฟสงคราม นางควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

หลังจากตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวง อ้องอุ้นจะต้องฉวยโอกาสลงมือ และฉางอันจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าหญิงสาวอ่อนแอนางหนึ่งจะหลบเลี่ยงหายนะนี้ได้หรือไม่ ลิโป้ไม่กล้าเดิมพัน ดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงไปยังฉางอัน ต่อให้สุดท้ายแล้วคว้าน้ำเหลว เขาก็จะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง

ในภูเขาลู่เหลียง ทอดมองทหารสามร้อยห้าสิบคนในชุดพรางตัวแล้ว ลิโป้ก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ เขาฝึกฝนคนเหล่านี้จนสามารถเทียบได้กับหน่วยรบพิเศษในยุคหลัง ในยุคสงครามเย็นนั้น ทักษะและความแข็งแกร่งส่วนบุคคลยังคงมีความสำคัญ ไม่เหมือนกับยุคหลังที่มนุษย์เข่นฆ่ากันโดยยังไม่ทันแม้แต่จะเห็นหน้า

ทั้งสามร้อยห้าสิบคนนี้เผชิญบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวได้ว่าคนที่เหลือมาจนถึงจุดนี้ได้คือสุดยอดของสุดยอดทหาร

"ชื่อที่ข้าจะตั้งให้กับหน่วยของพวกเจ้าคือ เฟยอิง(เหยี่ยวบิน) ตราบใดที่ปฎิบัติภารกิจสุดท้ายได้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะได้เป็นสมาชิกของหน่วยนี้อย่างเป็นทางการ" ลิโป้กวาดมองพวกทหารก่อนจะค่อยๆกล่าวขึ้น

ทหารทั้งสามร้อยห้าสิบนายมองดูลิโป้ด้วยดวงตาเป็นประกาย หน่วยของพวกเขามีชื่อแล้ว ส่วนเรื่องภารกิจนั้น สำหรับพวกเขานับว่ากลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

"ให้เหอคังผู้บัญชาการค่ายซ้ายนำทหารหนึ่งร้อยนายลอบเข้าไปในฉางอัน จากนั้นรอฟังคำสั่งต่อไป และอย่าให้ถูกเปิดโปงตัวตนโดยเด็ดขาด" ลิโป้สั่งการ

เมื่อจะเข้าฉางอัน เขาย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ในกองทัพของตั๋งโต๊ะมีอยู่หลายคนที่เคยเห็นเขามาก่อน หากเกิดอันตรายขึ้นมา ทหารหน่วยนี้ก็จะมีส่วนช่วยอย่างมาก

"ค่ายขวาและค่ายหน้าให้แบ่งเป็นกลุ่มละห้าคน กระจายตัวออกไปทั่วแผ่นดิน สืบหาที่อยู่ของคนเหล่านี้ ทันทีที่พบตัว ก็ให้มอบจดหมายให้พวกเขา ขณะเดียวกันก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของกองทัพ ขอให้ทุกคนปฏิบัติภารกิจด้วยความรอบคอบ" ลิโป้ตัดสินใจครั้งสำคัญ อาศัยการล่วงรู้ประวัติศาสตร์ล่วงหน้า เขาจะต้องรวบรวมผู้มีความสามารถมาช่วยเหลือให้ได้มากสุด อย่างไรเสีย ชื่อชั้นเจ้าเมืองของเขาก็ใช่ว่าจะต่ำต้อยอะไร

"หากว่าจำเป็น ก็ให้พวกเจ้าแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเองได้เลย หลังจากนี้สามเดือน ให้กลับมารวมที่นี่ เมื่อภารกิจสำเร็จ พวกเจ้าก็จะพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่า พวกเจ้าคือยอดทหารแห่งแผ่นดิน แน่นอนว่ารางวัลจะถูกมอบตามผลงานโดยไม่มีการลำเอียง" กล่าวจบ ลิโป้ก็ออกจากภูเขาไปพร้อมกับเตียนอุย

โกซุ่นที่รับช่วงต่อเดินไปแจกจดหมายให้พวกทหารด้วยสีหน้าจริงจัง จดหมายทั้งหมดล้วนเขียนเขียนบนกระดาษซึ่งยากจะพบเห็น สิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะแสดงถึงความชื่นชมที่มีต่อผู้ที่ได้รับจดหมายแล้ว

เมื่อทราบว่าลิโป้คิดจะเดินทางไปยังฉางอันโดยลำพัง ลิซกก็กล่าวเกลี้ยมกล่อมไม่หยุด กระทั่งยังลอบส่งคนไปแจ้งต่อเหยียนหรานเพื่อให้มาช่วยกันหยุดยั้งลิโป้ ฉางอันเวลานี้ก็เปรียบได้กับบ่อน้ำที่ถูกกวนจนขุ่น สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า อำนาจของตั๋งโต๊ะในฉางอันนั้น กล่าวได้ใช้มือเดียวบังฟ้า มิหนำซ้ำลิโป้กับตั๋งโต๊ะยังมีความแค้นต่อกัน เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของตั๋งโต๊ะ นั่นก็ไม่เท่ากับพาตัวไปตายหรอกหรือ?

ลิโป้ต้องปลอบโยนลิซกอยู่นานกว่าจะทำให้เขาสงบลงได้

ส่วนเหยียนหราน ลิโป้รู้สึกผิดอยู่นิดหน่อย เมื่อถูกนางถาม ลิโป้ก็จำต้องบอกความจริง

เมื่อได้ยินชื่อของซิ่วเอ๋อร์ นางก็หวนนึกย้อนถึงภาพของหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามทั้งยังมีจิตใจดี แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวผู้นั้นมีชะตาอาภัพ ครอบครัวของนางต้องผลัดถิ่น

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เหยียนหรานก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามลิโป้ไม่ให้ไป นางเข้าใจดีว่าซิ่วเอ๋อร์ผู้นั้นมีตำแหน่งใดในหัวใจของลิโป้

'ถ้าซิ่วเอ๋อร์กลับมาก็คงดี' เหยียนหรานคิดขึ้นในใจ

ลิโป้ยิ้มอย่างกระอักอ่วน "หรานเอ๋อร์ต้องการสิ่งใดหรือไม่ ข้าจะได้ซื้อกลับมาฝาก"

เหยียนหรานเผยยิ้มบาง ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา "ขอเพียงในใจของท่านสามีมีข้าอยู่ ข้าก็พอใจแล้วค่ะ"