วาจาของกัวไท่ทำให้ทั่วทั้งบริเวณบังเกิดความเงียบขึ้นมา ม้าศึกจำนวนสองพันนั้นหมายถึงทหารม้าจำนวนสองพัน แม้ว่าโจรโพกผ้าเหลืองแห่งเขาเอ๊งสันจะมีกำลังคนมาก แต่ก็มีทหารม้าอยู่เพียงพันเศษเท่านั้น อีกทั้งม้าศึกที่ใช้ยังเป็นม้าชั้นเลวอีกด้วย เทียบกับม้าศึกของปิ้งโจวแล้วก็ยิ่งไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง อีกทั้งปิ้งโจวนั้นเพิ่งจะทำศึกชนะชนเผ่าเซียนเป่ยมา ข่าวนี้เป็นที่รู้กันทั่วทั้งแผ่นดิน หากได้รับม้าศึกจากปิ้งโจวมาก็จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังรบให้โจรโพกผ้าเหลืองเขาเอ๊งสันอย่างมาก เมื่อเผชิญกับกองทัพกิจิ๋วครั้งหน้า พวกเขาก็ไม่ต้องใช้จำนวนเพื่อสร้างความได้เปรียบอีกแล้ว
เตียวเอี๋ยนเป็นใครน่ะหรือ? เขาก็คือผู้ที่กุมบังเหียนเขาเอ๊งสันมานานหลายปี ดังนั้นจึงมีความคิดละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป ฟังคำพูดของกัวไท่แล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความหมายแฝงที่ไม่ธรรมดา จิ้นโหวผู้ทรงเกียรติแห่งปิ้งโจวถึงกับเสี่ยงติดต่อกับโจรโพกผ้าเหลืองจริงๆ คงไม่ใช่อุบายใช่หรือไม่?
"แม่ทัพผู้นี้ขอเป็นตัวแทนโจรโพกผ้าเหลืองแห่งเขาเอ๊งสันกล่าวขอบคุณต่อจิ้นโหว" ท่าทีของเตียวเอี๋ยนอ่อนลงหลายส่วน
เมื่อเห็นว่ากัวไท่ไม่มีทีท่าจะพูดอะไร เตียวเอี๋ยนก็เข้าใจทันที ที่นี่มีคนมากเกินไป ยากจะรับรองได้ว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกไป ดังนั้นเตียวเอี๋ยนจึงส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปก่อน
"แม่ทัพกัว จิ้นโหวมอบของกำนัลเป็นม้าศึกถึงสองพันตัวเช่นนี้ คงมีเงื่อนไขอยู่กระมัง?" หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว เตียวเอี๋ยนก็กล่าวกับกัวไท่
กัวไท่ยิ้มพลางกล่าวว่า "แม่ทัพเตียว นี่ชัดเจนยิ่ง จิ้นโหวให้ความชื่นชมต่อท่านมาก จึงอยากจะเชิญแม่ทัพเตียวไปเยี่ยมเยือนปิ้งโจวสักครา ไม่ทราบแม่ทัพเตียวติดขัดอะไรหรือไม่?"
ม่านตาของเตียวเอี๋ยนหดตัวลง เขาเกิดความตื่นตัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ "โอ้? ไปยังปิ้งโจว? แม่ทัพกัวคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร? ทางการและโจรโพกผ้าเหลืองนั้นมีเพียงความขัดแย้งต่อกัน ให้แม่ทัพผู้นี้ไปยังปิ้งโจว นั่นไม่เท่ากับเป็นการพาตัวเข้าไปติดกับงั้นหรือ?"
กัวไท่ราวกับคาดเดาอยู่ก่อนแล้วว่าเตียวเอี๋ยนจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า "จิ้นโหวกล่าวเอาไว้ว่าทั้งท่านและเขาต่างก็มีศัตรูร่วมกัน นั่นคือ อ้วนเสี้ยว ปิ้งโจวและกิจิ๋วมีความบาดหมางซึ่งไม่อาจประนีประนอมได้ เมื่อตอนที่ชาวเซียนเป่ยบุกโจมตีปิ้งโจว กิจิ๋วก็ได้ส่งแม่ทัพงันเหลียงมาโจมตีด่านหูกวน ทำให้ปิ้งโจวต้องรับศึกสองด้าน กิจิ๋วมีไพร่พลเพียบพร้อม เสบียงอุดมสมบูรณ์ ครั้งนี้อ้วนเสี้ยววางแผนจะยึดครองเฉงจิ๋ว ทำให้บัดนี้กิจิ๋วกลวงว่างเปล่า จิ้นโหวทราบว่าทัพโจรโพกผ้าเหลืองนั้นขาดแคลนอาวุธและม้าศึก ดังนั้นจึงต้องการจะจะช่วยทั้งตัวเองและช่วยท่านไปด้วยในตัว"
เมื่อเตียวเอี๋ยนได้ฟังดังนั้น ในใจก็ผ่อนคลายลง เขาเองก็เคยได้ยินความบาดหมางระหว่างปิ้งโจวและกิจิ๋วมาก่อน เขาเองก็อยากจะให้ปิ้งโจวต่อสู้กับกิจิ๋ว ฝ่ายเขาจะได้ฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์
"หากว่ามีเวลา แม่ทัพผู้นี้จะต้องไปเยี่ยมคำนับจิ้นโหวอย่างแน่นอน เพียงแต่สถานการณ์ของกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองแห่งเขาเอ๊งสันในตอนนี้ยังไม่ค่อยดีสักเท่าใด คงต้องฝากให้แม่ทัพกัวส่งคำขอบคุณแทนข้าแล้ว" เตียวเอี๋ยนกล่าว ในสายตาของเขา ขุนนางในแผ่นดินก็ล้วนแต่เป็นเช่นเดียวกัน นั่นคือสกปรกชั่วช้า ลิโป้นั้นเป็นขุนนางของทางการ ขณะที่พวกเขาเป็นโจรดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่สองฝ่ายจะร่วมมือกัน ส่วนเรื่องการขายม้าศึกให้นั้น ปิ้งโจวเองก็หวังผลกำไร ดังนั้นจึงไม่ได้มีมิตรภาพเข้ามาเกี่ยวข้องสักเท่าใด
กัวไท่เกิดความกังวลขึ้นมา "แม่ทัพเตียวคงจะเข้าใจจิ้นโหวผิดไปเป็นแน่ เดาว่าแม่ทัพเตียวคงเคยได้ยินการกระทำของจิ้นโหวในปิ้งโจวมาบ้าง จิ้วโหวได้ปราบปรามชนเผ่าซยงหนูที่ลุกฮือก่อหวอด โจมตีทัพเซียนเป่ยจนแตกพ่าย ภายใต้การปกครองของเขา ผู้คนต่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก โจรโพกผ้าเหลืองที่เคยอยู่ในหุบเขาไป๋ปอเองต่างก็ได้รับการจัดสรรที่ดินให้ใช้เลี้ยงปากท้อง"
สีหน้าของเตียวเอี๋ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มา ในฐานะผู้นำของโจรโพกผ้าเหลือง เขาย่อมต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปในแผ่นดิน "จิ้นโหวมีความจริงใจต่อผู้คน นับเป็นวาสนาของชาวปิ้งโจวแล้ว"
"ข้าเองก็เคยมีการไปมาหาสู่กับแม่ทัพเตียวอยู่บ้าง และข้าก็รู้สึกเลื่อมใสแม่ทัพเตียวเป็นการส่วนตัว หากว่าแม่ทัพเตียวเดินทางไปที่ปิ้งโจว ข้าขอเอาศีรษะของข้าเป็นประกันว่าแม่ทัพเตียวจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน" กัวไท่กล่าวอย่างจริงจัง
"ข้าขอใคร่ครวญดูก่อน หลังจากนั้นจึงจะให้คำตอบแก่ท่าน เชิญแม่ทัพกัวไปพักผ่อนภายในหมู่บ้าน" ในใจเตียวเอี๋ยนรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ว่าโจรโพกผ้าเหลืองจะยกอ้าวคำกล่าวใด สุดท้ายพวกเขาก็เป็นโจรกบฏ กัวไท่นั้นเคยเป็นโจรโพกผ้าเหลืองมาก่อน หากแต่ตอนนี้ได้ชุบตัวจากโจรกลายเป็นเสี้ยวเว่ย(นายกอง)ของต้าฮั่น แม้ว่าบัดนี้เขาจะกุมกำลังคนมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะกลับตัว เพียงแต่ยังไม่เคยพบเจอกับผู้ที่คู่ควรจะไปพึ่งพิง
............................
ในสนามรบที่เฉงจิ๋ว ที่ปรึกษาของกองทัพกิจิ๋วนั้นมีบทบาทสำคัญยิ่ง ไม่เพียงแต่สามารถเอาชนะกองซุนจ้านที่ต้องการจะยึดครองเฉงจิ๋วเช่นกันเท่านั้น แต่ทัพกิจิ๋วยังสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเฉงจิ๋วไว้ได้แล้ว ทำให้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยวเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า เมื่อเขาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของเฉงจิ๋วและเมื่อรวมกับพื้นที่ของกิจิ๋วแล้ว ในแผ่นดินนี้ก็ไม่มีผู้ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอ้วนเสี้ยวอีก
เตียวเอี๋ยนต้องการจะมอบบทเรียนให้อ้วนเสี้ยวอย่างเจ็บแสบมาโดยตลอด ก็ผู้ใดใช้ให้เขามักจะยกอ้างคุณธรรมเพื่อเข้าปราบปรามกองทัพเอ๊งสันอยู่บ่อยครั้งกันเล่า การมีกองทัพเขาเอ๊งสันอยู่ในดินแดนของกิจิ๋วนั้นทำให้อ้วนเสี้ยวไม่อาจสงบใจได้ลง ส่วนที่เรียกว่าเพื่อคุณธรรมนั้น ก็เพียงเพื่อหลอกลวงต่อคนภายนอก ชาวเซียนเป่ยได้เข้ารุกรานต้าฮั่นตั้งหลายปี ไฉนจึงไม่เห็นอ้วนเสี้ยวส่งกำลังไปปราบปรามบ้างเลยเล่า?
เมื่อกิจิ๋วกำลังว่างเปล่า เตียวเอี๋ยนก็มองเห็นโอกาส ทอดตามองดูทุกหัวเมืองในแผ่นดินฮั่นแล้ว กิจิ๋วนับว่ามีความมั่งคั่งมากที่สุด เตียวเอี๋ยนตั้งตัวอยู่ในกิจิ๋วมานานหลายปี เขาย่อมเข้าใจว่าต่อให้กองทัพเอ๊งสันพัฒนาไปจนสุดทาง แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถยึดครองกิจิ๋ว
เช้าวันหนึ่งของเมืองเงียบกุ๋น(เย่เฉิง) ประตูเมืองค่อยๆเปิดออกตามปกติ ประชาชนที่ต้องการเข้าออกก็เข้าแถวต่อคิวที่ประตู ที่แตกต่างจากปกติก็คือ วันนี้มีขบวนรถรอจะเข้ามาในเมืองจำนวนมาก ทั้งยังมีผู้คุ้มกันติดตามมามากมาย
หัวหน้าผู้คุ้มกันของขบวนรถนั้นทราบธรรมเนียมดี โดยไม่รอให้ทหารยามเดินมาสอบถาม เขาก็ลวงหยิบถุงเงินออกมายัดใส่มือของหัวหน้าทหารยามที่คุมประตูเมือง "ลำบากท่านทหารแล้วขอรับ"
หัวหน้าทหารยามลองกะน้ำหนักของถุงเงินในมือ จากนั้นจึงค่อยระบายยิ้มออกมา "อืม รีบเข้าเมืองเถอะ อย่าได้รบกวนผู้คน มิเช่นนั้นจะได้รับโทษ"
"ขอบคุณท่านทหาร ขอบคุณท่านทหาร!" หัวหน้าผู้คุ้มกันกล่าวขอบคุณต่อหัวหน้าทหารยามหลายครั้ง เมื่อหันหลังมา ในแววตาของเขาก็ปรากฏแววเย็นเยียบ
เมืองเงียบกุ๋นนับเป็นเมืองสำคัญของกิจิ๋ว กำแพงเมืองจึงทั้งสูงและหนา ภายในเมืองยังกักตุนเสบียงไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวจะยกทัพไปโจมตีเฉงจิ๋ว แต่ภายในเมืองก็ยังมีทหารประจำการอยู่ค่อนข้างมาก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองสำคัญของอ้วนเสี้ยว
ขบวนรถค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในเมือง และยามเมื่อรถม้าคันสุดท้ายกำลังจะผ่านเข้าประตูเมืองไป ทันใดนั้นก็มีเสียง "เอี๊ยด" ดังขึ้นมา ล้อรถม้าคันนั้นได้หลุดออก ทำให้ขบวนผู้คนที่กำลังเข้าออกต้องเกิดการหยุดชะงัก
หัวหน้าทหารยามเลื่อนมือไปแตะด้ามดาบก่อนจะเดินเข้ามาถาม "เกิดอะไรขึ้น?"
"ตอบท่านทหาร จู่ๆล้อของรถม้าก็เกิดพังขึ้นมาขอรับ พวกเราจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ"
"รีบด้วย อย่าได้เกะกะขวางทางเข้าออกของผู้คน" หัวหน้าทหารยามกล่าวด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะผู้คนขบวนนี้ได้มอบสินน้ำใจให้ก่อนหน้า เขาก็คงจะสั่งให้ทหารมาจับตัวพวกเขาโยนออกจากเมืองไปแล้ว
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากระยะไกล เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นฝุ่นผงปลิวคละขึ้นฟ้าจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ากำลังกองทัพมุ่งหน้ามาทางนี้ แม่ทัพคุมประตูเมืองสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารีบตะโกนสั่งการด้วยเสียงอันดัง "ปิดประตูเมืองเร็วเข้า!"
เวลานี้ในกิจิ๋วมีไพร่พลเหลืออยู่ไม่มาก เมื่ออ้วนเสี้ยวเคลื่อนพลโจมตีเฉ.จิ๋ว แน่นอนว่าเขาย่อมต้องขนทหารมือดีไป และถึงแม้ภายในเมืองจะเหลือทหารอยู่ห้าพันคน กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องระวัง
พวกผู้คุ้มกันที่กำลังผลักเข็นรถม้าอยู่ เมื่อเห็นทหารสิบกว่าคนกำลังวิ่งลงมาปิดประตูเมือง พวกเขาก็ขยิบตาส่งสัญญาณ ทั้งหมดหยิบฉวยอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ในรถม้าออกมาก่อนจะเข่นฆ่าเข้าหาทหารยาม
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved