ตอนที่ 158 - เกิดใหม่เป็นลิโป้

ซัวเอี๋ยมเดินออกมาจากห้องเรียนก่อนจะคารวะให้ลิโป้ "เชี่ยเซินคารวะใต้เท้า"

"ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้าหรอก โรงเรียนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" จากนั้นลิโป้ก็เสริมขึ้นว่า "วันนี้ข้ามาเยี่ยมคารวะท่านอาจารย์ ก็เลยแวะมาดูท่านเสียหน่อย"

ซัวเอี๋ยมตอบ "ดีเจ้าค่ะ"

จากนั้นทั้งสองก็จมลงสู่ความเงียบไปชั่วขณะ องค์รักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ไกลๆหันไปขยิบตาให้กัน

"เว่ยฮูหยินมากความสามารถ คงมีงานที่โรงเรียนให้กระทำมากมาย หากมีเวลา ท่านก็ควรจะออกไปเดินเล่นภายในเมืองเสียหน่อย เตียวเสี้ยน...อ่า ซิ่วเอ๋อร์เองก็คิดถึงท่านมาก" ลิโป้กล่าว

สีหน้าของซัวเอี๋ยมพลันเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองทันทีที่ได้ยินคำว่า 'เว่ยฮูหยิน' ทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้นางก็มักจะเกิดความรังเกียจขึ้นในใจโดยไม่มีเหตุผล เพราะคำนี้ทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่สามีป่วยอมโรคและครอบครัวของเขาปฏิบัติต่อนาง "ใต้เท้าเป็นศิษย์ของท่านพ่อ ดังนั้นท่านสามารถเรียกเชี่ยเซินว่า เจาจี"

"ได้สิ เจาจี หากประสบกับความลำบากใด ท่านสามารถมาหาข้าที่จวนเจ้าเมือง" ลิโป้กล่าว ทุกครั้งที่เขาเรียกหาเว่ยฮูหยิน เขาเองก็รู้สึกอึดอึดอยู่บ้างเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องที่จะคุยกันแล้ว ลิโปก็กล่าวว่า "เช่นนั้นข้าไม่รบกวนการสอนของเจาจีแล้ว ข้าขอตัวก่อน"

ซัวเอี๋ยมมีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับลิโป้มาโดยตลอด นางได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของจิ้นหยางด้วยตาตนเอง ยากจะจินตนาการได้ว่านักรบอันหยาบกร้านผู้หนึ่งในสายตาคนนอกผู้นี้จะมีความคิดที่น่าอัศจรรย์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร นางอดหวนนึกถึงคำพูดที่ลิโป้เคยกล่าวไว้กับนางขึ้นมาอย่างเสียมิได้ "ใต้เท้า เดินดีๆ และหวังว่าใต้เท้าจะยังจำวาจาที่เคยกล่าวกับเชี่ยเซินได้"

ลิโป้ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงจากไปทันที ซัวเอี๋ยมนั้นเป็นสาวงามนางหนึ่ง ทั้งยังสามารถเรียได้ว่าเป็นยอดสาวงาม นึกถึงความเศร้าของซัวหยงตอนที่กล่าวถึงซัวเอี๋ยมแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจ น่าเสียดายที่หญิงสาวที่มีความคิดแผกจากยุคผู้นี้เกิดมาผิดยุคผิดสมัย หากไม่ใช่ข้อจำกัดด้านเวลานี้แล้ว เขาก็เชื่อว่าซัวเอี๋ยมจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำให้เหล่าบุรุษต้องรู้สึกละอายใจได้อย่างแน่นอน

"เจาจีไม่ต้องกังวล" ลิโป้หยุดเท้าก่อนจะหันกลับมากล่าว "ข้าจะพยายามทำตามคำมั่นสัญญาให้จงได้"

ทั้งสองจับจ้องมองกันและกัน นี่ทำให้ซัวเอี๋ยมเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาในใจ นางค้อมคำนับก่อนจะเดินจากไป แต่ในใจก็ยังรู้สึกประหม่าขึ้นมา นี่เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยประสบมาก่อน ลิโป้ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะออกจากโรงเรียนไป ซัวเอี๋ยมเป็นหญิงสาวที่น่ามหัศจรรย์ มีกลิ่นอายความขบถปกคลุมทั่วร่าง เกิดเป็นสตรีในยุคนี้ คิดโดดเด่นเหนือบุรุษนั้นยากเย็นยิ่ง

.......................

เมื่อทางกุนจิ๋วได้ทราบว่าอ้วนเสี้ยวเองก็คิดจะสนับสนุนเล่าหงี โจโฉก็โล่งใจ เทียบกับอ้วนเสี้ยวแล้ว อิทธิพลของเขายังด้อยกว่าอีกฝ่ายมาก ฐานะของตระกูลอ้วนในราชวงศ์ฮั่นสุดที่ตระกูลอื่นๆจะเทียบได้

ซี่จื่อไฉกล่าวว่า "นายท่าน ตระกูลอ้วนมีลูกศิษย์ลูกหาขุนนางอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน เวลานี้เป็นเจ้าหัวเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขายึดครองกิจิ๋ว พรักพร้อมด้วยกำลังทหารและหญ้าเสบียง เร็วๆนี้พวกเขายังมีความคิดจะบุกโจมตีเฉงจิ๋ว ซึ่งพวกเราควรจะระวังป้องกันไว้ขอรับ"

"อ้วนเปิ่นซู่สมคบคิดกับชาวเซียนเป่ย คิดว่าผู้คนทั้งแผ่นดินจะมองไม่ออกงั้นรึ? เหอะ" โจโฉแค่นเสียง เขาไม่พอใจอย่างยิ่งเรื่องที่อ้วนเสี้ยวหันไปสมคบคิดกับชาวเซียนเป่ยที่เป็นคนนอก ต่อให้เขาจะมีความบาดหมางกับลิโป้อยู่ก็ตาม แต่เขาก็ไม่สมควรกระทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นโจโฉยังให้ความสำคัญต่อเฉงจิ๋ว เขามีความสัมพันธ์กับโจรโพกผ้าเหลืองที่อยู่ในเฉงจิ๋ว

"อ้วนสุดที่อยู่ในหวยหนานเองก็มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน ยามนี้เขาครอบครองตราหยกแผ่นดิน ในเองจิ๋วเองก็มีข่าวลือว่า 'ราชวงศ์ฮั่นสิ้นแล้ว' อ้วนสุดอาจไม่พอใจจะเป็นเพียงขุนนาง" ซุนฮกกล่าวด้วยความกังวล

"ทางด้านอ้วนสุดนั้นไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล เขาคิดว่าเมื่อมีตราหยกแผ่นดินอยู่ในมือแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้งั้นรึ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เมื่อเขาไม่พอใจจะเป็นเพียงขุนนาง เขาก็จะสร้างความโกรธแค้นแก่หัวเมืองทั้งหลาย แม้ว่าฮ่องเต้จะสวรรคตไปแล้ว แต่แผ่นดินนี้ก็ยังเป็นของคนสกุลเล่า"

โจโฉกล่าวว่า "ในเมื่ออ้วนเสี้ยวเองก็สนับสนุนเล่าหงี เช่นนั้นเรื่องราวก็ง่ายแล้ว"

เวลานี้โจโฉรู้สึกเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ชื่อเสียงของเล่าหงีนั้นเหนือกว่าเล่าเปียวหลายเท่า สำหรับเล่าเอี๋ยนที่เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเอ็กจิ๋วนั้น ก็เริ่มจะถูกผู้คนในแผ่นดินลืมเลือนไปแล้ว หากว่าเล่าหงีได้สืบทอดราชบัลลังก์ นั่นก็นับเป็นวาสนาของราชวงศ์ฮั่นแล้ว

บิดาของโจโฉ โจโก๋ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองตันลิว เมื่อทราบว่าโจโฉผู้เป็นบุตรชายได้ขึ้นเป็นเจ้าแคว้นกุนจิ๋ว อีกทั้งแผ่นดินยังส่อเค้าแววจะเกิดความวุ่นวาย โจโก๋ก็ตัดสินใจจะเดินทางไปสมทบกับโจโฉที่กุนจิ๋ว ตระกูลโจเป็นตระกูลพ่อค้าที่มั่งคั่ง ขณะเดินทางมีรถม้าบรรทุกอยู่สิบกว่าคันรถ มีผู้คุ้มกันอยู่สามร้อยกว่าคน เมื่อเจ้าเมืองชีจิ๋ว โตเกี๋ยม ได้ทราบเรื่อง เขาก็คิดส่งคนไปคุ้มครองส่งโจโก๋ ดังนั้นจึงได้สั่งให้เตียวคีนำทหารม้าสองร้อยคนไปคุ้มครอง

โตเกี๋ยมและโจโฉมักจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง ทหารของทั้งสองฝ่ายก็มักจะกล่าวเสียดสีใส่กัน

เมื่อเห็นว่าโจโก๋ค่อนข้างมั่งคั่ง เตียวคีและคนอื่นๆที่บังเกิดความคิดปล้นชิงทรัพย์ก็ทำการล้างเลือดผู้คนทั้งขบวนของโจโก๋และนำทรัพย์สมบัติหลบหนีจากไป

เมื่อโจโฉได้ทราบเรื่อง เขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้คร่ำครวญ ผ่านไปสักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า "หากไม่สังหารโตเกี๋ยม ข้าก็ไม่ขออยู่เป็นคน!"

ซี่จื่อไฉและซุนฮกพยายามกล่าวเกลี้ยกล่อมสุดความสามารถ แต่เมื่อเห็นว่าโจโฉตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในเวลานี้ มันจะต้องเกิดผลกระทบขึ้นเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน เมื่อชีจิ๋วถูกโจมตี ประชาชนก็จะถูกม้วนพัดเข้าไปในไฟสงคราม ยิ่งกว่านั้นยังจะทำให้การสถาปนาฮ่งเต้พระองค์ใหม่ต้องล่าช้าออกไป ซึ่งเรื่องเช่นนี้ ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ประเทศชาติไม่อาจขาดประมุขแม้สักวัน หลายปีมานี้ราชวงศ์ฮั่นได้เผชิญกับความวุ่นวายไม่จบสิ้น แผ่นดินฮั่นยามนี้ต้องการประมุขที่ปราดเปรื่อง ผู้คนต้องการหยุดพักหายใจหายคอ

เมื่อได้รับข่าวจากทางฝั่งของโจโฉ โตเกี๋ยมก็ตกตะลึง แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันกับโจโฉมาก่อน แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยทำสงครามขนาดใหญ่ หากแต่บัดนี้ โจโฉได้สั่งเคลื่อนทัพจำนวนนับหมื่นบุกโจมตีชีจิ๋ว ทุกแห่งหนที่กองทัพของโจโฉเคลื่อนทัพผ่าน ที่นั่นจะไมหลงเหลือแม้แต่ไก่กาสุนัข เรื่องนี้ทำให้ทั้งชีวิจ๋วต้องรู้สึกขวัญผวา ในสายตาของผู้คนทั่วไปแล้ว โจโฉได้กลายเป็นปีศาจที่ไร้ความปราณีไปแล้ว

ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของโจโฉ กองทัพของเขาจึงได้ทำการล้างสังหารชาวบ้านในพื้นที่ของชีจิ๋วไปเป็นจำนวนหลายหมื่นคนจนลำน้ำซื่อสุ่ยแดงฉาน กองทัพของโจโฉเคลื่อนทัพด้วยภาวะที่คิดจะเหยียบย่ำทำลายชีจิ๋วในคราวเดียว

เมื่อเห็นท่าไม่ดี โตเกี๋ยมก็รีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองซุนจ้าน กองซุนจ้านและโตเกี๋ยมมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อได้ทราบว่าโจโฉทำการสังหารชาวบ้านตามรายทางไปเสียสิ้น ทั้งยังยึดเอาเมืองของชีจิ๋วไปหลายเมือง กองซุนจ้านจึงได้สั่งให้เต๊งไก๋และเล่าปี่ซึ่งอยู่ที่เพงงวนก๋วนเร่งรุดไปช่วยเหลือชีจิ๋ว

ในเขณะเดียวกัน อ้วนเสี้ยวและกองซุนจ้านต่างก็ยาตราทัพเข้าสู่เฉงจิ๋วเพื่อแข่งขันกันควบคุมเฉงจิ๋ว

ข่าวที่อ้วนสุดได้รับตราหยกแผ่นดินไม่ใช่ความลับในหมู่เจ้าเมืองอีกต่อไป เล่าเปียวต้องการจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นจึงส่งคนไปทวงถามเรื่องนี้ต่ออ้วนสุด แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบใด ดังนั้นเล่าเปียวจึงจัดเตรียมกองทัพจะบุกโจมตีอ้วนสุด

ทั้งแผ่นดินกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง บรรดาเหล่าเจ้าเมืองต่างก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวทำสงคราม ขณะที่ปิ้งโจวเพิ่งจะทรงตัวได้มั่นคงและกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ดังนั้นจึงไม่ได้กระโดดเข้าไปร่วมความครื้นเครงที่ด้านนอก แม้ว่ากองซุนจ้านจะส่งทูตมาชักชวนพร้อมทั้งให้สัญญาว่าจะแบ่งปันเฉงจิ๋วด้วยกัน ที่ปิ้งโจวก็ยังคงสงบเงียบไร้ความเคลื่อนไหว

โจรโพกผ้าเหลืองในเฉงจิ๋วนั้นทนทานยิ่ง พวกเขาเข้าโจมตีเมืองและหมู่บ้านต่างๆหลายครั้ง ทำให้โจรกลุ่มนี้เชี่ยวชาญในการรบ ก่อนหน้านี้ เล่าต้าย เจ้าเมืองกุนจิ๋วคนก่อนก็ตายด้วยน้ำมือของโจรโพกผ้าเหลืองจากเฉงจิ๋วนี้เอง

กองซุนจ้านและอ้วนเสี้ยวนั้นมีความแค้นต่อกันอย่างลึกล้ำ เป็นความบาดหมางที่ยากจะประนีประนอม ดังนั้นสงครามระหว่างทั้งสองจึงกลายเป็นสงครามอันยืดเยื้อ อ้วนเสี้ยวครอบครองกิจิ๋ว มีทั้งกำลังทหารและเสบียงพรักพร้อม ส่วนกองซุนจ้านมีฐานกำลังแค่เพียงเมืองปักเป๋งเท่านั้น เมื่อสงครามยืดเยื้อออกไป หญ้าเสบียงของกองซุนจ้านก็เริ่มร่อยหรอ ดังนั้นจึงต้องถอนตัวจากการแย่งชิงเฉงจิ๋ว